ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 306 เซียนโอสถในตำนาน (4)
ตอนที่306 เซียนโอสถในตำนาน (4)
ตอนที่306 เซียนโอสถในตำนาน (4)
“หยุนซีรอก่อนเถอะ! สักวันข้าจะไปฆ่าเจ้าแน่นอน!”
ผ่านไปสักครู่ ไป๋ปิงก็กัดฟันกรอดก่นเสียงอาฆาตเล็ดลอดออกมาจากซอกฟัน ใบหน้าบิดเบี้ยวน่าเกียจสุดแค้นเกลียดชัง กลายมาเป็นภาพฉากสยองขวัญฉากหนึ่ง
“คุณหนูเซีย! ข้าพเจ้าต้องขอโทษจริงๆสำหรับทุกอย่างในวันนี้! ช่างน่าแปลกใจนักที่ท่านอาจารย์ไม่พอใจท่านขนาดนี้”
ชิงเยวี่ยรีบติดตามเซียถงมาติดๆอยู่ท้ายหลัง ทั้งสองเดินผ่านตรอกหนึ่งออกไปหายวับลับสายตาอันหมองหม่นของไป๋ปิง เมื่อครู่สีหน้าของเขาค่อนข้างซีดเซียว แต่ในยามนี้ได้ฟื้นคืนกลับมาดังเดิมแล้ว
เฝ้าสังเกตสีหน้าอันแสนสงบนิ่งของเซียถง กลับค้นพบว่ายากเกินกว่าจะเชื่อมถึง เจ้าตัวเปรียบเสมือนคนพาลตามตื้อ ใจละอายรู้สึกเฉกเช่นนั้น
“หุหุ เพราะข้าดันเป็นศิษย์ของศัตรูอาจารย์เจ้า และด้วยนิสัยเจ้าอารมณ์ของนาง หากต้องคราวปะทะกันจริงๆ เกรงว่า นางไม่มีวันยอมแพ้จนตัวตาย”
ภายใต้สายตาคู่นั้นที่กำลังครุ่นพินิจของเซียถง สีหน้าท่าทางของชิงเยวี่ยก็ดูสงบลง พร้อมหัวเราะคิกคักที่นางสามารารถคาดวิเคราะห์นิสัยของท่านอาจารย์ได้ถูกต้องแม่นยำนัก
เหลือบสายตามองเลือดสายหนึ่งที่ไหลซิบออกจากมุมปากของชิงเยวี่ย เซียถงขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมเอ่ยถามออกไปว่า
“เจ้าไม่เป็นอะไรกระมัง?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นอะไรตั้งแต่แรกแล้ว ส่วนเจ้านี่…ไว้ใช้หลอกท่านอาจารย์น่ะ”
จู่ๆชิงเยวี่ยก็ระเบิดหัวเราะออกมา และเอื้อมมือไปหยิบถุงเลือดสีแดงขนาดจิ๋ว พอลองบีบแรงๆสักทีหนึ่ง ก็มีเลือดปลอมไหลทะลักออกมา
แววความประหลาดใจโฉบแล่นผ่านขึ้นมาในดวงตาของเซียถงทันที
“เลือดบนมุมปากของข้าพเจ้าแท้จริงแล้วเป็นเลือดปลอมที่ทำมาจากยาน้ำสีแดง ข้ากังวลอยู่แล้วว่า ท่านอาจารย์จะต้องวัดฝีมือต่อสู้กับเจ้า ดังนั้นจำต้องตละเตรียมกลอุบาลอะไรไว้เสียหน่อย”
เขาคว้าผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปาดเช็ดบริเวณมุมปากอย่างเบามือ
“แต่ระดับพลังลมปราณของเจ้าไม่น่าจะทานทนต่อแรงกดดันขนาดนั้นได้ เจ้าปลอดภัยได้อย่างไรภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนั้น?”
เซียถงเอ่ยถามขึ้นคำหนึ่งด้วยความสงสัย ชิงเยวี่ยอยู่ใกล้ระยะที่เซียถงกับไป๋ปิงระเบิดพลังพลั่งพลูข่มปะทะมาก ซึ่งบริเวณดังกล่าวเป็นจุดที่พลังลมปราณที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างทั้งสองเข้มข้นที่สุด คนที่ไม่เคยฝึกปรือเรื่องการต่อสู้อย่างชิงเยวี่ยไม่มีทางทานทนได้ไหวแน่นอน
ชิงเยวี่ยขยิบตาให้เซียถง เอ่ยเสียงต่ำราวกับมีเบื้องหน้าเบื้องหลังซุกซ่อนไว้อยู่
“เพราะข้าพเจ้าสวมเกราะเต่าศึกปกป้องร่างกายไว้อยู่ ต่อให้เป็นขุมพลังขอบเขตราชันย์ม่วงก็ทำอะไรข้าไม่ได้”
ทันทีที่เซียถงได้ยินคำว่า เกราะเต่าศึก นางก็ใจเต้นแรงขึ้น สายตาคู่นั้นที่จับจ้องไปที่ชิงเยวี่ยก็เป็นประกายขึ้นทันที ชายคนนี้ครอบครองสมบัติเลื่องชื่ออยู่เช่นนี้ นางอดรู้สึกอิจฉามิได้
เกราะเต่าศึกคือเกราะอ่อนชนิดหนึ่งที่ทำมาจากกระดองเต่าหมื่นปี ความแข็งแกร่งทนทานมิจำเป็นต้องบรรยายสรรพคุณให้มากมาย มันถูกเชิดชูว่า เป็นหนึ่งในสมบัติล้ำค่าที่สุดในบรรดายุทธภัณฑ์สายตั้งรับ คมกระบี่ธรรมดาทั่วไปไม่สามารถเจาะทะลวงมันได้ อีกทั้งยังมีคุณสมบัติพิเศษที่ดีมาก เพราะถึงแม้จะแข็งแกร่งทนทานปานใด แต่น้ำหนักของมันกลับเบาหวิวและอ่อนนุ่ม หากมีเจ้าสิ่งนี้อยู่ในครอบครอง ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับยอดปรมาจารย์จักรพรรดิครามฟ้าอย่างไป๋หลี่หาน นางก็มั่นใจว่าพอฟัดพอเหวี่ยง
“หากคุณหนูเซียต้องการ ข้าพเจ้าเต็มใจมอบให้ได้ เพราะตัวข้าเองก็มิได้ชำนาญการเรื่องต่อสู้ เกราะเต่าศึกชุดนี้คงไม่มีประโยชน์อันใด”
เมื่อเห็นเซียถงจ้องมาที่ตนชนิดตาไม่กระพริบ ชิงเยวี่ยก็ยิ้มเสนอขึ้นมา
“ไม่เป็นไร”
เซียถงปฏิเสธในทันใด และความคิดชั่วร้ายก่อนหน้าที่โฉบผ่านขึ้นมาในจิตใจก็ได้มลายหายสิ้นไปแล้วเช่นกัน เพราะด้วยความใจกว้างของชิงเยวี่ย มันทำให้นางร้าสึกละอายใจมิใช่น้อย
นางหมุนตัวกลับหาได้สนใจชุดเกราะเต่าอ่อนอีกต่อไป ที่ว่านางรู้สึกละอายใจเป็นเพราะ ชั่วขณะที่ได้เห็นเกราะเต่าศึก ความคิดแรกที่ผุดขึ้นในใจของนางก็คือ ฆ่าชายคนนี้ทิ้งซะและชิงเกราะเต่าศึกมาเป็นของตน ทว่าชิงเยวี่ยคนนี้มิเพียงเป็นผู้มีบุญคุณที่เคยช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของนางมานัดต่อนัด แต่เขาก็ยังเป็นสหายที่ดีคนหนึ่ง อย่างไรเสีย ตอนนี้นางกลับต้องการจะสังหารเขาทิ้ง ใครบ้างจะไม่รู้สึกละอายใจ?
โชคดีจริงๆที่นางมิได้ยั้งคิดเสียสติไปชั่วขณะจนถึงขั้นลงมือลงไม้ ประโยชน์ของเกราะเต่าศึกค่อนข้างชัดเจน มันมีเพื่อช่วยชีวิตคน โดยทั่วไปแล้วใช้กับบุคคลที่อ่อนแอ และย่อมเหมาะสมที่สุดกับคนที่ต่อสู้ไม่เป็นแบบชิงเยวี่ย
ชิงเยวี่ยเช็ดมือเช็ดไม้สะอาดเอี่ยม พลางยกขึ้นปาดเช็ดเหงื่อเย็นที่เปียกดชุ่มบนหน้าผาก ชั่วขณะเขาลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่งอย่างลับๆ มีหรือที่คนอย่างเขาจะมองไม่เห็นถึงจิตสังหารที่ส่องสะท้อนออกมาจากดวงตาเซียงถง? โชคยังดีที่หญิงสาวนางนี้หาได้มีจิตใจชั่วร้าย
ในช่วงบ่ายของวัน องค์จักรพรรดิแห่งซีฉินได้จัดงานเลี้ยงใหญ่สำหรับผู้ร่วมประลองทั้งหมด และหลังจากที่งานเลี้ยงดังกล่าวเป็นอันสิ้นสุดลง พวกเขาเหล่านี้จะทยอยแยกย้ายกลับจักรวรรดิที่ตนอยู่กัน ซึ่งบรรดาผู้ร่วมประลองทั้งหมดจากสี่จักรวรรดิ เซียถงถือเป็นผู้ทรงเกียรติที่สุด เพราะนางเป็นคนเดียวที่องค์จักรพรรดิแห่งฉีซินและองค์จักรพรรดิแห่งตงหลี่เสด็จออกมารับและพานางเข้าสู่วังหลวงเป็นการส่วนตัว ซึ่งนี่ได้ดึงดูดความสนใจของประชาชนมิใช่น้อยเลย
งานเลี้ยงใหญ่ดังกล่าวจัดขึ้นในโถงหลักของวังหลวงซีฉิน บริเวณโถงทั้งสองข้างอันแสนหรูหรามีโต๊ะและเก้าอี้สีแดงอยู่เรียงราย บริเวณใจกลางด้านหน้าสุดเป็นบัลลังก์สีทองคำอันทรงเกียรติทั้งสี่ตัว โดยมีองค์จักรพรรดิแห่งหน่านเฟิงและองค์จักรพรรดิแห่งเป่ยฮั่นประทับอยู่แล้ว จะเหลือก็เพียงบัลลังก์อีกสองตัวที่ยังว่างเปล่า ซึ่งนั่นก็คือตำแหน่งขององค์จักรพรรดิแห่งตงหลี่และองค์จักรพรรดิแห่งซีฉิน รองลงมาเป็นที่นั่งของขุนนางและทูตจากจักรวรรดิต่างๆ ท้ายสุดก็คือโต๊ะจัดเลี้ยงของผู้เข้าร่วมงานประลอง
ทันทีที่เซียถงเหยียบย่างเข้ามาในห้องโถง นางก็กลายมาเป็นที่ดึงดูดความสนใจของทุกคนภายในงานทันที ขณะที่กำลังจะมุ่งหน้าเดินไปนั่งยังโต๊ะของผู้เข้าร่วมประลอง ทันใดนั้นก็ถูกองค์จักรพรรดิแห่งซีฉินหยุดเอาไว้ และชี้ไปยังบัลลังก์ทองคำด้านหน้าสุดแทน ตรงนั้นยังมีที่นั่งด้านหลังว่างอยู่ เขากล่าวกับนางว่า
“เซียถงไปนั่งบนนั้นไป”
ตำแหน่งที่เขากล่าวถึงคือ ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีของจักรวรรดิซีฉิน ซึ่งบนนั้นมันมีที่เหลือสองที่
คู่คิ้วเซียถงเลิกกระตุกเล็กน้อยเจือแววสงสัย ถึงแม้นางจะสามารถเอาชนะในศึกงานประลองสี่จักรวรรดิมาได้ แต่นางก็ยังไม่มีคุณสมบัติอันใดเลยที่จะไปนั่งเทียบเท่ากับขุนนางระดับชั้นอัครเสนาบดี หรือกระทั่งองค์จักรพรรดิแห่งซีฉิน แล้วอีกฝ่ายจะปล่อยให้นางไปนั่งบนนั้นได้อย่างไร?
องค์จักรพรรดิแห่งตงหลี่ที่นั่งอยู่ข้างเคียงถึงกับตะลึง เคลื่อนสายตามองไปยังองค์จักรพรรดิแห่งซีฉินที่คลี่ยิ้มแย้ม เขายิ้มกล่าวทักท้วงขึ้นว่า
“เกรงว่าตำแหน่งที่นั่งของเซียถงจะสูงเกินไปหน่อยหรือไม่?”
องค์จักรพรรดิแห่งซีฉินชำเลืองมองเซียถง สายตาเป็นประกายสว่างไสว ทั้งยังคลี่ยิ้มอย่างมีความหมายนัยแฝง
“ตราบเท่าที่ข้าคิดว่านางมีคุณสมบัติเพียงพอ ตำแหน่งที่นั่งนี้กลับไม่สูงส่งจนเกินไปเลย”