ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 307 องค์หญิงซีฉินเสียหน้าครั้งใหญ่ (1)
ตอนที่307 องค์หญิงซีฉินเสียหน้าครั้งใหญ่ (1)
ตอนที่307 องค์หญิงซีฉินเสียหน้าครั้งใหญ่ (1)
ทันทีที่วาจาคำกล่าวเช่นนี้แพร่งพรายดังออกมา สายตาคู่นั้นขององค์จักรพรรดิแห่งตงหลี่ก็แปรเปลี่ยนไปหนึ่งส่วน ทั้งองค์จักรพรรดิแห่งหน่านเฟิงและองค์จักรพรรดิแห่งเป่ยฮั่นที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ทองคำก็เช่นกัน ทั้งสองมองหน้าสบสายตากัน เผยสะท้อนแววแสงประหลาดโฉบแล่นออกมา กระทั่งบรรดาขุนนางชั้นสูงทั้งหลายในบริเวณนั้นก็ไม่ต่าง จ้องมองไปทางเซียถงพร้อมสาตาที่แปรเปลี่ยนแตกต่างออกไป
“ไยรึ? หรือจักรพรรดิตงหลี่คัดค้าน?”
องค์จักรพรรดิแห่งซีฉินชำเลืองสายตาใส่องค์จักรพรรดิแห่งตงหลี่ มุมปากกระดกยิ้มถามขึ้นเล็กน้อย
“ไม่เลย! ไม่เลย! นับเป็นเกียรติแด่ตงหลี่ยิ่งแล้ว เชิญจักรพรรดิซีฉินขึ้นนั่ง”
องค์จักรพรรดิแห่งตงหลี่ยิ้มแย้มตอบกลับ ทว่าลึกลงไปในดวงตากลับเผยแสดงหมอกควันสีหม่นทมิฬจางๆ
เซียถงหาได้สนใจองค์จักรพรรดิทั้งสองร่วนเสวนา นางสืบเท้าก้าวขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ที่อยู่ด้านหลังขององค์จักรพรรดิแห่งซีฉินทันที ปราศจากทีท่าประหม่าหรือครั่นคร้ามใดๆ ซึ่งบริเวณดังกล่าวถือได้ว่าอยู่ในตำแหน่งเกือบสูงสุดในงานเลี้ยง จะเป็นรองก็เพียงองค์จักรพรรดิทั้งสี่อยู่หนึ่งขั้นเท่านั้น
คล้อยหลังนั่งลงแล้ว เซียถงลอบได้ยินเสียงลมหายใจเย็นชาคำโตพ่นเข้าใส่เบาๆ จากพวกขุนนางชั้นสูงแห่งซีฉินที่อยู่ข้างๆ ถึงเช่นนั้นนางก็ยังมิได้สนใจอะไรจริงจัง พลางคว้าจอกสุราข้างโต๊ะขึ้นกวัดแกว่งเล่น สีหน้าการแสดงออกดูเป็นธรรมชาติราวกับอยู่ในบ้านตัวเอง หาได้สนใจทุกสายตาที่จับจ้องมา ซึ่งในบรรดาเหล่านั้น มีทั้งความอิจฉาริษยา ความชื่นชม หรือกระทั่งความเกลียดชัง… อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนนางหาได้สนใจ
องค์จักรพรรดิแห่งซีฉินเดินตรงไปนั่งบนบัลลังก์ทองคำที่ยังว่างอยู่ด้านหน้าเซียถง ประทับพักพิงพร้อมกันกับองค์จักรพรรดิแห่งตงหลี่ที่อยู่เคียงข้าง
จากนั้นเขาก็เริ่มเอ่ยปากพล่าม คุยโวไปว่าจักรวรรดิของตนนั้นเจริญรุ่งเรืองและยิ่งใหญ่เพียงใด ทั้งยังวกกลับมาชื่นชมเกี่ยวกับเรื่องพรสวรรค์ของเซียถงเป็นระยะ สิ้นเสร็จเรื่องไร้สาระไม่มีแก่นสาร องค์จักรพรรดิแห่งซีฉินจึงค่อยป่าวประกาศเริ่มต้นงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการ เสียงดนตรีแสนไพเราะบรรเลงกึกก้อง ประดับคู่เหล่าสาวงามออกมาร่ายรำ
รับชมบรรดาสาวงามร่ายระบำตรงหน้า ยิ่งผ่านไปนานเข้า เซียถงยิ่งรู้สึกเบื่อหน่ายเสียเหลือเกิน อนึ่งนางไม่ชอบงานเลี้ยงรื่นเริงเฉกเช่นนี้เสียเลย ทว่าเรื่องนี้กลับช่วยไม่ได้ เพราะตนได้รับการเชื้อเชิญจากองค์จักรพรรดิทั้งสองเป็นการส่วนตัวถึงโรงเตี้ยม หากยังพอมีสมองอยู่บ้าง คงไม่มีใครโง่หาญกล้าปฏิเสธจนเสี่ยงโดนมองเป็นศัตรูแน่นอน ยกมือเท้าคางพักพิงอยู่ตรงพนักพิงบัลลังก์ นางทอดสายตามองกึ่งหลับกึ่งตื่นด้วยความเบื่อหน่าย
“งานแสดงร่ายรำขององค์หญิงแห่งซีฉินน่าเบื่อหน่ายมากกระมัง?”
ทันใดนั้นเองก็มีสุ้มเสียงของใครบางคนดังขึ้นจากเคียงข้าง
และทันทีที่เซียถงชำเลืองมองเคียงข้าง ก็บังเอิญเสาะพบเข้ากับใบหน้าที่ยิ้มแย้มอบอุ่นของชิงเยวี่ย ดวงตาคู่สวยของนางที่กำลังปิดลงอย่างแช่มช้าได้เบิกกว้างขึ้นอีกครา เพราะสิ่งที่นางตกใจที่สุดคือ ชิงเยวี่ยในเวลานี้สวมเสื้อคลุมสีเหลืองลายปักมังกรทองคำขนาดใหญ่บนตัว
เสื้อคลุมมังกรทองเฉกเช่นนี้มีเพียงตำแหน่งเดียวเท่านั้นที่มีคุณสมบัติสามารถสวมใส่ได้ นั่นก็คือ…ตำแหน่งองค์รัชทายาท!
ยิ่งมองชิงเยวี่ยมากเท่าไหร่ แววความสงสัยยิ่งเผยปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้นในดวงตาของเซียถง จนสุดท้ายอดใจเอ่ยถามออกไปมิได้ว่า
“นี่ท่าน…เป็นองค์รัชทายาทแห่งซีฉินงั้นรึ?”
“เรียกเช่นนั้นคงไม่ถูกต้องนัก ข้าเป็นแค่บุตรบุญธรรมของฝ่าบาทเสียเท่านั้น”
ชิงเยวี่ยยกจอกสุราในมือขึ้นริมจิบเล็กน้อย ปรายยิ้มบางเป็นคำตอบ เนื่องด้วยในราชวงศ์ซีฉินแห่งนี้ไม่มีทายาทคนใดเป็นผู้ชายเลย ดังนั้นถึงชิงเยวี่ยจะมีศักดิ์เป็นบุตรบุญธรรม แต่ก็ถือได้ว่าเป็นองค์รัชทายาทแห่งซีฉินอย่างเป็นทางการแล้ว
เดิมทีเซียถงก็สงสัยตั้งแต่ตอนก้าวขึ้นมานั่งแล้วว่า เหตุไฉนบัลลังก์ทองคำด้านหลังองค์จักรพรรดิซีฉินถึงมีที่นั่งเกินมาตำแหน่งหนึ่ง ปรากฏว่าที่ว่างดังกล่าวถูกสงวนไว้ให้เขาโดยเฉพาะ แต่ส่วนที่ว่าอีกฝ่ายมานั่งตั้งแต่ตอนไหน นางเองก็มิทราบ
ถึงจะทราบดังนั้น แต่เซียถงก็ยังมิได้สนใจอยู่ดีว่าสถานะตัวตนที่แท้จริงของชิงเยวี่ยจะเป็นองค์รัชทายาทหรืออะไร นางเหลียวศีรษะหันกลับมา พลางยกมือเท้าคางดังเดิมอย่างเบื่อหน่าย ยิ่งได้เห็นท่วงท่าร่ายรำอรชรพลิ้วไสวเหล่านี้ที่เป็นตีวกล่อมนอนชั้นดี ตัวนางก็ยิ่งอยากจะหลับเหลือเกิน
ชิงเยวี่ยยังคงรับชมองค์หญิงซีฉินที่กำลังร่ายรำอย่างตั้งใจต่อไป แลไปเห็นว่าเซียถงหลับปุ๋ยลงไปแล้ว เขาก็รีบเบี่ยงตัวเข้ากระซิบข้างหูนางทันที
“องค์หญิงซีฉินอุตส่าห์ออกมาร่ายระบำเป็นการส่วนตัว แต่หากนางเหลือบมาเห็นว่าท่านกำลังหลับ เกรงว่าจะมีปัญหาได้หลังจากนี้”
“จะทำอะไรก็ทำไปเถอะ!”
เวลาคนง่วงจัดอย่าได้รบกวน ซึ่งเซียถงในเวลานี้ก็เช่นกัน สิ้นเสียงกล่าวจบนางก็หลับใหลต่อไป แต่ขณะที่กำลังตกสู่ภวังค์หลับลึก จู่ๆ นางก็สัมผัสได้ถึงสายตาเฉียบคมคู่นี้ที่กำลังยิงเข้าใส่ไม่มีคลายอ่อน ทันทีทันใด อาการง่วงซึมทั้งมวลพลันอันตรธานหายวับไป พอลืมตาตื่นขึ้นมาก็ได้ค้นพบต้นสายปลายเหตุ แลเห็นหน้ากากสีดำขลับจากบัลลังก์เคียงข้างกำลังจับจ้องมาทางนี้อย่างไม่เป็นมิตรนัก
ไป๋หลี่หานนั่งอยู่ไม่ไกลจากนางนัก กำลังถือจอกสุราแกว่งไปมา แผ่นหลังเอนมายังทิศทางนี้เล็กน้อย ราวกับกำลังตั้งใจดักฟังคนข้างๆ ว่ากำลังสนทนาเรื่องอะไร สายตาคู่คมภายใต้หน้ากากจ้องเขม็งมองมา เผยความเปรี้ยวหึงหวงส่งกลิ่นมาแต่ไกล
นางไม่เคยเห็นแววตาของเขาเอาจริงเอาจังขนาดนี้มาก่อน ซึ่งนี่ทำเอาเซียถงถึงกับเสียวซ่านชาสะท้านไปทั่วแผ่นหลัง รีบพยุงตัวขึ้นจัดท่านั่งหลังตรงแน่วโดยมิได้ตั้งใจ
จากนั้นไม่นาน สายตาคู่เฉียบคมประหนึ่งคมกระบี่ก็ค่อยๆ เลื่อนผ่านสู่ชิงเยวี่ยที่อยู่ข้างนาง เสมือนอุณหภูมิรอบตัวตกฮวบเย็นลงทันทีนับสิบองศา มือข้างนั้นของชิงเยวี่ยที่กำลังถือจอกสุราพลันเกิดอาการสั่นเทาอย่างไร้สาเหตุ แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังเอนตัวเข้าชิดใกล้กับเซียถง และกระซิบข้างหูนางว่า
“ดูเหมือนว่าท่านราชาหมาป่าสวรรค์ของท่านจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ เวลาที่ข้าพเจ้ามอยู่ใกล้ชิดกับตัวท่าน”
เซียถงหันขวับชำเลืองสายตาใส่ชิงเยวี่ยอย่างเดือดดุ ภายหลังพิงตระหนักได้ว่า ชิงเยวี่ยเอี้ยวตัวเข้ามาชิดใกล้กับนางเกินไปมาก นางจึงค่อยๆ เอื้อมมือไปผลักไสอีกฝ่ายเบาๆ และกล่าวว่า
“นายท่านชิงเยวี่ยได้โปรด กลับไปนั่งประจำที่ของท่านเถอะ”
ชิงเยวี่ยคลี่ยิ้มแย้มแผ่วเบา และเอี้ยวตัวกลับไปนั่งประจำตำแหน่งของตนดังเดิม ทว่าถึงแม้เจ้าตัวจะกลับไปนั่งจุดเดิมแล้วก็ตาม แต่สายตาคู่นั้นของเขาที่มองมาหาเซียถงก็ยังดูพิเศษเกินมิตรสหายอยู่ดี
ไป๋หลี่หานนั่งจ้องหน้าชิงเยวี่ยเขม็ง หากสังเกตให้ดีจะปรากฏหมอกสีทมิฬจางอ่อนที่ปกลคุมอยู่บนนัยน์ตาของเขา หลังจากที่เห็นชิงเยวี่ยกลับมาสวมเสื้อคลุมมังกรทองซึ่งเป็นสัญลักษณ์ขององค์รัชทายาท แถมยังถูกจัดตำแหน่งที่นั่งให้อยู่ข้างเซียถงอีก เท่านั้นเขาก็คาดเดาได้แล้วว่า องค์จักรพรรดิแห่งซีฉินกำลังวางแผนอะไรไว้อยู่ในหัว
แต่เกรงว่า ความคิดดังกล่าวนี้จะมิได้อยู่เพียงในหัวขององค์จักรพรรดิแห่งซีฉินเท่านั้น แต่มันยังรวมไปถึงองค์จักรพรรดิอีกสามพระองค์ที่เหลือ ลองคิดดูสิว่า หากได้สาวน้อยผู้เป็นยอดอัจฉริยะ สามารถทะลวงขึ้นเป็นยอดฝีมือขอบเขตราชันย์ม่วงได้ตั้งแต่อายุสิบห้าปีมาเป็นพวก องค์จักรพรรดิพวกนี้จะยิ่งทรงพลังอำนาจขึ้นเพียงใด!
ทางฝั่งของเซียถง นางก็ยังมิได้สนใจอะไรเช่นเดิม ไม่ว่าจะเป็นทั้งตัวชิงเยวี่ยหรือไป๋หลี่หานที่กำลังมองนางตาเขม็ง ในเมื่อตื่นแล้วทั้งที เช่นนั้นก็คงต้องรับชมท่วงท่าร่ายรำขององค์หญิงซีฉินคนนี้เสียหน่อย แลชมกระโปรงระบายผ้าบางสีชมพูบิดพริ้วไปมา มองไปสักพักนางชักจะเวียนศีรษะขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ณ ใจกลางโถงใหญ่ มีบรรดาสาวงามทั้งหลายรายล้อมประดุจดวงดาราพราวแสง คนที่ดูโดดเด่นที่สุดคงหนีไม่พ้นองค์หญิงซีฉินที่กำลังยกมือยกไม้ร่ายรำไปตามสำราญ ประดับเคียงเสียงปรบมือเป็นระยะ
ถึงแม้องค์หญิงซีฉินจะดูโง่หรือระดับสมองค่อนข้างต่ำอยู่บ้าง แต่ก็ปฏิเสธมิได้เช่นกันว่า นางค่อนข้างมีพรสวรรค์มากในด้านการร่ายรำ ในงานเลี้ยงใหญ่วันนี้ นางพยายามแต่งหน้าประทินผิวให้สวยโดดเด่นที่สุด และเค้นสุดความสามารถเพื่อร่ายระบำในครั้งนี้ หวังเพียงว่า จะสามารถดึงดูดให้ไป๋หลี่หานหันมาสนใจกันบ้าง และเมื่อได้ยินเสียงปรบมือจากผู้คนรอบตัว นางเองก็โค้งศีรษะผงกลงเล็กน้อยด้วยความภาคภูมิ พร้อมส่งสายตาอันเร่าร้อนและมากเสน่ห์ประดุจวิหคเพลิงไปทางไป๋หลี่หาน
นางมั่นใจอย่างมากว่า ท่วงท่าการร่ายรำของตนจะสามารถชนะใจของไป๋หลี่หานได้ แต่ใครจะไปรู้ว่า ความจริงแล้วอีกฝ่ายกำลังจับจ้องมองไปทางอื่นโดยไม่ได้สนใจตัวนางแม้สักนิด พอมองติดตามสายตาของไป๋หลี่หานไป ก็พานพบเข้ากับเซียถงที่กำลังนั่งแกว่งจอกสุราในมืออย่างเบื่อหน่าย ทันใดนั้นเอง ความสุขภายในดวงใจพลันมลายสิ้นสูญ ก่อเกิดเป็นเพลิงพิโรธลุกโชติช่วงขึ้นแทน
นางยังจำได้ไม่มีลืมเลือน หลังจากที่ดื่มสุราอำพันทิพย์ในครานั้นเข้าไป นางก็ตกอยู่ในภวังค์แห่งกามอารมณ์ถึงสามวันสามคืนติด และในช่วงสามวันนั้น นางก็เกือบได้เสียกับคนรับใช้ไปแล้วหลายรอบ ทั้งยังส่อกิริยาสองแง่สองง่ามใส่บรรดาขุนนางทั้งหลายที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยือน จนท้ายที่สุดเสด็จพ่อของนางมิอาจทานทนได้ไหว จึงส่งนางเข้าไปอยู่ในตำหนักเย็นตั้งแต่นั้น และเนื่องจากวันนี้มีงานเลี้ยงใหญ่ภายในวัง นางจึงได้รับอภิสิทธิ์พิเศษ ถูกเรียกตัวออกมาเพื่อทำการแสดงร่ายรำ