ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 323 หักเหลี่ยม (1)
ตอนที่323 หักเหลี่ยม (1)
ตอนที่323 หักเหลี่ยม (1)
นิ้วทั้งห้าเข้าตะครุบหน้าเซียถงประดุจอินทรีฉกเหยื่อ กระดูกส่วนคางของนางถูกแรงบีบมหาศาลบดขยี้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าเซียถงซีดเผือด เจ็บปวดทรมานเจียนหมดสติ แขนขาของเขาชักเกร็งงิกงอ แต่สายตายังคงสบปะทะกับผู้อาวุโสอินทรีโลหิตไม่มีคลายอ่อน เปล่าเสียงคำรามคำต่อคำ สบประมาทอย่างไม่มีกลัวเกรงว่า
“เป็นถึงผู้อาวุโสแต่กลับรังแกเด็กสาว?”
“เราชายชราคนนี้ไม่เคยสนใจเรื่องชื่อเสียงใดๆ! ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการแต่งงานกับซีเอ๋อร์ เช่นนั้นคงต้องฆ่าเจ้าทิ้งและชิงเพลิงพิภพเก้าดุษณีมา!”
คลื่นจิตสังหารที่ครอบคลุมทั่วร่างเดือดปะทุขึ้นในทันใด ร่างของเซียถงค่อยๆ ถูกยกลอยขึ้นสูงค้างกลางอากาศ มือข้างซ้ายที่บีบคางอีกฝ่ายค่อยๆ เพิ่มแรงมากขึ้นเป็นทวีเท่า
“อย่าฆ่าเซียถง! ท่านปู่หยุด!”
หลัวซีถึงกับหน้าซีดตื่นตระหนก รีบวิ่งเข้าไปห้ามปรามอย่างรวดเร็ว
เซียถงทอดสายตามองฝ่ามือนั้นที่กุมบีบใบหน้าของนางเอาไว้ สักครู่หนึ่งพลันสังเกตเห็นฝ่ามือขวาของผู้อาวุโสอินทรีโลหิตที่ค่อยเคลื่อนกางเข้ามาใกล้ กระแสลมหอบใหญ่ระดมโคจรควบผนึกก่อเป็นท่าฝ่ามืออันทรงพลัง เตรียมลงมือตบใส่กะโหลกศีรษะของนางหวังให้สิ้นใจในคราเดียว แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีประกายแสงสีเงินอ่อนๆ ส่องสะท้อนออกมาจากใต้แขนเสื้ออีกฝ่ายกระทบกับดวงตาของเซียถง
ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตผู้นี้สามารถหยิบใช้อาวุธลับที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อเพื่อสังหารนางทิ้งในอึดใจได้ เพียงแต่ว่าเขาเลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้น
“ท่านปู่! หากท่านฆ่าเซียถง ข้าคนนี้ขอตัดขาดความสัมพันธ์กับท่านชั่วชีวิต!”
หลัวซียกสองมือเข้ากอดกุมฝ่ามือของผู้อาวุโสอินทรีโลหิตข้างที่บีบใบหน้าเซียถงเอาไว้แน่น พร้อมเปล่งเสียงคำรามลั่นด้วยความเกรี้ยวโกรธ
ร่างของเซียถงถูกเหวี่ยงกระเด็นออกไปอัดกับหัวเตียงเสียงดังปัง พยายามยกมือขวาขึ้นมาอย่างแสนยากลำบาก หวังจะเลื่อนคมมีดสั้นที่ซ่อนอยู่ออกมาจากใต้แขนเสื้อ หากเมื่อครู่มิใช่เพราะอีกฝ่ายลังเลที่จะฆ่า มีหวังนางคงตายไปแล้วจริงๆ
“เจ้าหนู เหลือโอกาสอีกครั้งเดียว! แต่งหรือไม่แต่ง!?”
ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตร่นถอยหลังออกไปสองก้าว ทอดสายตาคมเฉียบประดุจอินทรี สบปะทะกับเซียถง
“ท่านปู่! นี่กำลังทำอะไรอยู่กันแน่? สัญญากับข้าแล้วมิใช่รึว่าจะไม่ทำร้ายเซียถง!”
หลัวซีกระโดดเข้ามายืนหยัดอยู่ต่อหน้าเซียถง จับจ้องผู้อาวุโสอินทรีโลหิตที่อยู่ตรงข้ามอย่างไม่พอใจนัก
“ในเมื่อนางไม่ต้องการเป็นสะใภ้ตระกูลหลัวของเรา หากไม่สังหารนางทิ้งซะ แล้วข้าจะเอาเพลิงพิภพเก้าดุษณีออกมาได้เยี่ยงไร?”
ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตสะบัดมือยืดเส้นสายเล็กน้อย สีหน้าในเวลานี้ดูไม่ค่อยสบอารมณ์นักแล้ว
“ท่านปู่เองก็ครอบครองเพลิงพิภพเก้าดุษณีไปแล้วตั้งหลายส่วน ไฉนยังต้องสนใจชิงช่วงส่วนที่เหลือในตัวเซียถงอยู่อีก? ถึงได้มันมาก็มิได้ส่งผลอันใดกับท่านมากมาย!”
“เจ้าหลานโง่! หากไม่มีเพลิงพิภพเก้าดุษณีในส่วนที่อยู่ในตัวนางมา ก็เท่ากับว่าอานุภาพของเพลิงพิภพเก้าดุษณีในมือข้า มันหายไปเกือบครึ่งต่อครึ่ง! เช่นนั้นแล้วข้าจะหลอมกลั่นโอสถขับพิษให้เจ้าได้ยังไง?!”
ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตกล่าวดุสวนหลัวซีกลับไป
“แต่เซียถงเป็นสหายรักของข้า! ข้าไม่ยอมให้ท่านทำร้ายนางแน่นอน!”
หลัวซีเงยหน้าเชิดสูง คำรามเสียงมุ่งมั่น กางแขนทั้งสองข้างออกกว้างขวาง ราวกับยอมเป็นโล่มนุษย์เพื่อปกป้องเซียถง
“เจ้าหลานคนนี้! อยากจะตายแทน..แทนเจ้าหนูนั่นจริงๆ งั้นรึ?!”
ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตโกรธจัดกัดฟันกรอด
“ข้ายอมตายแทนเซียถง!”
วาจาเพียงไม่กี่ประโยคแสนเรียบง่าย แต่ช่างเปี่ยมล้นไปด้วยความหาญกล้าดังออกมาจากปากหลัวซี
“เจ้าหลานไม่รักดี! เจ้าหลานไม่รักดี! ยังมีสิ่งใดสำคัญไปกว่าชีวิตของเจ้าอีก?!”
ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตยิ่งทวีความโกรธจัดจ้านจนหน้าถอดสีซีดขาว เจ้าหลานคนนี้มันยอมสละได้แม้กระทั่งชีวิตตัวเองเลยงั้นรึ? ทั้งหมดก็เพื่อปกป้องเซียถงเพียงคนเดียว?
“ท่านปู่ ข้าไม่ยอมให้ท่านสัมผัสนางได้แม้แต่ปลายผม หากไม่เชื่อก็ลองดู วันนี้ข้าจะขอสู้จนตายไปข้าง!”
ประกายตาความมุ่งมั่งสาดแสงระยิบยิงออกมา สองเท้าหลัวซียืนหยัดกับพื้นมั่นคงแน่นหนา ราวกับว่าไม่ยอมขยับหนีห่างไปจากเซียถงไปไหน
“เจ้า…เจ้า…เจ้าหลานคนนี้!!”
เขายกนิ้วชี้หน้าหลัวซี พยายามสรรหาวาจาคำด่าสาดเสียเทใส่สักยก แต่สุดท้ายก็หมุนตัวกลับสะบัดแขนเสื้ออย่างแรง และทะยานจากออกไปทันที
เมื่อเห็นว่าท่านปู่ของตนลาจากออกไปแล้ว หลัวซีก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก ร่างทรุดร่วงไปนั่งอยู่ข้างเตียงสีหน้าดูลำบากใจเหน็ดเหนื่อยมิใช่น้อย เขาหันมาเอ่ยถามเซียถงว่า
“ไม่เป็นอะไรกระมัง?”
เซียถงเอนกายพิงกำแพงพลางส่ายหัวตอบว่า
“ยังโชคดีที่ไม่เป็นอะไร แค่สภาพร่างกายของข้าตอนนี้อ่อนแอมาก”
“ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะรีบหาโอสถถอนพิษมาให้เจ้าโดยเร็วที่สุด”
หลัวซีกล่าวปลอบโยน และเมื่อเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ก็ได้ยลโฉมใบหน้าที่แท้จริงของเซียถงใกล้ๆ สีหน้าท่าทางของนางเวลาหอบหายใจอย่างอ่อนแรงเช่นนี้… ทั้งริมฝีปากสีชมพูอวบอิ่มนั่นอีก… ยิ่งมองนานขึ้นเท่าไหร่ หลัวซีก็ยิ่งดูแปลกไป เสน่ห์ของอิสตรีงามเกินหักห้ามใจเช่นนี้ กระทั่งตัวเขาเองก็แทบเสียสติไปชั่วขณะ จะทำก็ได้แค่นั่งมองอย่างโง่งม
เซียถงหอบหายใจถี่ระรัว หน้าอกหน้าใจสั่นกระเพื่อมเป็นจังหวะ นางหันมากล่าวกับหลัวซีว่า
“ปู่ของเจ้าต้องการเพลิงพิภพเก้าดุษณีไป…”
ผ่านไปได้ครึ่งประโยค นางคล้ายสังเกตเห็นความผิดปกติ ท่าทีของหลัวซีในขณะนี้ดูแตกต่างออกไป อีกฝ่ายจับจ้องนางชนิดไม่มีละสายตาออก จึงเอ่ยถามทักทามออกไปคำหนึ่งอย่างฉงนงุนงงว่า
“มีอะไรรึเปล่า?”
“เจ้าสวยมากเลย”
หลัวซีกล่าวชมพร้อมรอยยิ้ม
อ๊ะ! รอยจุดด่างดำบนใบหน้า? เซียถงสะดุ้งตกใจอย่างหนัก และพยายามจะเอื้อมมือขึ้นสัมผัสบริเวณแก้มของตน แต่เนื่องด้วยร่างกายของนางในเวลานี้อยู่ในสภาวะอ่อนแรงเฉียบพลัน ทำให้ตนเองเสียศูนย์กะทันหันและล้มเข้าไปจมอยู่ในอ้อมแขนของหลัวซีอย่างพอดิบพอดี บรรยากาศชั่วขณะนั้นพลันแปรเปลี่ยนไปทันควัน สัมผัสแนบชิดที่เกิดขึ้นชั่วพริบตานี้ ทำให้หลัวซีใจสั่นระรัวไม่เป็นจังหวะ พยายามจะช่วยพยุงร่างของนางขึ้นมา ทว่าภายในใจกลับสั่งให้หยุดการกระทำเช่นนั้นเอาไว้
เซียถงหน้าแดงระเรื่อขวยเขินไม่ต่าง พยายามใช้พละกำลังทั้งหมดที่พอมีพยุงตัวขึ้นมา แลเห็นหลัวซียังคงนั่งตะลึงงันทำอะไรไม่ถูกก็หัวเราะคิกคัก แต่ยังเห็นอีกฝ่ายประหม่าอยู่เช่นนั้น จึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันทีและเข้าคำถามว่า
“พิษในกายของเจ้าถูกขับออกมาหมดแล้วรึยัง?”
“ยัง พิษในกายข้ามันลามไปถึงจุดตันเถียนแล้ว ช่วงนี้ท่านปู่จึงพยายามอย่างหนักเพื่อศึกษาหาวิธีกำจัดพิษชนิดนี้อยู่”
หลัวซีเพิ่งได้สติฟื้นตัวกลับมา และรีบตอบกลับไปทันที
“โอสถที่สามารถขับพิษในร่างกายของเจ้าได้ จำเป็นจะต้องใช้เพลิงพิภพเก้าดุษณีในส่วนที่อยู่ในร่างกายข้า?”
เซียถงฉุกคิดถึงคำกล่าวก่อนหน้าของผู้อาวุโสอินทรีโลหิตขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย
“ท่านปู่กล่าวเช่นนั้น เพราะแบบนี้เองจึงเป็นเหตุที่ว่าทำไม เขาถึงต้องการเพลิงพิภพเก้าดุษณีในส่วนของเจ้ามากเพียงนี้”
ย้อนนึกถึงพฤติกรรมของท่านปู่ซึ่งปฏิบัติต่อเซียถงตลอดที่ผ่านมา หลัวซีดรู้สึกละอายใจอย่างอดมิได้
เซียถงขบริมฝีปากบางของตนเล็กน้อย ไม่กลัวไถ่ถามเรื่องราวที่ผ่านมาของหลัวซีนัก พิษที่ตกค้างอยู่ในร่างกายของเขาที่ว่า อาจเป็นพิษของหลินเฟยที่เล่นสกปรกในงานประลอง หรืออาจจะเป็นเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นที่นางไม่เคยรู้มาก่อน แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ตัวนางเองก็มีเจตนาอยากจะช่วยหลัวซีเช่นกัน คล้อยหลังครุ่นคิดอยู่สักครู่หนึ่ง นางก็กล่าวขึ้นว่า
“เรียกปู่ของเจ้ามาที่นี่ ข้าจะให้ยืมเพลิงพิภพเก้าดุษณีที่มีอยู่ให้ปู่เจ้าใช้เพื่อหลอมกลั่นโอสถ”
แต่ใครจะไปคิด หลัวซีกลับส่ายหัวทันทีและกล่าวตอบน้ำเสียงเศร้าสร้อยว่า
“เมื่อใดที่เพลิงพิภพเก้าดุษณีในส่วนของเจ้าผสานเข้ากับในส่วนของท่านปู่ นั่นอาจฆ่าเจ้าให้ตายได้ในพริบตา”
“ทำไมล่ะ? ก็แค่ให้หยิบยืมใช้เองมิใช่รึ? จะถึงขั้นเป็นตายได้อย่างไร?”
เซียถงเลิกคิ้วมองด้วยความงุนงง เวลาใครสักคนที่ต้องการจะหลอมโอสถ การจะหยิบลืมเพลิงในกายของคนอื่นมาใช้ก็หาใช่เรื่องผิดปกติอันใดมิใช่รึ?