ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 314 บททดสอบ (2)
ตอนที่314 บททดสอบ (2)
ตอนที่314 บททดสอบ (2)
“นี่เป็นคำถามที่ปราศจากคำตอบ! ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอกเซียถง! มันไม่มีวิธีใดที่จะทำให้เส้นด้ายบางๆ ร้อยผ่านทั้งเก้ารูได้!”
หนึ่งในขุนนางชั้นสูงผู้หนึ่งของซีฉินได้ยืนขึ้น และชี้หน้าคำรามใส่เซียถงอย่างเดือดดาล
“ถูกต้อง! โจทย์ปัญหาที่ไร้ทางออกเฉกเช่นนี้จะให้แก้ไขกันอย่างไร? เซียถง นี่เจ้ากำลังเล่นละครปาหี่กับพวกเราเพื่อปฏิเสธงานอภิเษกสมรส ชักจะกำแหงมากเกินไปแล้ว! โทษฐานของการพูดจาเท็จหลอกลวงองค์จักรพรรดิ คือประหารสถานเดียว!”
“ฝ่าบาท ไม่มีคำตอบสำหรับโจทย์ปัญหาข้อนี้ เซียถงจงใจดูหมิ่นพวกเราพ่ะย่ะค่ะ! โปรดดำเนิโทษทัณฑ์ตามกฎหมายด้วยเถิด!”
บรรดาขุนนางชั้นสูงทั้งหลายแห่งซีฉินเริ่มลุกฮือ กล่าวเรียกร้องให้ลงโทษเซียถงอย่างเด็ดขาด
ผู้คนทั้งหลายจากจักรวรรดิอื่นเพียงเฝ้ามองทีท่าของเซียถงอย่างเงียบงัน หวังรอชมการแสดงครั้งใหญ่ระหว่างนางกับเหล่าขุนนางพวกนี้ อีกข้อสำคัญคือ พวกเขาไม่อยากส่งเสียงรบกวนสมาธิชิงเยวี่ยที่กำลังครุ่นคิดอย่างหนัก ทั้งยังมีไป๋หลี่หานที่นั่งระดมสมองพลางแกว่งจอกสุราในมือ
“เซียถง ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง มีวิธีแก้ไขโจทย์ปัญหาข้อนี้จริงๆ ใช่หรือไม่?”
องค์จักรพรรดิแห่งซีฉินที่พยายามครุ่นพินิจอยู่เป็นเวลาเนิ่นนาน แต่ก็ไม่สามารถแถลงไขหาคำตอบได้ ก็เลยอดสงสัยมิได้เช่นกันสำหรับข้อครหาของเหล่าขุนนางของตน
“มีวิธีแก้ไขโจทย์ปัญหานี้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ เมื่อองค์รัชทยาทชิงเยวี่ยยอมแพ้ หม่อมฉันจะเฉลยทันที”
เซียถงเปล่งวาจาตอบกลับอย่างสบายอารมณ์ หาได้มีทีท่าประหม่าหวั่นเกรงใดๆ กล่าวจบก็พลางซดสุราในจอกจนหมดและรินเติมใหม่ ดูแล้วเจ้าตัวกำลังผ่อนคลายอย่างมาก ส่วนข้อครหาต่างๆ นานาของเหล่าขุนนาง สำหรับนางแล้วก็แค่เสียงนกเสียงกา
“เซียถง เจ้ารู้หรือไม่ว่า โทษของการหลอกลวงองค์จักรพรรดินับเป็นอาชญากรรมร้ายแรงปานใด? หากยังกล้าพูดจาเท็จหลอกลวงองค์จักรพรรดิ เจ้าจะถูกตัดศีรษะ!”
อัครมหาเสนาบดีฝ่ายจักรวรรดิซีฉินผู้นั้นคำรามใส่เซียถงด้วยความโกรธเกรี้ยว
“พวกท่านก็แค่คนสมองกลวงไร้สมอง อย่าเอาข้าไปเหมารวมด้วยเลย ที่คิดกันไม่ออกหาใช่ว่าโง่กันเองหรอกรึ?”
สีหน้าการแสดงออกของเซียถงดูเย็นชาในบัดดล ตบจอกสุรากระแทกโต๊ะเสียงดังปัง เคลื่อนสายตาจับจ้องไปที่อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซีฉินคนนั้นที่เป็นตัวตั้งตัวตีหาเรื่องใส่นางครั้งแล้วครั้งเล่า ที่นางทำตัวสุภาพจวบจนตอนนี้ก็เพราะยังมีความไว้หน้ากันอยู่บ้าง และหากฝั่งนั้นบีบบังคับให้ต้องลงมือลงไม้จริงๆ อาศัยขุมพลังของเขตราชันย์ม่วงในขณะนี้ กับวรยุทธต่อสู้ที่นางมี ย่อมเปลี่ยนโถงแห่งนี้ให้กลายมาเป็นงานเลี้ยงสีเลือดได้ไม่ยาก…
เจอสายตาคู่เย็นเยียบสบปะทะชน อัครมหาเสนาบดีคนนั้นหยุดนิ่งไปชั่วครู่หนึ่ง ภายในใจคล้ายก่อเกิดความสั่นกลัว แต่ก็ยังกัดฟันยืดอกอย่างหยิ่งผยองกล่าวตอบโต้ไปว่า
“เซียถง นับเป็นพรอันประเสริฐยิ่งแล้วที่องค์รัชทยาทมีความรู้สึกชอบพอต่อเจ้า จนได้ฝ่าบาทของเรายื่นข้อเสนอการอภิเษกสมรสแก่ตัวเจ้า แต่ไฉนเจ้ายังพยายามเลี่ยงวลีปฏิเสธเสียได้? ทั้งยังตั้งโจทย์ปัญหาที่ไม่มีคำตอบให้แก่องค์รัชทายาทชิงเยวี่ย เป็นที่ชัดแจ้งว่า เจ้าไม่เห็นฝ่าบาทและองค์รัชทยาทอยู่ในสายตาเลย! โทษฐานที่ดูหมิ่นและหลอกลวง เจ้าจะต้องถูกประหารชีวิตสถานเดียว!!”
เหล่าขุนนางชั้นสูงที่นั่งอยู่ในโถงงานเลี้ยงนี้ ทุกคนล้วนมีสายสัมพันธ์อันดีกับหลินเต๋อซวนทั้งสิ้น และเมื่อได้ยินว่า ฝ่าบาทของพวกเขาต้องการให้ชิงเยวี่ยอภิเษกสมรสกับเซียถงในฐานะชายา หลายต่อหลายคนจึงต้องคัดค้านเป็นธรรมดา แต่จะให้เอ่ยปากขัดขวางกันทางตรงย่อมไม่สามารถทำได้ พอมาเวลานี้ เซียถงเป็นช่องโหว่จึงรีบฉวยโอกาสนี้พูดจาให้ร้ายโจมตีนางทันที ในที่สุดเวลานี้ก็มาถึงแล้ว เช่นนั้นจะปล่อยนางไปโดยง่ายได้เยี่ยงไร? เหตุผลที่หลินเต๋อซวนไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงในวันนี้ก็เพราะ ต้องดูแลอาการบาดเจ็บสาหัสของหลินเฟยที่เป็นง่อยไปแล้ว ดังนั้น พวกเขาในฐานะสหายคนสนิท ย่อมต้องสานต่อเจตนารมณ์ของหลินเต๋อซวนเพื่อกำจัดเซียถงทิ้ง!
เซียถงแสยะยิ้มเย็นฉีกขึ้นบนมุมปาก เอ่ยปากกล่าวขึ้นอย่างสงบนิ่งว่า
“โอ้? ข้าเพิ่งรู้ว่า ในจักรวรรดิซีฉินอันเจริญรุ่งเรืองแห่งนี้ องค์จักรพรรดิกลับมิได้ทรงอำนาจอิทธิพลใหญ่ที่สุด แต่เป็นกลุ่มตาแก่สมองกลวงพวกนี้?”
“ไร้สาระสิ้นดี! ต้องเป็นฝ่าบาทของพวกเราที่ทรงอำนาจอิทธิพลที่สุด! ส่วนพวกข้า…พวกข้า…”
“แล้วไฉนถึงหาญกล้าเอ่ยคำพิพากษาตัดสินโทษข้ามหัวองค์จักรพรรดิแห่งซีฉินได้? หรือเป็นไปได้ไหมว่า…คนกลุ่มนี้จะตั้งตนอยู่เหนือฝ่าบาทของตัวเองกันหมดแล้ว?”
เซียถงไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายได้พูดจบสุดประโยค นางตบโต๊ะข้างที่นั่งดังฉะใหญ่ ลุกขึ้นพรวดชี้หน้าใส่ทางขุนนางชั้นสูงเหล่านั้น และตะโกนขึ้นลั่นว่า
“หรือว่าพวกท่าน!? คิดก่อการกบฏต่อราชวงศ์ซีฉิน?!!”
พวกขุนนางแก่เฒ่าทั้งหลายถึงกับผงะตกใจไปไม่เป็นยกใหญ่ เซียถงสาดสายตาสีมืดทมิฬดุจน้ำวนลึกล้ำ จับจ้องไปยังบรรดาขุนนางเหล่านั้นรายคน พร้อมรัศมีสังหารระลอกใหญ่ลุกโหมปะทุล้นออกมาจากร่างกาย
อัครมหาเสนาบดีคนนั้นเนื้อตัวสั่นเทาเล็กน้อย และแอบตื่นตระหนกภายในใจมิใช่น้อย หญิงสาวนางนี้หาญกล้าเผยแสดงจิตสังหารออกมาเข้มข้นขนาดนี้ต่อหน้าองค์จักรพรรดิทั้งสี่พระองค์อย่างไม่มีเกรงกลัวใดๆ ดูท่านางจะหาใช่สาวน้อยธรรมดาทั่วไปที่หวั่นเกรงในอำนาจเบื้องบน กลับตรงกันข้าม…พินิจจากทีท่าของนางตอนนี้ ราวกับว่าพร้อมจะฆ่าคนได้ทุกเมื่อ! แน่นอนว่า คงหาใช่กลวิธีที่ชาญฉลาดนักที่จะยั่วยุโทสะของนาง เวลานี้ถอยหลังไปก่อนหนึ่งก้าวเพื่อปกป้องชีวิตมิให้หาไม่จะดีกว่า คิดได้เช่นนั้น อัครมหาเสนาบดีก็ลอบถอยหลังไปก้าวหนึ่งโดยมิได้ตั้งใจ
“อะ-อย่าพูดไร้สาระ! พวกเราจงรักภักดีต่อฝ่าบาทเสมอมาจวบจนวันตาย! หาใช่พวกนกสองหัวมีจิตใจสองดวง!”
“ใช่แล้ว! ใจดวงนี้ของพวกเราภักดีต่อฝ่าบาท! หากมีข้อกังขาสามารถดูจากการกระทำที่ผ่านมาได้!”
“แล้วในเมื่อพวกเจ้าไม่ใช่นกสองหัว แล้วเหตุใดถึงดูตื่นตระหนกกันนัก? ทองคำแท้ต่อให้ถูกไฟผลาญก็ยังเป็นทองไม่ลอกเสีย คนเราหากมีเจตนาที่ดีจริงๆ ต่อให้ตกอยู่ในข้อครหาย่อมสงบนิ่งไม่ตื่นตูม”
เริ่มเห็นขุนนางหลายคนแสดงทีท่าอยู่ไม่สุข เซียถงจึงอาสาเติมเชื้อไฟราดใส่บนกองเพลิงต่อทันที
เสียงไม่เบาไม่จัดจ้านจนเกินไป แต่วาจาเหล่านี้กลับเปรียบเสมือนตะปูเหล็กแท่งยาแทงทะลุขั้วหัวใจของบรรดาขุนนางเหล่านั้น และคนอื่นๆ ในงานเลี้ยงเองต่างได้ยินถนัดชัดแจ้ง
“พวกเราล้วนเป็นคนบริสุทธิ์ แต่ไยเจ้าถึงต้องหว่านเหม็ดความบาดหมางให้แก่กันด้วย?”
“เจ้าเด็กเหม็นสาบ ไม่เพียงจะขี้เหร่อัปลักษณ์ ทว่าจิตใจก็ยังเลวทรามต่ำช้ายิ่งกว่า! ใส่ร้ายกันเฉกเช่นนี้ ระวังจะโดนทัณฑ์สวรรค์ฟาดผ่า!”
อาศัยพึ่งพาความสัมพันธ์อันดีต่อหลินเต๋อซวน เหล่าขุนนางชั้นสูงพวกนี้จึงชินชากับการวางอำนาจบาตรใหญ่ใส่คนอื่นไปแล้ว และเมื่อมีใครบางคนกล้าลุกขึ้นตั้งคำถามเช่นนี้ ย่อมเป็นปกติที่แต่ละคนจะเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ
“ยิ่งร้อนตัว ก็ยิ่งมีผีห่ามารร้ายอยู่ภายในใจ! ทุกคนในงานเลี้ยงแห่งนี้ต่างเห็นแจ้งกันสองตา ว่าพวกท่านร้อนตัวเพียงใด! จนตอนนี้ข้าอยากจะรู้เสียจริงว่า มีผีห่ามารร้ายตัวใดที่สิงสู่อยู่ในจิตใจของพวกท่าน?!”
“สามหาว!! เจ้าก็แค่พล่ามเรื่องไร้สาระแก่นสาร!”
“เจ้าเด็กเหม็นสาบ พูดจาฉะฉานใส่ร้ายกันได้เป็นฉากๆ! ไม่กลัวถูกทัณฑ์สวรรค์ผ่าใส่หัวรึไง!?”
“พวกคนจากตงหลี่ มันมีจิตใจชั่วร้ายดั่งอสรพิษเฉกเช่นนี้กันทุกคนเลยกระมัง?!”
เหล่าขุนนางเหล่านั้นเริ่มสบถด่าเสียงดังสนั่นด้วยความโกรธเกรี้ยวจัด
“พวกเจ้าหุบปาก!!”
องค์จักรพรรดิแห่งซีฉินกวาดสายตาสีหม่นทมิฬยิงเข้าใส่พวกขุนนางทั้งหลายที่อยู่ด้านหลัง เพียงหนึ่งประโยคเด็ดขาดไร้เมตตา ก็ทำเอาคนแก่คนเฒ่าเหล่านั้นสีหน้าซีดเซียวกันไปตามๆ กัน
ทีท่าการแสดงออกของขุนนางแก่เฒ่าพวกนั้นแปรเปลี่ยนไปอย่างมาก เมื่อเห็นฝ่าบาทของตนมีโทสะขนาดนี้ ทันทีทันใด พวกเขารีบลุกเข่าลงกับพื้นด้วยความตื่นตระหนกต่อหน้าทุกคนในงานเลี้ยง และเปล่งเสียงร้องแสดงถึงความภักดีออกมา
“ฝ่าบาท! พวกเรามีความภักดีและจริงใจต่อราชวงศ์และจักรวรรดิซีฉินเพียงใด ท่านเองก็พึงทราบดี ต่อให้ทอดสายตามองจากบนฟากฟ้า ก็ยังมองเห็นความซื่อสัตย์ของพวกเรา ข้าราชบริพารทั้งหลาย!”