ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 304 เซียนโอสถในตำนาน (2)
ตอนที่304 เซียนโอสถในตำนาน (2)
ตอนที่304 เซียนโอสถในตำนาน (2)
ตามคาดสิ่งที่ต้องการจะได้เห็นในบ้านของเซียนโอสถ ทั่วบริเวณทุกตารางกระท่อมหลังนี้เต็มไปด้วยสมุนไพรมากมาย และแต่ละชนิดล้วนแต่เป็นสมุนไพรหายากที่ควรอยู่บนเวทีประมูล แต่ทั้งหมดเหล่านี้กลับถูกโยนทิ้งกระจัดกระจายไปทั่วพื้นเสมือนเศษหญ้าไร้ค่าก็มิปาน กระทั่งบนโต๊ะหรือเก้าอี้ก็มีสมุนไพรรกเกะกะไปหมด หากสุ่มหยิบมันมาสักต้น เมื่อนำไปขายทอดตลาดน่าจะได้เงินกลับมาราวหลายพันเหรียญทอง กระท่อมไม้ซอมซ่อแห่งนี้แท้จริงแล้วเป็นสถานที่เก็บมหาสมบัติอย่างแท้จริง!
“หากชอบต้นไหนก็หยิบไปใช้ได้เลย อยากได้อะไรก็เอาไป”
ไป๋ปิงลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่ง กวาดนิ้วชี้ไปทางสมุนไพรที่กระจัดการจายเกลื่อนพื้นอย่างไม่ได้แยแสสนใจนัก จากนั้นก็เอนตัวพิงแผ่นหลังคล้ายกำลังจะพักผ่อน กล่าวขณะพักสายตาปิดสนิทขึ้นว่า
“หากเจ้าต้องการสิ่งใดก็จงพูดมาได้เลย”
ชิงเยวี่ยค่อยๆ เหยียบย่างผ่านดงสมุนไพรแสนยุ่งเหยิงบนพื้นเข้ามา เวลานี้เขารู้สึกละอายเล็กน้อยที่ต้องปล่อยให้เซียถงได้มาเห็นอะไรแบบนี้ เป็นเวลาเกือบครึ่งปีเต็มที่เขาไม่ได้เข้าเยี่ยมอาจารย์ แต่ใครจะไปคิดว่าภายในกระท่อมไม้จะรกหนักกว่าเก่า
“คุณหนูเซีย เชิญนั่งก่อน”
เซียถงนั่งลงบนเก้าอี้ที่ชิงเยวี่ยลากมาให้ เลิกคิ้วกระตุกขึ้นทีหนึ่ง เอ่ยถามขึ้นว่า
“ท่านปรมาจารย์ไป๋พยายามอย่างหนักเพื่อหลอมกลั่นโอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้าขึ้นมา มิทราบว่าระหว่างนั้นท่านได้พัฒนาสูตรโอสถอันใดเพิ่มเติมหรือไม่?”
“ฟังจากอาเยวี่ย เจ้ามีเพลิงพิภพเก้าดุษณีอยู่ในครอบครอง เช่นนั้นช่วยแสดงให้ข้าเห็นก่อนสักคราได้หรือไม่?”
ไป๋ปิงเด็ดกิ่งก้านสมุนไพรที่ติดพันอยู่บนเส้นผม เลือกที่จะหลีกเลี่ยงไม่ตอบคำถามใดๆ ของเซียถง แต่ยิงคำถามสวนกลับไปแทน
เซียถงชำเลืองมองไป๋ปิงไปทีหนึ่ง ย่อมทราบดี นางคนนี้ยังมีข้อกังขาสงสัยในตัวเองเกี่ยวกับเรื่องเพลิงพิภพเก้าดุษณี เพราะจะอย่างไร เพลิงพิภพเก้าดุษณีชนิดนี้เป็นไฟวิเศษในตำนาน จะพบเจอกับมันได้ก็แค่บนหน้าหนังสือหรือตำราโบราณเท่านั้น และเป็นเรื่องปกติที่จะไม่เชื่อกัน เซียถงมิได้ปริปากตอบใดๆ อีกต่อไป เพียงเหยียดฝ่ามือขวากางออกต่อหน้าต่อตาไป๋ปิง ทันใดนั้นก็มีเปลวเพลิงสีทองอร่ามลุกโชติช่วงออกมา
ไป๋ปิงถึงกับลุกขึ้นพรวดยืนขึ้นในบัดดล ดวงตาเบิกกว้าง จ้องมองไปที่เปลวเพลิงสีทองอร่ามบนฝ่ามือของเซียถงด้วยความเหลือเชื่อใจหาย ไม่นานนัก นางก็ร้องอุทานขึ้นคำหนึ่งว่า
“เพลิงพิภพเก้าดุษณีในตำนานมันมีอยู่จริง!”
“ท่านปรมาจารย์ไป๋ คงเชื่อแล้วกระมัง?”
เซียถงค่อยๆ หุบนิ้วทั้งห้าเข้าหากันและเก็บลงไป ดับเปลวเพลิงสีทองอร่ามหายวับต่อหน้าต่อตาไป๋ปิงที่ยืนตกตะลึงไม่หาย
“ชื่อเซียถงใช่ไหม? เจ้าต้องการสิ่งใด? ตราบเท่าที่ข้ามีปัญญาหามันมาได้ ไม่ว่าอะไรข้าจะหามาให้เจ้า!!”
ไป๋ปิงเพิ่งฟื้นสติกลับคืน เอนกายคว้าแขนเสื้อทั้งสองข้างของเซียถงกำแน่น ดวงตาเป็นประกายสว่างไสวเปล่งออกมาชัดเจน ร่องรอยความง่วงซึมที่อยู่ทั่วใบหน้าของนางถูกชำระล้างหายวับ เปลี่ยนกลายมาเป็นหญิงสาวที่ดูมีทีท่ากระตือรือร้นตลอดเวลาในทันที
“ข้าต้องการโอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้า”
เซียถงจับจ้องตาเขม็ง เจาะลึกลงไปยันชั้นม่านตาดำสีขลับดั่งน้ำหมึกของอีกฝ่าย และสะกดวาจาคำต่อคำออกมาอย่างแช่มช้า
ไป๋ปิงตะลึงงันไปชั่วขณะ ท่าทางความกระตือรือร้นของนางถูกเปลี่ยนแทนที่มาเป็นแววความประหลาดใจในทันใด มือทั้งสองข้างที่กำแขนเสื่อเซียถงแน่นหนาพลันปล่อยคลายออกมาโดยไม่รู่ตัว ก้าวถอยออกมาจับจ้องไปที่อีกฝ่ายด้วยความสงสัย ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า
“เจ้าจะนำโอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้าไปช่วยใคร?”
“คนที่สมควรมีชีวิตอยู่ต่อไป แล้วท่านปรมาจารย์ไป๋ล่ะ? อยากนำโอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้าไปช่วยใคร?”
สายตาทั้งสองคู่สบปะทะกันและกัน ได้เห็นปฏิกิริยาท่าทางของไป๋ปิงที่เปลี่ยนไป มุมปากเซียถงกระตุกเชิดสูงกลายเป็นรอยยิ้มสีบาง ภายในใจ ณ ปัจจุบันขณะยิ่งทำให้นางอยากรู้ขึ้นไปอีกว่า ใครกันแน่ที่ไป๋ปิงผู้นี้ต้องการจะช่วยเหลือ?
ใครคนนั้นเป็นบุคคลเดียวกับที่หยุนซีต้องการจะช่วยเหลือใช่หรือไม่?
สีหน้าการแสดงออกของไป๋ปิงดูหม่นหมองลงทันตา เสี้ยวอึดใจที่สบสายตากัน คล้ายกับว่าเซียถงแอบสังเกตเห็นหยาดน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาอย่างไร้สาเหตุ ไป๋ปิงรีบเบี่ยงสายตาหันหน้าไปอีกทางและกล่าวน้ำเสียงเรียบนิ่งเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า
“สหายเก่าคนหนึ่ง”
“สหายเก่าคนนั้นที่หลับใหลมาเป็นเวลาสิบปีแล้ว?”
เซียถงเอ่ยถามต่ออย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก
ทว่าทันทีที่วาจาคำกล่าวนี้เปล่งดังออกมา สีหน้าของไป๋ปิงก็แปรเปลี่ยนไปกะทันหัน ร่างของนางสั่นสะท้านด้วยความโกรธจัด สายตาจับจ้องเซียถงเขม็งเปี่ยมล้นแรงอาฆาตพยาบาท เปล่งเสียงคำรามอย่างฉุนเฉียวขึ้นลั่นว่า
“ระหว่างเจ้ากับหยุนซีมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องอะไรกัน?! หรืออีนังนั่นมันใช้ให้เจ้ามาที่นี่?!!!”
ชิงเยวี่ยผงะตกใจไปชั่วขณะ พึงทราบทันทีสว่าสถานการณ์ในเวลานี้ชักจะไม่ดีแล้ว เขาเป็นกังวลเหลือเกินว่า ท่านอาจารย์จะเข้าโจมตีใส่เซียถงอีกครา จึงรีบหันไปคว้าแขนอาจารย์และถามขึ้นทันทีว่า
“ท่านอาจารย์ หยุนซีคือใครงั้นรึ?”
“หยุนซีเป็นอาจารย์ของข้าเอง”
เซียถงกล่าวตอบอย่างใจเย็น
พินิจจากท่าทางและวาจาของไป๋ปิงแล้ว ระหว่างนางกับหยุนซีน่าจะมีรอยอาฆาตบาดลึกมิใช่น้อย!
“กลับไปบอกอีนังสารเลวนั่นซะ! หากข้าหลอมกลั่นโอสถไม่สำเร็จ มันเองก็เช่นกัน!”
ได้ยินคำตอบประโยคนี้ของเซียถง ไป๋ปิงก็ยิ่งเดือดดาลจัด ระเบิดพลังลมปราณสีม่วงบริสุทธิ์ล้นทะลักทลายออกมาจากร่างกาย รอบตัวมีเกลียวพายุหมุนโคจรตลบอบอวลไปทั่วทั้งบริเวณกระท่อม
ชิงเยวี่ยรีบกอดแขนไป๋ปิงแน่นหนา สีหน้าสุขุมนุ่มลึกที่พึงมีของบุรุษแสนหล่อเหลาได้อันตรธานหายไปสิ้น เหลือเพียงศิษย์น้อยคนหนึ่งที่พยายามห้ามปรามโทสะของท่านอาจารย์ตัวเองอย่างสุดกำลัง สีหน้าของเขาซีดเซียวลงมาก กล่าวปลอบขึ้นว่า
“ท่านอาจารย์ หากมีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจาจะดีกว่า โปรดระงับโทสะก่อน!”
“ท่านปรมาจารย์ไป๋ ระหว่างข้ากับหยุนซีกลับไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย ที่เรียกว่าอาจารย์เป็นเพราะนางสอนอยู่ในสถานศึกษาแห่งหนึ่ง แต่แท้จริงแล้วกลับไม่มีมิตรภาพลึกซึ้งกันใดๆ”
เซียถงยังคงนั่งมองไป๋ปิงระเบิดความโกรธเกรี้ยวออกมาอยู่บนเก้าอี้อย่างสงบ สีหน้าการแสดงออกของนางยังคงเย็นชาเหมือนเดิม
“สถานศึกษา? ตอนนี้อีนังนั่นมันอยู่ที่ไหน?!”
ไป๋ปิงขบฟันกรามสบกันดังกรอด ดวงตาคู่อาฆาตนั้นกลายเป็นสีแดงก่ำ
ยิ่งได้เห็นไป๋ปิงเดือดดาลปานใด แววความอยากรู้อยากเห็นก็ยิ่งฉายแววสว่างไสวขึ้นบนนัยน์ตาของเซียถงมากขึ้นเท่านั้น เป้าหมายที่นางมาหาไป๋ปิงในคราวนี้ ก็เพื่อตรวจสอบให้แน่ชัดว่า คนที่ไป๋ปิงต้องการช่วยเหลือคือชายที่ชื่อจือหยวนใช่หรือไม่? และหากใช่ นี่อาจจะทำให้ทุกคนที่มีเป้าหมายเดียวกันสามารถร่วมมือกันได้ แต่ใครจะไปคิดกันว่า ระหว่างไป๋ปิงกับหยุนซีจะบาดหมางอาฆาตกันปานนี้? ถึงทำให้นางโกรธเกรี้ยวเป็นฟืนเป็นไฟได้ในพริบตา
มิทราบเลยว่า เรื่องราวในอดีตระหว่างไป๋ปิงและหยุนซีมันเป็นมาอย่างไรกันแน่?
“ข้ารู้จักอีนังสารเลวนั่นดี! เห็นว่าหลายปีที่ผ่านมา มันตะลอนไปทั่วทวีป ถึงเวลานี้มันอยู่เป็นที่เป็นทางแล้วกระมัง?”
ไป๋ปิงกล่าวราวกับว่าตนรู้จักหยุนซีดีจริงๆ ทั้งยังกล่าวต่อด้วยความไม่เชื่ออีกว่า
“หากเจ้ากับอีนังนั่นมิได้สนิทชิดเชื้อกัน แล้วเจ้ารู้เรื่องเกี่ยวกับจือหยวนได้ยังไง?!”