ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 32 ไม่มีใครมองนางในแง่ดี (2)
ตอนที่32 ไม่มีใครมองนางในแง่ดี (2)
เห็นท่าทางการแสดงออกที่ดูเป็นห่วงเป็นใยของเซี่ยหลู่เฟิง เซียถงรู้สึกถึงไอความอบอุ่นที่ส่งผ่านจากใจสู่ใจได้ และนี่ยังเป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสกับคำว่า สายสัมพันธ์ของครอบครัว ได้ครบรส เป็นความรักจากสายเลือดพี่น้องเดียวกัน สิ่งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ หรือส่วนได้ส่วนเสียแต่อย่างไร ทุกอย่างมีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้นก็คือ นางเป็นน้องสาวของเขา
“ข้าไม่เป็นอะไรแน่นอน”
นางส่งยิ้มอันแสนสดใสมอบแก่อีกฝ่าย เพราะความเป็นห่วงที่กลั่นมาจากใจจริงนี้ ทำให้ประกายตาจากหญิงสาวนางนี้ส่องสว่างมากกว่าปกติ
ยามเห็นแววความมั่นใจที่ฉายออกมาผ่านใบหน้าของน้องสาวตน เซี่ยหลู่เฟิงก็เหม่อลอยไปชั่วขณะ ฟุ้งซ่านขึ้นไปแสนไกลว่า หญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้านางนี้เป็นน้องสาวของเขาตัวจริงเสียงจริงใช่หรือไม่?
การประลองกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่ช้า พอเห็นไป๋หลี่เย่เดินเหยียบย่างบนพรมแดงที่ทางผู้ใต้บัญชากางเตรียมไว้ให้ บรรดาฝูงชนทั้งหมดต่างให้ความสนใจกับการปรากฏตัวของเขาในทันที ภาพฉากที่ส่องสะท้อนจากแววตาของพวกเขาเหล่านั้น เป็นชายร่างสูงใบหน้าหล่อเหลา ที่กำลังเดินขึ้นสนามประลอง คงไว้ซึ่งกิริยาท่าทางสุดหยิ่งผยองดั่งชนชั้นสูง
ซึ่งตรงกันข้ามกับเซียถงที่เดินขึ้นมาบนสนามประลองอย่างเงียบเชียบ ไม่มีแม้สักคนที่หันมาเหลียวแลสนใจ
แต่เพียงฝ่าเท้าแตะลงบนพื้นสนาม สุ้มเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ปรากฏว่าเป็นเซี่ยหลู่เฟิงนี่เอง
“ถงถง อย่าลืมที่ข้าบอก ปลอดภัยไว้ก่อน!”
ฝีเท้าของเซียถงพลันหยุดชะงักชั่วขณะ ราวกับสัมผัสได้ถึงสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นพัดผ่านจิตใจ เพียงมองย้อนกลับไปเบาๆ เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า
“ข้าจะไม่แพ้”
เหม่อมองเซียถงเดินขึ้นสนามประลองแช่มช้า จับจ้องแผ่นหลังและสองเท้าของนางที่ยืนหยัดอย่างมั่นคงบนนั้น เสมือนปรากฏระลอกคลื่นสายน้ำหลากอารมณ์หนึ่ง ซัดผ่านสั่นไสว ฉายออกจากนัยน์ตาคู่นั้นของเซี่ยหลู่เฟิง
“เซียถง องค์รัชทายาทผู้นี้จะให้โอกาสแก่เจ้าอีกเพียงครั้งเดียว จงยอมแพ้และคุกเข่าต่อหน้าแทบเท้าข้าบัดเดี๋ยวนี้ เช่นนั้นแล้ว ตัวข้าจะไว้ชีวิตเจ้าจากความตายแต่โดยดี”
จับจ้องเซียถงที่เดินขึ้นประจันหน้ากับตนบนสนามประลอง สายตาคู่นั้นของไป๋หลี่เย่เปี่ยมล้นไปด้วยแววความเย่อหยิ่ง
“พระวรกายขององค์รัชทายาทของท่านนับว่ามีเกียรติ แต่บนสนามประลองแห่งนี้ คมดาบทั้งเพลงกระบี่กลับไร้ตา ปราศจากปราณีไม่ หากข้าเผลอไผลฟันหน้าฟันตาท่านบอดขึ้นมา เกรงว่าจะอาจเป็นการทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ได้ จึงขอแนะนำให้ท่านประกาศยอมแพ้เสียแต่บัดนี้”
เซียถงเลิกคิ้วขึ้นทีหนึ่ง เอ่ยประชดถากถางเป็นวาจาตอบกลับไป ทั้งยังจับจ้องไปที่ไป๋หลี่เย่ด้วยแววตาแสนดูถูกดูแคลนยิ่งนัก
“ฮ่าฮ่าฮ่า! มุกตลกน่าขันอันใด? อย่างเจ้าหรือจะมีปัญญาทำร้ายร่างกายของข้าผู้นี้ได้?”
ท่าทางของไป๋หลี่เย่ดูตลกขบขันอย่างยิ่ง ราวกับเพิ่งได้ฟังเรื่องตลกที่สุดในชีวิตที่เกิดมา ก่อนจะส่ายหัวให้แก่เซียถงราวกับกำลังประเมินความเด็กไม่รู้ความ
“ตัวข้านั้นมีปัญญา แต่หากลงไม้ลงมืออันใดไป เกรงว่าฝ่าบาททรงเอาผิดแก่ข้าทีหลังเป็นแน่ ในท้ายที่สุดแล้ว สาวน้อยคนนี้จึงไม่กล้าเอาจริงกับท่าน ช่างเป็นอะไรที่น่าเสียดายนัก”
ทันทีที่พูดจบ เซียถงยักไหล่ออกไปเล็กน้อยเป็นเชิงว่าช่วยไม่ได้ ก่อนส่ายหัวตอบกลับไป มอบให้แก่ไป๋หลี่เย่
“หากเจ้ามีความสามารถมากมายดั่งที่กล่าวอ้างไป เช่นนั้นก็เชิญแสดงออกมาให้เต็มที่ ตั้งแต่ข้าเหยียบย่างขึ้นสู่สนามประลอง ก็ได้ถอดยศถาบรรดาศักดิ์ออกไปโดยสิ้นแล้ว ที่แห่งนี้มีเพียงไป๋หลี่เย่ผู้เป็นคู่ต่อสู้ของเจ้า หากตัวข้าได้รับบาดเจ็บ ขอสัญญาว่า จะไม่มีการถือโทษเอาความกันทีหลังแน่นอน”
ท่าทีการแสดงออกของเซียถงเมื่อครู่ นับว่ายั่วโทสะกันไม่ใช่น้อย คนอย่างไป๋หลี่เย่หรือจะยอมทนให้นางเอ่ยปากดูถูกอยู่ตำตา? สุดท้ายจึงกล่าวแก้ต่างออกมาพร้อมด้วยท่าทางการแสดงออกอันน่าภาคภูมิออกไป
เมื่อได้ยินดังนั้น เซียถงก็ลอบแสยะยิ้มบนมุมปากอย่างลับๆ นี่แหละคือสิ่งที่นางต้องการ ในเมื่อไป๋หลี่เย่กล่าวรับประกันเองกับปากว่า เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ เขาจะเอาถือโทษเอาความทีหลัง ฉะนั้นแล้ว นางจะได้ไม่ต้องออมไม้ออมมืออีกต่อไปเช่นกัน นัยน์ตาคู่คมกริบสาดแสงเจิดจรัสสีเย็นแวววับ รัศมีจิตสังหารขุมใหญ่พวยพุ่งออกมาจากร่างนางในทันใด
มีคำกล่าวของตัวไป๋หลี่เย่เองเป็นหลักค้ำประกันความปลอดภัยของนางไว้แล้ว เช่นนั้นยังต้องกลัวอะไรอีก? ขอแค่ไม่ถึงตายเป็นพอ
ไป๋หลี่เย่ลอบตื่นตะลึงอย่างลับๆ ต่อหน้าลักษณ์ท่าทางการเปลี่ยนแปลงโดยฉับพลันของเซียถง ไฉน…เพียงแค่สีหน้าของนังอัปลักษณ์นั่นแปรเปลี่ยน ก็ทำให้บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนผันไปได้ขนาดนี้?
เข้าเผชิญหน้ากับรัศมีจิตสังหารเคลือบความเย็นชาของเซียถงเช่นนี้ ไป๋หลี่เย่พลันรู้สึกดใจสั่นอย่างไร้เหตุผล ได้แต่พยายามปลอบโยนตนเองว่า ไม่เป็นไร เดี๋ยวทุกอย่างหลังจากนี้ก็จะดีขึ้นเอง
ชั่วขณะเดียวกัน เขากระชับจับด้ามกระบี่ยาวในมือให้แน่นยิ่งขึ้น ก่นเสียงเย็นกล่าวกับเซียถงเป็นครั้งสุดท้ายว่า
“หากเจ้ารู้สึกกลัว จึงประกาศยอมแพ้เสียแต่โดยดี แล้วองค์รัชทยาทผู้นี้จะปล่อยเจ้าไป!”
เซียถงแสยะยิ้มเหยียดเย็นออกไปทีหนึ่ง ชักนำขุมพลังหนึ่งไว้ที่แขนขวา พลันปรากฏคมมีดสั้นเคลือบคลุมกระแสลมปราณชั้นบางเฉียบเอาไว้ คู่เท้าไสววูบ นางปราดพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายโดยตรง เร่งเร้าความเร็วสุดขีดประดุจสายอัสนีฟันฟาด
เพียงชั่วพริบตา พลางเห็นเงาร่างตรงหน้าสาดไสวหายออกไป ไป๋หลี่เย่รีบเร่งเร้ากระแสลมปราณสีเขียวมรกตข้นคลั่ก เจือผสมประกายฟ้าอ่อนออกมา และกรอกเทลงไปยังมือข้างที่ถือกระบี่ยาว รีบยกขึ้นปิดกั้นเพื่อต้านรับกระบวนโจมตีของเซียถง
คมกระบี่ยาวถูกยกขึ้นมาหวังที่จะปัดป้อง แต่ทั้งหมดกลับไม่เป็นดั่งหวัง ไป๋หลี่เย่พลันรู้สึกได้ถึงกระแสความเจ็บปวดอันแสนสาหัส จากบริเวณซี่โครงโฉบแล่นถึงห้วงสมอง พอเหลือบสายตามองลงไป ก็พบว่าชายโครงร่างของตนโดนคมมีดในมือเซียถงเสียบแทงจนมิดด้าม และยังไม่ทันจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอันใด ก็ต้องค้นพบอีกครั้งว่า ร่างของนางได้หายวับออกไปแล้ว พอเงยหน้าขึ้นมอง ปรากฏเซียถงที่ถอยหลังกลับไปยืนอยู่ ณ จุดเดิมเรียบร้อยแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกใจสั่นตื่นตระหนกปานนี้ จากความประหลาดใจได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นความโกรธเกรี้ยวเดือดดาลในทันใด ‘นังอัปลักษณ์บัดซบตัวนี้ มันกล้าลงมือทำร้ายข้าผู้นี้จริงๆ รึ?’ เพียงหนึ่งกระบวนเคลื่อนไหวก็ทำให้เขาเลือดตกยางออกได้แล้วจริงๆ!
ชั่วพริบตาต่อมา ทั่วร่างกายาของไป๋หลี่เย่พลันระเบิดพลังรัศมีคลั่ง รีดเร้นลมปราณทั้งหมดออกมาถึงขีดสุด เผยแสดงกระแสลมปราณขุมใหญ่โหมกระหน่ำ พวกมันเหล่านั้น เข้าผนึกหลอมรวมกันจนกลายมาเป็นชุดเกราะปราณยุทธ์ เข้าห่อหุ้มสวมลงบนร่างเป็นชั้นหนาอีกที
ยิ่งไปกว่านั้น สีของลมปราณยังเป็นสีเขียวสดใสอมประกายฟ้าอ่อน เห็นได้ชัดว่า ระดับพลังบำเพ็ญตบะของเขาอยู่ในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างขอบเขตเสาหลักเขียวชั้นสูงและขอบเขตเสาหลักฟ้าชั้นต้น
หรือก็คือ…ขอบเขตเสาหลักฟ้าครึ่งขั้น!
บรรดาฝูงชนที่เห็นแบบนั้น ยังส่งเสียงตะโกนฮือลั่น!
เมื่อเห็นไป๋หลี่เย่สำแดงขุมพลังแห่งขอบเขตเสาหลักฟ้าครึ่งขั้นออกมา เซี่ยหลู่เฟิงที่เฝ้ามองอยู่ข้างสนาม ก็บังเกิดความวิตกขึ้นทันที หัวใจบีบแน่นตื่นตระหนก จนอดกุมมือตัวเองแน่นโดยมิตั้งใจ หัวคิ้วทั้งสองข้างแทบขมวดแน่นชนกัน ในระหว่างศึกการประลองตั้งแต่รอบแรกยันล่าสุด ขุมพลังสูงสุดที่เซียถงเผยแสดงออกมา ยังอยู่แค่ขอบเขตเสาหลักเขียวชั้นกลางเท่านั้น แล้วนางจะเอาทุนรอนอะไรไปสู้กับองค์รัชทายาทที่มีพลังสูงถึงขอบเขตเสาหลักฟ้าครึ่งขั้น?
เซียถงจับจ้องไปยังรัศมีเกราะปราณยุทธ์สีเขียวประกายฟ้าอันสว่างไสวที่แผ่ซ่านขึ้นบนร่างของไป๋หลี่เย่ ม่านตาดำพลันหดแคบลงเล็กร้อย ต่อให้เป็นขอบเขตเสาหลักฟ้าเต็มขั้นก็ตาม นางก็มิได้ให้ความสนใจเลยด้วยซ้ำ แล้วนับประสาอะไรกับแค่ขอบเขตเสาหลักฟ้าครึ่งขั้น?
ไป๋หลี่เย่ร่ายท่าร่าง สำแดงใช้เพลงกระบี่สุดพลิ้วไหวออกมา สาดแสงจันทร์เสี้ยวสีเขียวประกายฟ้า ฉีดกลางห้วงเวหา สะบั้นผ่านสายลม ฟันฟาดใส่ทางเซียถง
ริมฝีปากเซียถงกระตุกเชิดขึ้นบางเบา ควงมีดสั้นในมือก่อนกระชับจับในท่าถนัด ร่างเพรียวบางไหววูบวาบ แปรเปลี่ยนเป็นเงาสายหนึ่ง พุ่งหลบแสงกระบี่เสี้ยวจันทร์ได้โดยง่าย เป้าหมายของนางคือบริเวณขาพับด้านในของไป๋หลี่เย่ เพราะตรงนั้นคือจุดศูนย์รวมเส้นประสาท ซึ่งตอบสนองต่อความเจ็บปวดไวที่สุด
แต่เพียงยกเท้าขวาขึ้นเตรียมโต้กลับเท่านั้น เสมือนพละกำลังความแข็งแกร่งทั้งหมดทั้งมวลทั่วร่างกายของเซียถง ก็เสมือนถูกดูดกลืนหายไปจนหมดสิ้น มือไม้อ่อนยวบลงในทันใด ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงแม้กระทั่งจะทรงตัว
เซียถงใจหายวาบ รีบเร่งระดมลมปราณโคจรขึ้นอีกคราในร่างกาย เพื่อขจัดความผิดปกติเหล่านี้ออกไปโดยเร็ว อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร กลับไม่สามารถกู้คืนพลังกลับมาได้เลยสักนิด ทั้งยังเริ่มสัมผัสถึงอาการปวดบริเวณช่องท้องของตนขึ้นมาฉับพลัน
เกิดอะไรขึ้นกัน?
สีหน้าการแสดงออกของเซี่ยเสวี่ยเหลียนและไป๋หลี่เย่ แปรเปลี่ยนไปทันที ทั้งคู่ดูปลื้มปีติสุขยิ่งยวดยามได้เห็นท่าทางผิดปกติเช่นนี้ของเซียถง
ทันใดนั้นภาพฉากจำนวนหนึ่งก็โฉบแล่นฉายปรากฏขึ้นในหัวของเซียถงในทันใด ทั้งตอนที่สองคนนั้นรีบเดินจากจวนออกไปเมื่อคืน ทั้งตอนที่เห็นเซี่ยเสวี่ยเหลียนปรากฏตัวขึ้นแถวบริเวณเรือนพักตนในเช้าวันนี้ และก็ยังนึกถึงภาพฉากที่…อิ๋งเอ๋อร์ยกชามโจ๊กมาวางไว้ตรงหน้า…
เซียถงเข้าใจทุกอย่างในทันที!
เซี่ยเสวี่ยเหลียนแอบมาวางยาพิษในอาหารเช้าของนาง!
เห็นเพียงไป๋หลี่เย่ตรงมาหยุดอยู่เบื้องหน้า พร้อมกระชับถือกระบี่ยาวเคลือบธารแสงสีเขียวประกายฟ้ากะพริบ ร่างของเซียถงค่อยๆ ทรุดลงกับพื้น ท่าทีอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง ชั่วขณะอึดใจต่อมา คมกระบี่ยาวของไป๋หลี่เย่ก็พุ่งเข้าเสียบไหล่ขวาของนางอย่างจังเสียงดังสวบ!
“เซียถง เจ้ากล้าดีทำร้ายข้าองค์รัชทยาทผู้นี้จริงๆ เช่นนั้นโทษของเจ้าคือความตาย!”
ไป๋หลี่เย่ดูภาคภูมิใจยิ่งยวดในคมกระบี่นี้ของตน แววความเย่อหยิ่งยิ่งปรากฏคมชัดขึ้นบนดวงตาคู่นั้น เขากระชากคมกระบี่ถอนขึ้นมาจากไหล่ขวาของเซียถง พร้อมระเบิดเสียงหัวเราะเยาะช่างสนุกสนาน ก่อนจะกระชับด้ามกระบี่ให้แน่น กระหน่ำฟันร่างของเซี่ยถงอย่างบ้าคลั่ง ครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความสำราญใจ…