ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 303 เซียนโอสถในตำนาน (1)
ตอนที่303 เซียนโอสถในตำนาน (1)
ตอนที่303 เซียนโอสถในตำนาน (1)
เหม่อมองหญิงสาวบนสนามประลอง เหล่าองค์จักรพรรดิทั้งสามต่างครุ่นคิดคำนวณกันใหญ่อยู่ภายในใจ
เย่หลีเทียนจับจ้องไปทางเซียถงเบื้องล่าง สายตาคู่นั้นหรี่แคบลงเล็กน้อย เสมือนกับว่ามีกระแสไฟโฉบแล่นวูบวาบผ่านไปมาในดวงตา เขาเองก็กำลังระดมความคิดอะไรสักอย่างอยู่
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนต่างหยุดอยู่ ณ ใจกลางสนามประลอง จับจ้องหญิงสาวในชุดสีขาวที่ยามนี้ถูกย้อมกลายเป็นสีแดงด้วยความเกรงขาม บารมีความไร้เทียมทานแผ่ซ่านออกมาจากไขกระดูกทั่งร่างปกคลุมสรรพชีวิตบนผืนพิภพ ร่างกายที่ฉาบรัศมีแกร่งกล้าพร่างพรายของนาง ช่างดูสง่างดงามเกินคำบรรยายใดๆ
ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ชื่อนามของนางก็กลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งความแข็งแกร่ง
หลังจากจบงานประลองในครั้งนี้ ชื่อเสียงและวีรกรรมของนางในครานี้จะเป็นที่ลือเลื่องกึกก้องไปทั่วทวีปเทียนหลาง
ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องนับไม่ถ้วน คล้ายกับเปลวไฟที่จ้องแผดเผาใส่ตัวเซียถงจนรู้สึกเร่าร้อน นางชำเลืองหางตามองย้อนกลับไปหาคนทั้งหลายเล็กน้อย มองผ่านศีรษะเส้นผมของผู้คนที่เบียดเสียดคับคั่งบนอัฒจันทร์สูงทะลุออกไป จะเห็นได้ว่า มีสายตาอยู่คู่หนึ่งที่ดูร้อนแรงเป็นพิเศษ ภายใต้หน้ากากาสีดำขลับนั้น ดำดิ่งลึกลงไปในแววตาของชายที่คุ้นเคย ทำเอาหัวใจของเซียถงสั่นสะทกไร้สาเหตุ
เมื่อหมุนตัวเดินลงสนามประลอง จิตใจของนางก็เริ่มกลับมาสงบนิ่งอีกครา และก้าวย่างจากจัตุรัสซีเยว่ออกมาโดยตรง
นางปัดป้องเมินเฉยต่อทุกคนที่เข้ามาแสดงความยินดีอันปลอมเปลือก ตรงเข้าโรงเตี้ยมกลับเข้าห้องพัก หลังจากอาบน้ำล้างแผลเสร็จสรรพ ขณะที่กำลังจะขึ้นเตียงนอน เซียถงก็พบว่ามีก้อนขนแสนปุกปุยที่กำลังนอนขดอยู่ในผ้าห่ม นางจีบหลังคอของมันโยนมันลงกับพื้นเชิงหลอกล้อเล่นกันเล็กน้อย ก่อนจะลงหัวถึงหมอนและหลับไป…
ในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น เซียถงตื่นขึ้นมาจากเสียงเคาะประตู พอลุกขึ้นเดินไปเปิดก็เห็นชิงเยวี่ยที่กำลังยืนรออยู่แล้วหน้าห้อง
“คุณหนูเซีย อาการบาดเจ็บของท่านดีขึ้นแล้วรึยัง?”
ชิงเยวี่ยในวันนี้ยังคงส่งมอบรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นแก่นาง
“ไม่เป็นอะไรแล้ว นายท่านชิงเยวี่ยมาหากันแต่เช้า เกรงว่ามีเรื่องอะไรกระมัง?”
“ท่านอาจารย์ของข้าต้องการพบเจ้าน่ะ”
ชิงเยวี่ยตรงเข้าประเด็นทันที เพราะตั้งแต่ที่ท่านอาจารย์ของเขารู้ว่า เซียถงมีเพลิงพิภพเก้าดุษณีอยู่ในครอบครอง นางก็แทบจะรอนับวันพบเจอกับเซียถงไม่ไหวแล้ว
“ตกลง ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
เซียถงพยักหน้าตอบเห็นด้วย
ระหว่างทางเซียถงได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับท่านอาจารย์ของชิงเยวี่ยเพิ่มเติม นางมีชื่อจริงว่า ไป๋ปิง และสามารถบรรลุขึ้นเป็นเซียนโอสถได้ตั้งแต่เมื่อสิบปีที่แล้ว ซึ่งย้อนกลับไปในช่วงนั้น นางพยายามอย่างหนักเพื่อหลอมกลั่นโอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้าขึ้นมา แต่ครั้งแล้วครั้งเล่ากลับต้องพานพบกับความล้มเหลว ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งควบคุมให้อารมณ์นิ่งสงบยากขึ้น เนื่องจากความเหนื่อยล้าก็ทางกายและใจก็ดี ไม่มีเวลาไปมุ่งความสนใจกับเรื่องฝึกปรือก็ดี ส่งผลให้พัฒนาการในเส้นทางแห่งโอสถถของนางหยุดชะงักลง
“พฤติกรรมนิสัยของท่านอาจารย์ข้าค่อนข้างแปลก หากเผลอทำให้คุณหนูเซียต้องขุ่นเคือง ข้าพเจ้าต้องขออภัยล่วงหน้าด้วย”
เมื่อเข้ามาใกล้สถานที่ที่ไป๋ปิงเก็บตัว ชิงเยวี่ยก็หันมากล่าวกับเซียถงด้วยความกังวล
เซียถงพยักหน้าเข้าใจได้ พวกอัจฉริยะเกินคนโดยส่วนใหญ่มักจะมีนิสัยรวมไปถึงพฤติกรรมแปลกประหลาดกันทั้งสิ้น ซึ่งนี่เป็นเรื่องปกติมาก
ไป๋ปิงอาศัยอยู่ในกระท่อมหลังเล็กๆ แห่งหนึ่ง สภาพตัวเรือนค่อนข้างทรุดโทรมเลยทีเดียว ทั้งยังเป็นเขตชานเมืองซีเยว่ที่ค่อนข้างห่างไกลความเจริญ
พอมากันถึง เซียถงเงยหน้ามองกระท่อมเก่าทรุดโทรมเบื้องหน้า สีหน้าท่าทางฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย นี่หรือคือสถานที่ที่เซียนโอสถพักอาศัย? กวาดสายตาพินิจมองก็มีแต่ยองใยแมงมุมและคราบฝุ่นหนาเตอะอยู่ทั่วมุมชายคากระท่อม หากไม่บอกกันก่อนว่า มีคนอาศัยอยู่ภายในนี้ นางคงคิดว่าเป็นกระท่อมร้าง
“ท่านอาจารย์ของข้าซ่อนตัวอยู่ที่นี่ไม่เคยไปไหนเลยตลอดสิบปี เพื่อป้องกันมิให้บุคคลภายนอกเข้ามารบกวนได้ และที่สำคัญ คงไม่มีใครคาดคิดว่า กระท่อมโทรมซอปานนี้จะเต็มไปด้วยโอสถชั้นเลิศมากมายอยู่ในนั้น”
คล้ายกับว่าชิงเยวี่ยมองผ่านอ่านข้อสงสัยภายในใจของเซียถงออกทะลุปรุโปร่ง จึงเอ่ยปากกล่าวอธิบายออกมา ขณะที่กำลังจะเอื้อมมือไปเปิดประตูไม้บานตรงหน้า จู่ๆ ประตูบานนั้นกลับชิงเปิดขึ้นเองเสียก่อน
เสียงผลักประตูดังเอี๊ยด ทันใดนั้นก็ปรากฏหญิงสาวผมเผ้ายุ่งเหยิงโผล่ออกมาจากหลังประตูบานนั้น กวาดสายตามองชิงเยวี่ยก่อนจะเคลื่อนผ่านมาทางเซียถง และเอ่ยถามว่า
“นี่รึที่เจ้าพูดถึง?”
“นางมีเพลิงพิภพเก้าดุษณีอยู่ในครอบครอง”
ชิงเยวี่ยกล่าวตอบอย่างสุภาพ
เซียถงเงยหน้ามองไป๋ปิงนางนั้นที่ยืนอยู่ต่อหน้า สภาพผมเผ้าของนางแห้งกราด กระเซอะกระเซิงยุ่งเหยิงไปหมด เสื้อผ้าก็เป็นเพียงชุดกระสอบเนื้อหยาบที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบสมุนไพรนานาชนิด กล่าวได้ว่าสกปรกมากซะจนไม่รู้เลยว่าสีเดิมของชุดนี้คือสีอะไร ภายใต้ปรกผมหน้าผากที่พันกันมั่วซั่ว จะเห็นได้ว่าขอบตาของนางหมองคล้ำขนาดไหน นี่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า นางไม่ได้นอนหลับมาเป็นเวลานานมาก ดูจากสภาพราวกับเผลอหลับได้ทุกเมื่อ
อันที่จริงแล้ว ทั้งทรวดทรงเรือนร่างและโครงหน้าของนางดูดีมาก ควรเรียกได้ว่าสวยเลยจะดีกว่า แต่น่าเสียดายนักที่ความสวยความงามเหล่านั้นกลับถูกปกคลุมไปด้วยผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง ใบหน้าเปื้อนคราบดำสกปรกจนแทบมองไม่เห็นความสวยที่ซ่อนอยู่เลย
นี่น่ะหรือ…เซียนโอสถในตำนาน? เซียถงถึงกับถอนหายใจอย่างลับๆ กับตัวเอง
ทอดสายตาจับจ้องไปยังไป๋ปิง ทางไป๋ปิงเองก็จับจ้องมาที่นางเช่นกัน ถึงแม้ไป๋ปิงจะรู้มาจากปากชิงเยวี่ยแล้วว่า ผู้ที่ครอบครองเพลิงพิภพเก้าดุษณีเป็นเพียงสาวน้อยในวัยสิบห้า แต่พอได้เห็นเซียถงจริงๆ แล้ว นางก็ยังอดสงสัยเคลือบแคลงใจมิได้
ถึงแม้จะมีร่องรอยความสงสัยตกค้างอยู่ในใจบ้าง แต่ก็หาได้ลังเลที่ใจที่จะลองฝีมือ เงาประกายพิสดารสายหนึ่งทะยานผ่านหน้าชิงเยวี่ย ไป๋ปิงเอื้อมมือขวาพุ่งออกไปคว้าจับหัวไหลของเซียถง ทว่าเซียถงเองกลับตอบสนองรวดเร็วมากเช่นกัน สืบฝีเท้าถอยหลังไปก้าวหนึ่ง หลบเลี่ยงมือข้างนั้นที่ตรงเข้ามาคว้าจับ สีหน้าการแสดงของนางที่จับจ้องไปยังไป๋ปิงยังคงดูสงบนิ่งปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คล้ายหลังไป๋ปิงคว้าอากาศพลาดเป้า สายตาคู่หย่อนยานที่คล้ายกับว่ากำลังจะหลับก็เบิกกว้างขึ้นทันใด แสดงสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยออกมา ทุกครั้งที่นางเคลื่อนไหวจับใครก็ตามสุ่มสี่สุ่มห้า มักจะมีเพียงไม่กี่คนนักที่สามารถหลบเลี่ยงได้ทันท่วงที
สังเกตเห็นสายตาคู่นั้นของเซียถงที่ชักจะส่อแววสงสัย ไป๋ปิงก็ร่นถอยออกมาพลางยกนิ้วชี้ขึ้นถูไถ่ปลายจมูกที่เปรอะเปื้อนคราบเขม่าดำอยู่สองสามที นางกล่าวว่า
“ทำได้ดี”
“คุณหนูเซียนางนี้เพิ่งคว้าอันดับหนึ่งในงานประลองสี่จักรวรรดิไปหมาดๆ กระทั่งหลินเฟยยังหาใช่คู่ต่อสู้ของนางไม่”
เมื่อเห็นสีหน้าเซียถงที่เริ่มชักจะไม่ค่อยพอใจหนึ่งส่วน ชิงเยวี่ยก็รีบกล่าวอธิบายกับไป๋ปิงต่อว่า
“ท่านอาจารย์ อย่าทำอะไรแปลกๆ เช่นนี้กับใครเขาเลย และอีกอย่าง นางมิได้มาที่นี่เพื่อขโมยโอสถของท่านซะหน่อย”
จากนั้นเขาก็หันไปกล่าวอธิบายกับเซียถงว่า
“เพราะผู้คนก่อนหน้านี้มักมีเจตนาร้าย จ้องแต่จะขโมยโอสถของท่านอาจารย์ข้าอยู่เสมอ เวลาเห็นคนแปลกหน้าจึงมักจะลงมือลงไม้สุ่มสี่สุ่มห้า”
“เข้ามา! เข้ามา!”
ไป๋ปิงชำเลืองมองเซียถงอยู่เล็กน้อย ค่อยยกมือขึ้นพับแขนเสื้อและกวักมือเรียกทั้งคู่เข้ามาอย่างเป็นกันเอง
เซียถงมุ่นคิ้วขมวดเบาๆ ถึงแม้ชิงเยวี่ยจะกล่าวเตือนให้ระวังอุปลักษณ์นิสัยแปลกๆ ของนางมาก่อนหน้าแล้ว แต่ใครจะไปคิดว่า ไป๋ปิงจะปฏิบัติกับแขกที่เพิ่งพบเจอกันครั้งแรกแบบนี้เลย ซึ่งนี่ทำให้นางรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
“คุณหนูเซีย เชิญเข้ามาก่อน”
ชิงเยวี่ยกลัวว่า เซียถงจะไม่สบอารมณ์ต่อพฤติกรรมแปลกๆ ของท่านอาจารย์ไป๋ปิง จนเลือกเปลี่ยนใจที่จะไม่ช่วยเหลือ ดังนั้นแล้ว เขาจึงรีบผ่ายมือเชื้อเชิญให้นางเข้าไปในกระท่อมไม้ก่อนเลย ส่วนทางด้านเซียถงก็สะบัดแขนเสื้อยาวไปสักที ก่อนสาวเท้าเดินขึ้นกระท่อมโดยตรง
ไป๋ปิงเหลือบสายตามองชิงเยวี่ยที่ผ่ายมือเชิญเซียถงเข้ามาพลางขมวดคิ้วถักขึ้นบางๆ และเดินนำทางเซียถงเข้าไป