ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 31 ไม่มีใครมองนางในแง่ดี (1)
ตอนที่ 31 ไม่มีใครมองนางในแง่ดี (1)
หันเห็นว่าไป๋หลี่หานคว้าจับมือของเขาแน่น เซี่ยอี้เฉินเนื้อตัวสั่นเทาไปทั้งร่างด้วยความหวาดกลัวจัด แข้งขาอ่อนระทวยแทบยืนไม่อยู่ พอเห็นอีกฝ่ายคลายมือของตนออก ก็รีบทิ้งตัวคุกเข่า ก้มศีรษะจรดแทบพื้นดิน ขดตัวเก็บแขนเก็บขาหวาดผวาอยู่เช่นนั้น
ไป๋หลี่หานเอ่ยขานวาจาไม่หวานไม่เค็ม กล่าวเสียงนิ่งว่า
“เสนาบดีเซี่ยไม่จำเป็นต้องทำถึงเพียงนี้ เพียงว่าบุตรสาวของท่านรู้เท่าไม่ถึงการณ์เท่านั้น แถมนี่ก็แค่ครั้งแรก ใครบ้างไม่เคยทำผิด? เรื่องในคราวนี้ถือซะว่าไม่เคยเกิดขึ้นเสียแล้วกัน”
คล้อยหลังกล่าวจบ เขาก็หันไปมองทางเซี่ยถงเล็กน้อย
“ขอบพระคุณยิ่งแล้ว ขอบพระคุณยิ่งแล้วสำหรับน้ำใจอันเหลือล้นของท่าน!”
เซี่ยอี้เฉินโขกศีรษะขอบคุณด้วยความซึ้งใจ
เซียถงยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เพิ่มเติมคือเผยสีหน้าแววความประหลาดใจออกมา ตะกี้ยังเคลื่อนไหวลองภูมิกับข้าอยู่เลย ไฉนตอนนี้กลับปล่อยไปไม่เอาความ? เจ้านี่หาใช่ว่าสมองผิดปกติกระมัง?
เมื่อเห็นสีหน้าการแสดงออกของเซียถงเสมือนไก่ฉงนใจเช่นนั้น ไป๋หลี่หานก็คลี่รอยยิ้มสีบางเผยออกมา ดูคล้ายจะพึงพอใจไม่น้อย จากนั้นค่อยหันไปทักทามเหล่าองครักษ์และพาพวกคนเหล่านั้นจากออกไป
ไป๋หลี่หานจากไปแล้ว เซี่ยอี้เฉินจึงค่อยลุกขึ้นจากพื้น ริมฝีปากชักกระตุกอย่างแรงเมื่อหันไปจ้องมองเซียถง สายตาของเขามีมอบให้แก่นางช่างเย็นชาสุดหยั่งถึงนัก
ยามนี้ก็กลางค่ำกลางคืนแล้ว เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ไปทีหนึ่ง ทำท่าทีช่วยไม่ได้นัก และหมุนตัวเดินจากออกไปทั้งใบหน้าทะมึนตึง
“คุณหนู ท่าน…ท่านตั้งใจลงมือกับท่านราชาหมาป่าสวรรค์จริงๆ รึ?”
อิ๋งเอ๋อร์วิ่งตรงเข้าหาคุณหนูของตนโดยไว ส่งสายตาล่อกแล่ก ขณะเอ่ยกล่าวพลางยกมือยกไม้ถูกไถไปมาด้วยความกังวล ทั้งยังกล่าวอีกว่า
“คุณหนู มันจบแล้ว! พวกเราจบเห่แล้ว! เขาจะต้องกลับไปคิดหาวิธีจัดการกับคุณหนูแน่นอน!”
“เจ้านั่น…ดูจะไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร”
แม้ว่านางจะเพิ่งถูกไป๋หลี่หานลองภูมิไปหมาดๆ แต่เซียถงกลับไม่รู้สึกถึงแรงจิตสังหารใดๆ จากตัวอีกฝ่ายเลย อย่างน้อยที่สุด เขาเองก็เคยช่วยเหลือนางอยู่สองถึงสามครั้ง ทั้งยังเหตุการณ์เมื่อครู่ หากไป๋หลี่หานไม่กล่าวขัดจังหวะออกมาได้ทันเวลา นางเองคงปลิดชีพองค์รัชทยาทลงไปแล้วจริงๆ
แน่นอน เซียถงมิได้กลัวว่า ผู้คนทั่วทั้งจักรวรรดิตงหลี่แห่งนี้จะหันคมดาบ ตั้งตัวเป็นศัตรูกับนาง แต่เรื่องราวดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อท่านแม่ของนางเต็มๆ หากลองครุ่นพินิจให้ดี ตัวนางเองก็หุนหันพลันแล่นเกินไปจริงๆ ในคราวนี้ จะอย่างไร นางหาใช่ตัวคนเดียวอย่างชีวิตก่อนหน้า จะทำอะไรควรคิดหน้าคิดหลังมากกว่านี้ สุดท้ายนี้ ทั้งชีวิตของนางมีแม่แค่คนเดียว จะให้ไม่ห่วงเลยคงเป็นไปได้เช่นกัน
“คุณหนู ราชาหมาป่าสวรรค์ ผู้คนล้วนกล่าวขานถึงบุคลิกนิสัยอันโหดเหี้ยม ฆ่าคนไม่เลือกหน้า ไม่เคยสนชายหรือหญิง! คุณหนูสร้างความขุ่นเคืองแก่อีกฝ่ายในวันนี้ เกรงว่าจะต้องระวังมากขึ้นในอนาคตดีกว่าเจ้าค่ะ!”
คู่คิ้วอิ๋งเอ๋อร์ขมวดย่นถักหาแทบชนกัน ใบหน้าน้อยๆ ของนางดูเป็นกังวลไม่น้อยเลย
“อืม ข้าจะระวัง”
สำหรับความกังวลที่อิ๋งเอ๋อร์กำลังวิตกอยู่ในขณะนี้ เซียถงกลับหาได้นำพามาใส่ใจไม่เลย แต่คงต้องกลับไปแบบนั้นเพื่อความสบายใจของอีกฝ่าย หลังจากสนทนาเสร็จสรรพ นางก็เดินทางกลับเรือนพักด้านหลังจวนตามปกติ
พอเดินผ่านสวนฝั่งหลังของจวนเสนาบดี นางก็เดินไปพบกับองค์รัชทายาทไป๋หลี่เย่และเซี่ยเสวี่ยเหลียน
ไป๋หลี่เย่โอบกอดเอวของเซี่ยเสวี่ยเหลียน กำลังเดินออกไปทางประตูด้านหลังของจวน ลักษณ์ท่าทางระหว่างทั้งสองดูใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก
พอเหลือบไปสังเกตเห็นเซียถงที่เดินผ่านมา ไป๋หลี่เย่ก็มิได้มีเจตนาสร้างปัญหาดั่งที่เคย เพียงเหล่หางตามองเล็กน้อย และรีบดึงเซี่ยเสวี่ยเหลียน เร่งฝีเท้าเดินจากออกไปโดยเร็ว
เซียถงเหลียวมองแผ่นหลังของทั้งคู่ที่เดินไกลห่างจากออกไป หัวคิ้วทั้งสองข้างบนใบหน้าของนางพลันขมวดคิ้วเล็กน้อย ราวกับสัมผัสได้ถึง ความผิดแปลกไปจากทั่วไปเล็กน้อย โดยกมลสันดานของเซี่ยเสวี่ยเหลียน อย่างนางมีหรือจะไม่พูดจาดูถูกถากถางตนยามที่พบเจอกัน? นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์โดยแท้ที่เกิดขึ้นจริง
อย่างไรเสีย เซียถงก็มิได้ใส่ใจอะไรนัก และพาอิ๋งเอ๋อร์กลับเรือนพักไป
วันต่อมา เซียถงตื่นขึ้นตั้งแต่รุ่งสาง หยิบมีดสั้นที่ซ่อนในแขนเสื้อออกมา และหาหินสักก้อนมาลับเพิ่มเสริมความคม จากนั้นค่อยเรียกให้อิ๋งเอ๋อร์ยกอาหารเช้าเข้ามา
“คุณหนู อาหารเช้ามาแล้วเจ้าค่ะ รีบทานตั้งแต่ยังร้อนๆ อิ่มแล้วจะได้มีแรงสู้ศึกในวันนี้!”
อิ๋งเอ๋อร์ยกชามอาหารวางไว้บนโต๊ะ เบื้องหน้าเซียถง
รายการอาหารยังคงเดิมเติมตามปกติ โจ๊กชามหนึ่งคู่กับผักดองเป็นเครื่องเคียง ก็มิทราบเช่นกันหรอกว่า นี่จงใจกลั่นแกล้งกันรึเปล่า แต่เป็นถึงบุตรสาวคนโตแห่งจวนเสนาบดีที่มีสถานะมั่นคั่งในระดับหนึ่ง มื้อเช้าในแต่ละวัน มันมีเพียงแค่นี้จริงๆ งั้นรึ?
คล้อยหลังรับประทานอาหารเสร็จ นางก็พาอิ๋งเอ๋อร์เดินผ่านลานหน้าเรือนพักของตน ขณะจะก้าวย่างออกไป ก็บังเอิญไปพบเซี่ยเสวี่ยเหลียนโดยไม่ตั้งใจ
เซี่ยเสวี่ยเหลียนกำลังยืนอยู่แถวบริเวณนั้น พอนางเห็นเซียถงเดินออกมา ก็ถึงขั้นเบะปากปั้นสีหน้ารังเกียจ และกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงขยะแขยงยิ่งว่า
“เซียถง ยืนให้ห่างจากข้าเสีย แค่เห็นก็จวนจะอ้วกออกมาอยู่แล้ว! ข้าขอเตือนสักอย่าง ทันทีที่ขึ้นสนามประลอง แนะให้เจ้ารีบยอมแพ้เสียดีกว่า อย่าทำให้อับอายขายขี้หน้าจนลามมาถึงจวนเสนาบดีของข้า!”
เซียถงเหลียวแล เพียงปรายหางตามองเท่านั้น นางไม่อยากร่วมเสวนากับอีกฝ่ายให้เสียเวลาเปล่า เมินเฉยต่อทุกการกระทำของเซี่ยเสวี่ยเหลียน พาอิ๋งเอ๋อร์เดินผ่านออกไป ทำราวกับเป็นธาตุอากาศไม่มีตัวตน
พอมาถึงสนามประลอง ก็แออัดเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา และทันทีที่ทุกคนเห็นเซียถงปรากฏตัวขึ้นมา พวกเขาเหล่านั้นก็เริ่มจับกลุ่มพูดคุยกันได้ทันที
“เจ้าลองเดาดูหรือไม่ว่า ใครกันที่จะคว้าอันดับหนึ่งของงานชุมนุมลมปราณครั้งนี้ไป? องค์รัชทายาทไป๋หลี่เย่ หลัวซี หรือสาวน้อยมากพรสวรรค์จากตระกูลเซี่ย”
“เซียถงจักต้องพ่ายลงแก่องค์รัชทายาทแน่นอนในรอบนี้ องค์รัชทายาทมีพลังความแข็งแกร่งยิ่งยวด แต่จะอย่างไร เขาก็น่าจะพลาดท่าให้กับหลัวซีในท้ายที่สุด”
“งานชุมนุมลมปราณในครั้งนี้ หลัวซีเป็นผู้ชนะโดยไม่ต้องสงสัย ตั้งแต่รอบแรกจนตอนนี้ เขายังเอาแต่ใช้ก้านกุหลาบ กำราบคู่แข่งทั้งสิ้น ยังไม่มีใครเห็นเขาเอาจริงเลยสักครั้งเดียว”
“ถูกต้อง ข้าเองก็คิดว่าเป็นหลัวซี ไม่เพียงความแข็งแกร่งที่น่ากลัวเกรง แต่รูปโฉมยังหล่อเหลาถล่มเมือง”
ทุกการปรากฏตัวของหลัวซี ล้วนแต่สร้างประสบการณ์ความตราตรึงใจให้แก่ทุกคน เพียงสะบัดแขนเล็กน้อยก็สามารถโค่นคู่ต่อสู้ลงได้ในพริบตา ทั้งยังคงความสุขุมนุ่มลึก เปรียบเสมือนเทพเซียนภายในใจใครหลายคน โดยเฉพาะกับหญิงสาวทั้งหลาย ในรอบชิงชนะเลิศ องค์รัชทายาทไป๋หลี่เย่ กล่าวได้ว่าเจอศึกหนักครั้งใหญ่หลวงที่สุดในชีวิต
ส่วนเซียถงงั้นรึ? ไม่มีใครต่างคิดว่า นางจะเอาชนะองค์รัชทยาทไป๋หลี่เย่ไปได้
เพราะสุดท้ายนี้ ถึงนางจะเก็บซ่อนพลังความแข็งแกร่งอย่างไร ก็น่าจะมีขีดกำจัดสูงสุดอยู่ที่ขอบเขตเสาหลักเขียวขั้นสูงเท่านั้น
ในขณะที่ไป๋หลี่เย่และหลัวซี ล้วนมีพลังอยู่ที่ขอบเขตเสาหลักฟ้ากันหมดแล้ว
ดังนั้น จึงไม่มีใครมองเซียถงในแง่ดีเลยสำหรับการประลองในวันนี้
เช้าวันนี้ ทั้งที่เป็นรอบการประลองระหว่างนางกับไป๋หลี่เย่ แต่ทุกคนกลับเอาแต่พูดถึงหลัวซี นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า ไม่มีใครสนใจการประลองในที่กำลังจะเกิดขึ้นตรงหน้าเลย ราวกับว่าพวกเขาทราบผลลัพธ์กันดีอยู่แล้ว
เพิ่งจะหาที่นั่งหย่อนก้นนั่งลงได้ไม่นาน ทันใดนั้นเซียถงก็เห็นเซี่ยหลู่เฟิงในชุดคลุมผ้าสีหยก รีบเร่งตรงมาหานาง
“ถงถง การประลองระหว่างเจ้ากับองค์รัชทายาทหลังจากนี้ หากเมื่อใดที่เจ้าตระหนักว่า ตนไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้เลย ยามนั้นก็รีบประกาศยอมแพ้ให้ทันการณ์ อย่าได้ฝืนตัวเองเข้าใจหรือไม่?”
เซี่ยหลู่เฟิงมีสีหน้าค่อนข้างวิตกกังวลมากในยามนี้ เขาทราบดีว่า ไป๋หลี่เย่รังเกียจน้องสาวของเขาเพียงใด ทั้งยังเคยเห็นอีกฝ่ายทำตัวแย่ๆ ใส่นางก็หลายครั้ง ก็เลยต้องรีบวิ่งมาเตือนก่อนจะถึงเวลาลงสนามจริง
เพราะในคราวนี้ ศึกสัประยุทธ์ระหว่างเซียถงกับไป๋หลี่เย่ เขาไม่ทราบเลยว่า ชายคนนั้นจะแอบมีแผนการสกปรกชั่วช้าอันใด ไว้เตรียมจัดการกับน้องสาวของเขาหรือไม่
“ไม่ใช่ข้าที่จะแพ้”
เซียถงเงยหน้า ประกายแสงที่ส่องสะท้อนออกจากสายตาคู่นั้นของนาง ช่างเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจ
เซี่ยหลู่เฟิงตะลึงงันไม่น้อย ก่อนจะยกมือทั้งสองข้างอันแสนอบอุ่นตบลงบนไหล่ของเซียถง เฝ้ามองนางดูเป็นกังวล
“ถงถง จำเอาไว้ว่า มันมิได้สำคัญเลยว่าเจ้าจะชนะหรือแพ้ ตราบเท่าที่เจ้ายังปลอดภัย”