ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 326 อารมณ์ที่ก่อตัว (2)
ตอนที่326 อารมณ์ที่ก่อตัว (2)
ตอนที่326 อารมณ์ที่ก่อตัว (2)
หาก…หากเขาได้แต่งงานกับเซียถงจริงๆ มันคงเป็นเรื่องที่วิเศษมาก การได้มีสาวงามอยู่ข้างกายตลอดทุกกิริยาขณะ มันช่างความสุขเหลือเกิน คิดได้เช่นนั้นพลางจ้องหน้าเซียถงประกอบกันไป หัวใจดวงนี้ของหลัวซีก็เกิดอาการสั่นระรัวขึ้นมา ใจหนึ่งก็ปรารถนาให้งานแต่งงานระหว่างตัวเขากับนางกลายเป็นจริง
เขายังจำภาพฉากแรกพบระหว่างตนกับเซียถงได้เป็นอย่างดี มันเป็นงานชุมนุมลมปราณที่จัดขึ้นในตงหลี่ พวกเราสองต่อสู้สัประยุทธ์กันอย่างดุเดือด และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสกับความรู้สึกแปลกๆ ที่บังเกิดขึ้นภายในใจ และนั่นเป็นสิ่งที่ตัวเขาไม่เคยรู้จักมาก่อน
ในเวลาเดียวกัน เซียถงก็ยังจดจ่ออยู่กับการควบคุมความร้อนของเปลวเพลิงอย่างระมัดระวัง หาได้รู้ตัวเลยว่า หลัวซีในเวลานี้จินตนาการฝันไกลไปไหนต่อไหนแล้ว และเมื่อหลอมกลั่นโอสถขับพิษเสร็จสิ้น นางก็เอนกายพักพิงอยู่ตรงหัวเตียงดังเดิม หอยหายใจถี่รัว พลางยื่นมือสีขาวผ่องขึ้นปาดเช็ดเม็ดเหงื่อบริเวณหน้าผาก และเมื่อหันศีรษะไปมองด้านข้าง ก็บังเอิญสบเข้ากับสายตาคู่อ่อนโยนของหลัวซีที่กำลังมองมาทางนี้
สี่ตาสองคู่สบเข้าหา สีหน้าไร้ซึ่งความรู้สึกแข็งกระด้างของเซียถงส่องสะท้อนออกมาจากนัยน์ตาของหลัวซี ชั่วครู่หนึ่งต่างฝ่ายต่างไม่รู้ว่า ตนเองควรเกริ่นประโยคกล่าวอย่างไรไปสักครู่ใหญ่
“ซีเอ๋อร์ มานี่เร็ว โอสถถอนพิษของเจ้าพร้อมแล้ว”
ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตส่งเสียงเรียกหาหลัวซี
หลัวซีได้สติฟื้นตื่น พึงตระหนักได้ว่าตนส่งสายตาจ้องมองเซียถงอยู่เป็นเวลานานจนเกินสมควรแล้ว ใบหน้าของเขาแดงก่ำขวยเขิน เจ้าตัวรีบเบี่ยงใบหน้าหลบเลี่ยง ลุกขึ้นไปหาผู้อาวุโสอินทรีโลหิตอย่างว่องไว รีบคว้าโอสถขับพิษในมืออีกฝ่ายพร้อมตบเข้าปากแก้เขินโดยไว
“ใจเย็น ใจเย็น รีบกลืนเช่นนั้นเดี๋ยวก็สำลักเอาหรอก”
ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตเฝ้ามองหลานชายตัวเอง สีหน้าดูทุกข์กังวลใจหลายส่วน
หลัวซีส่ายหน้าอาน สัมผัสได้ว่า เซียถงยังคงจับจ้องมองมาที่เขา ทันใดนั้นใบหน้าก็ยิ่งเห่อแดงเข้าไปใหญ่ รีบกล่าวตอบท่านปู่ไปว่า
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นอะไรเลยท่านปู่”
“อืม”
เห็นหลัวซีทำท่าทีเก้ๆ กังๆ ดูประหม่า ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตก็ชำเลืองมองไปทางเซียถงที่นั่งพักอยู่ตรงหัวเตียง แลเห็นว่านางกำลังยกมือหลอมรวมเปลวเพลิงสีทองอร่ามในเตาหลอมให้หดเล็ก ควบแน่นกลายเป็นลูกกลม และจู่ๆ มันก็พุ่งกลับเข้ามาในฝ่ามือของนาง เขาหรี่ตาแคบจ้องจับผิด โพล่งกล่าวขึ้นทันควันว่า
“เจ้ากำลังทำอะไร?”
“ก็แค่เก็บเพลิงพิภพเก้าดุษณีกลับคืนมา”
เซียถงกล่าวตอบไปตามปกติ ห้าทั้งห้าคลี่กางออก เปลวเพลิงสีทองอร่ามทั้งหมดก็ซึมซาบเข้าไปในฝ่ามือของนางโดยตรง
“เจ้า…”
ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตมุ่นคิ้วจับจ้องเพลิงพิภพเก้าดุษณีที่หายวับเข้าไปในฝ่ามือของเซียถง กล้ามเนื้อทั่วใบหน้าเกิดอาการชักกระตุกสั่นเทารุนแรง พร้อมรัศมีจิตสังหารกระแสใหญ่ที่ไหลบ่าออกมาจากทั่วร่างของเขาอีกครา
“ท่านปู่ อีกไม่นานเซียถงก็จะกลายมาเป็นสะใภ้ตระกูลหลัวในอนาคตแล้ว ทุกคนคือครอบครัว เพลิงพิภพเก้าดุษณีในกายของนางก็ไม่ต่างอะไรกับของท่านเช่นกัน เมื่อใดที่ต้องการหยิบใช้ ก็มาเรียกนางให้ไปช่วย”
หลัวซีสังเกตเห็นท่าทางที่แปรเปลี่ยนไปของผู้อาวุโสอินทรีโลหิต จึงรีบคว้าแขนเสื้อคลุมสีเทาของอีกฝ่ายเอาไว้เสียก่อน
กลิ่นอายจิตสังหารที่ฉาบคลุมบนร่างของผู้อาวุโสอินทรีโลหิตอ่อนตัวลง แต่ก็ยังทอดสายตาจ้องเซียถงเขม็งและกล่าวเสียงเข้มขึ้นว่า
“เซียถง จากนี้ต่อไปพวกเราก็จะกลายมาเป็นครอบครัวเดียวกัน มันไม่สำคัญหรอกว่า เจ้าจะมีเพลิงพิภพเก้าดุษณีอยู่ในมือหรือไม่ แต่หากเจ้ากล้าทำให้หลานชายของข้าต้องเสียใจ เราชายชราคนนี้จะลงทัณฑ์เจ้าด้วยคมกระบี่นับพันเล่ม!”
เซียถงชำเลืองมองหาหลัวซี ประกายตาทอแสงส่องสว่างวาบหนึ่ง ตอนนี้ได้เพลิงพิภพเก้าดุษณีที่สมบูรณ์แบบมาครองแล้ว นี่คงถึงเวลาหาทางหนีโดยสวัสดิภาพ
“เจ้าหนู เป็นสะใภ้ตระกูลหลัวต้องรู้จักเชื่อฟัง หาไม่แล้วก็อย่าตำหนิกันว่าไร้ปรานี”
ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตส่งสายตาแดงก่ำคุกคามใส่เซียถง
เนื่องจากตอนนี้เพลิงพิภพเก้าดุษณีในส่วนของเขาถูกเซียถงดูดซับเข้าไปแล้ว ดังนั้นหากนางเกิดกบฏคิดต่างขึ้นมา ต่อให้หลัวซีจะเกลียดขี้หน้าเขาไปชั่วชีวิต แต่เขาก็จำเป็นต้องฆ่านาง และช่วงชิงเพลิงพิภพเก้าดุษณีกลับคืนมา
เซียถงปิดปากเงียบมิได้เอ่ยกล่าวอะไร แสร้งทำเป็นเหน็ดเหนื่อย เอนแผ่นหลังพักพิงตัวเตียงและหลับตาลงช้าๆ ซ่อนความคิดทั้งหมดเอาไว้ในใจอย่างเงียบงัน
“ท่านปู่ โปรดมั่นใจในตัวนางหน่อยเถิด จะอย่างไรนหลานชายคนนี้ก็หล่อเหลาเอาการ หาใช่สามีขี้เหล่ไร้น้ำยาแต่อย่างใด เซียถงเองก็ยินดีแต่งงานกับข้าเช่นกัน”
หลัวซีกล่าวปลอบโยนท่านไปประโยคหนึ่ง จากนั้นก็เดินตรงเข้ามาหาเซียถง อุ้มร่างของนางขึ้นในอ้อมแขน
“ท่านปู่ นางเพลียมากแล้ว ขอตัวไปส่งนางก่อน”
เซียถงสะดุ้งเฮือกสีหน้าตื่นตระหนักมิใช่น้อยที่จู่ๆ ก็มีคนอุ้มร่างของตนขึ้นมา โพล่งตาโตเบิกกว้างก็ชนเข้ากับสายตาของหลัวซีที่ยามนี้ดูสงบลึกล้ำโดยตรง นัยน์ตาคู่นี้มันใสบริสุทธิ์ซะจนสะท้อนโฉมหน้าอันงดงามของนางออกมา แต่ในขณะเดียวกันก็ลอบสังเกตเห็นถึงร่องรอยความวิตกกังวลได้เช่นกัน
ไฉนแววตาที่ดูอ่อนโยนของหลัวซีตอนนี้ ถึงทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอยู่หนึ่งส่วน
หลังออกมาจากห้องหลอมกลั่นโอสถ เซียถงก็ส่งเสียงเรียกเสี่ยวฮั่วผ่านห้วงความคิดทันที แต่ผ่านไปชั่วครู่ก็ยังไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบรับจากมัน ทำเอานางประหลาดใจไปไม่น้อย
“เสี่ยวฮั่ว เสี่ยวฮั่ว!”
เซียถงส่งเสียงร้องลั่นภายในใจ
“โอ้ย! หยุดร้องสักทีเถอะ! มันโดนพิษเครื่องหอมเข้าไป ตอนนี้ยังหลับไม่ตื่นเลย!”
ผ่านไปสักพัก กลับกลายว่าเป็นสุ้มเสียงแสนเกียจคร้านของหลิวซูที่ดังขึ้นมาแทน
“เสี่ยวฮั่วถูกพิษเครื่องหอมด้วยงั้นรึ?”
เซียถงถึงกับตะลึง
“ก็ใช่น่ะสิ! หัดดูด้วยว่าใครกันที่เป็นคนหลอมกลั่นพิษเครื่องหอมขึ้นมา! ตาแก่นั่นทรงพลังอย่างมาก จะเหลือก็แค่ข้าที่เป็นจิตวิญญาณกระบี่ตนเดียวที่ต้านทานพิษได้”
หลิวซูสูดหายใจแช่มลึก และเอ่ยตอบออกมา
ทั้งที่คำนวณแผนการทุกอย่างจนถี่ถ้วนแล้ว ใครจะไปคิดว่า เสี่ยวฮั่วดันมาถูกพิษเครื่องหอมจนสลบมอด แล้วตอนนี้นางจะไปขอความช่วยเหลือจากใครกัน? จะหนีออกจากที่นี่อย่างไร? เซียถงอดมุ่นคิ้วเป็นกังวลมิได้
“มีอะไรงั้นรึ? เห็นท่านปู่ของข้าดุเช่นนี้ แต่หากเจ้าได้เป็นสะใภ้ตระกูลหลัวจริงๆ เขาไม่มีทางทำอะไรเจ้าแน่นอน!”
แลเห็นเซียถงมุ่นคิ้วขมวดดูวิตก หลัวซีก็พลางคิดไปว่า นางกำลังกลัวท่านปู่ของเขาลงมือลงไม้ จึงรีบเอ่ยปากกล่าวปลอบโยนทันทีพร้อมรอยยิ้มแสนอบอุ่น