ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 331 เสียงกระเส่าเขย่าอารมณ์
ตอนที่331 เสียงกระเส่าเขย่าอารมณ์
ตอนที่331 เสียงกระเส่าเขย่าอารมณ์
“คุณหนู นี่ท่านกำลังจะกล่าวอันใดกันแน่?”
ชุนหลานเปล่งเสียงดังใกล้จะหมดความอดทนเต็มที
เซียถงค่อยๆ หลับตาลงอย่างแช่มช้า คว้าผ้าผืนหนึ่งขึ้นลูบไล้สัมผัสแผ่วอ่อน เอ่ยขึ้นว่า
“สิ่งที่ข้าหมายถึงคือ ในเมื่อเจ้ารักหลัวซี แล้วไฉนยังต้องฝืนใจดูอีกฝ่ายแต่งงานกับหญิงอื่นด้วยเล่า?”
สองมือของหญิงสาวตรงหน้าสั่นเทาหนัก ชุนหลานหน้าเปลี่ยนสีผันแปรในทันใด กระทั่งร่างกายยังเกิดอาการสั่นกระเพื่อมหนัก สายตาคู่นั้นของนางที่กำลังจับจ้องเซียถง กลับกลายเป็นว่า มีคลื่นความหวั่นกลัวและลังเลเข้ามาแทนที่
เปิดเปลือกตาลืมมองสีหน้าการแสดงออกที่แปรผันไปของชุนหลานเบื้องหน้า เซียถงคลี่ยิ้มบางๆ กล่าวต่อว่า
“ชุนหลาน เจ้าทั้งสวยทั้งฉลาด ตราบเท่าที่หลัวซียังไม่แต่งงาน เจ้าก็ยังมีโอกาสเป็นเจ้าสาวของเขาเสมอ”
“อะ-อย่า…อย่ามาพูดไร้สาระ! นี่มันเรื่องเหลวไหลสิ้นดี! ข้า…ข้าไม่ได้…ไม่ได้ชอบ…”
ชุนหลานสะบัดหน้าศ่ายศีรษะไม่หยุดหย่อน ทั้งความตื่นตระหนกและความต้องการที่จะปฏิเสธต่างผสมปนเปกันมั่วไปหมดแล้ว กระทั่งจะเอ่ยกล่าวให้เป็นประโยคออกมายังติดขัด
“เจ้ารักหลัวซี เว้นเสียแต่ตัวหลัวซีเอง ทุกคนรอบตัวของเจ้าก็ยังไม่มีใครรู้”
มองปราดเดียวตระหนักชัดเฉียบขาด เซียถงเอ่ยแทรกขัดจังหวะชุนหลานขึ้นทันใด
‘ตุบ!’
ชุนหลานถึงกับเสียศูนย์ไปชั่วขณะ เดินเซถอยไปชนเข้ากับขอบโต๊ะกระแทกเสียงดัง นางยังคงส่ายหน้าไม่หยุด ทั้งกล่าวขึ้นอีกว่า
“เจ้ากำลังพล่ามไร้สาระ! เจ้ากำลังพล่ามเรื่องไร้สาระ!!”
“เห้อ~ ก็เพราะเจ้ามีความคิดอยู่แต่ในกรอบเช่นนี้ สมควรแล้วที่เป็นได้แค่คนรับใช้ไปชั่วชีวิต”
เซียถงถอดถอนเสียงหายใจดัง ปั้นหน้าแสร้งทำเป็นเสียอกเสียดาย โยนผ้าผืนหนึ่งในมือทิ้งต่อหน้าชุนหลาน ล้มตัวลงนอนบนเตียงพลิกตัวหันหลังให้อีกฝ่ายโดยไม่แยแสใดๆ อีก
ชุนหลานยืนตัวสั่นอยู่ข้างเตียง มองดูผืนผ้าบนพื้น พลางค่อยๆ เอื้อมมือลงไปคว้ามุมผ้าไว้แน่น สองมือเพิ่งแรงกำกระชับจนเนื้อผ้ายับยู่ยี่ ปรากฏเส้นเลือดสีเขียวฟ้าปูดโปนจากหลังมือแทบระเบิด ถูกต้อง นางแอบหลงรักนายน้อยตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว และนี่คือ ความลับสุดยอดที่ถูกกลบฝังอยู่ในห้วงลึกสุดหัวใจของนาง แต่ตอนนี้ จู่ๆ ก็เป็นเซียถงที่ขุดค้นความรู้สึกนี้ออกมา ความแตกโดยไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้ ชุนหลานย่อมรู้สึกตื่นตระหนกไม่น้อยอยู่ภายในใจ
คล้อยหลังความตื่นตระหนกเก้อเขินได้บรรเทาลง กลับกลายเป็นความรู้สึกหวาดกลัวที่เพิ่มพูนขึ้นมาแทน ชุนหลานเป็นกังวลเหลือเกินว่า หากหลัวซีได้รับรู้ถึงความรู้สึกอันไม่สมควรของนางที่มีต่อเขา เนื่องด้วยศักดิ์สถานะระหว่างทั้งสองที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว เขาจะรู้สึกอย่างไร? กลัวเหลือเกิน…ข้ากลัวว่า หลัวซีจะต้องหัวเราะเยาะเย้ยตน กับความรู้สึกที่ไม่สมควรจะก่อเกิดขึ้นระหว่างเจ้านายกับคนใช้ อย่างไรก็ตาม…ไฉนเมื่อครู่เซียถงพูดราวกับว่า หลัวซีทราบดีอยู่แล้วล่ะ? ถ้าทราบถึงความรู้สึกของนางแล้ว ไฉนถึงยังมีปฏิกิริยาเมินเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่อีก? ไม่! เซียถงจะต้องโกรธแน่นอน! นี่เป็นความรู้สึกที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น! ข้าคงทำได้เพียงกลบฝังไว้ในก้นบึ้งหัวใจดวงนี้เสียเท่านั้น
“ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้น! เจ้า…เจ้าก็แค่พูดเรื่องเหลวไหล! ไร้แก่นสาร!”
ชุนหลานปฏิเสธสวนกลับไปทันทีตามสัญชาตญาณความตื่นตระหนก
ถึงแม้เซียถงจะนอนหันหลังทำเป็นไม่สนใจแล้วก็ตาม แต่ทุกขณะจิตนางยังคงจับสังเกตปฏิกิริยาความผันผวนทางอารมณ์ของชุนหลานไม่มีคลายอ่อน พอได้ยินอีกฝ่ายพ่นคำปฏิเสธผลักไสออกมาไม่หยุดหย่อน ก็ถึงเวลาที่เซียถงจะหันกลับมา ส่งสายตาคู่เฉียบคม สบปะทะเข้าใส่อีกฝ่ายที่อยู่ต่อหน้า และเอ่ยถามขึ้นคำหนึ่งว่า
“ใช้ปากตอบปฏิเสธย่อมได้ แต่หัวใจของเจ้ากลับไม่ หากมิได้คิดอะไรเกินเลยกับหลัวซีจริงๆ เช่นนั้นกล้าสาบานกับฟ้าดินหรือไม่ว่า ชุนหลานคนนี้มิได้รู้สึกรักใคร่ในตัวอีกฝ่าย?”
“ขะ-ข้า…ข้า…ข้าไม่…”
ภายใต้สายตาคู่คมประดุจใบมีดจ่อแทงอยู่ต่อหน้า ชุนหลานตัวสั่นสะท้านเกินหักห้ามได้ไหว เร่งสืบฝีเท้าก้าวถอยห่างโดยไว ใจสั่นระรัวเสมือนถูกบีบเคล้น
ทันใดนั้นเอง เซียถงก็โพล่งตัวลุกขึ้นยืนในทันใด ค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าเฉิดฉายของตนขยับเข้าใกล้อีกฝ่าย ริมฝีปากสีอมชมพูอวบอิ่มแนบชิดติดใบหูของชุนหลาน เปล่งเสียงกระเส่ารุ่มร้อนขึ้นเบาๆ ว่า
“รู้หรือไม่? ตัวเจ้านั้นสวยเพียงใด? หากข้าเกิดเป็นบุรุษชายคงหักห้ามใจมิให้รักเจ้าไหวเช่นกัน… หากเจ้ามีใจให้หลัวซีก็จงสารภาพไปเสีย บางทีอีกฝ่ายเองอาจใจตรงกันกับเจ้า”
“ขะ-ข้า…ข้าหรือมีใจให้นายน้อย…”
เสมือนร่างกายของชุนหลานอ่อนฮวบไร้เรี่ยวแรงไปชั่วขณะ เนื้อตัวเกิดอาการเสียวสะท้านสั่นไม่หยุด
“เมื่ออยู่ต่อหน้ากับสิ่งที่เรียกว่าความรัก ทุกคนล้วนเท่าเทียม การที่เจ้ามีสถานะต่ำกว่าหาได้หมายความว่า เจ้ามิอาจรักใครได้ ทั้งหมดที่เจ้าคิดกับตัวเองว่าเป็นไปไม่ได้อยู่ร่ำไป ล้วนแต่เป็นกำแพงที่เจ้าสร้างเพื่อขังตัวเองทั้งนั้น”
ครั้งนี้เซียถงจงใจใช้ยาแรงเอ่ยกระตุ้น พ่นไอร้อนพร้อมน้ำเสียงแสนหวานฉ่ำอยู่ข้างใบหูอีกฝ่าย
ชุนหลานจิกริมฝีปากขบแน่นถนัด ยื่นนิ่งเงียบไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมาอีกเลย ส่วนบริเวณหน้าผากเปียกชุ่มเหงื่อฉาบคลุม ดวงตาคู่นั้นที่จับจ้องไปทางเซียถงในเวลานี้เปี่ยมล้นไปด้วยความหวาดกลัวอยู่เต็มไปหมด
“ชุนหลาน ไฉนเจ้าถึงไม่กล้าสารภาพรักกับอีกฝ่ายไปล่ะ? หากไม่พูดออกมาสักที แล้วเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่า แท้จริงแล้วหลัวซีคิดเยี่ยงไรกับเจ้ากันแน่?”
เซียถงค่อยๆ ถอนริมฝีปากสีอมชมพูของตนออกมา สีหน้าแววตาดูอ่อนโยนลงมาก แตกต่างจากก่อนหน้าที่เต็มไปด้วยไอเย็นชาฉาบคลุม
ชุนหลานส่งสายตาสบมอง ในไม่ช้าแววความตื่นตระหนกตกใจบนใบหน้าก็เริ่มลดลงตามลำดับ จนกลับมาสงบนิ่งดังเดิม เค้นเสียงกระแอมในลำคอสักทีหนึ่ง นางเอ่ยถามขึ้นว่า
“นี่ท่านกำลังกล่าวอันใดรึคุณหนูเซีย?”
ในเวลานี้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติอีกครั้งแล้ว และนางก็ทราบดีอยู่แก่ใจว่า สิ่งที่เซียถงบอกกล่าวไปเมื่อครู่ล้วนแต่เป็นความจริง ซึ่งนี่ทำให้นางต้องเก็บไปคิดไม่น้อยเลยทีเดียว
“ข้าไม่อยากแต่งงานกับหลัวซั”
เซียถงเดินกลับไปนั่งที่ข้างเตียง สบสายตายิ้มแย้มพลางมองหลานชุน
“แล้วยังไงรึเจ้าค่ะ?”
คล้ายปรากฏประกายแสงสลัวส่องสะท้อนผ่านนัยน์ตาดำของชุนหลานอยู่วาบหนึ่ง ก่อนจะหายวับไปราวกับดาวตก
“ข้าต้องการโอสถถอนพิษเครื่องหอม”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับบ่าว?”
เปล่งน้ำเสียงไม่แยแสต่อสิ่งใดดังสวนกลับไปทันที ชุนหลานในเวลานี้กลับมาเป็นคนเดิมที่แสนเย็นชาอีกครั้ง
“เพราะเจ้าไม่อยากให้ข้าแต่งงานกับหลัวซีเช่นกัน และขอเพียงนายน้อยของเจ้ายังไม่ได้แต่งงาน ตัวเจ้าเองก็มีโอกาสเสมอ”
เซียถงหรี่สายตาคู่คมกริบประดุจคมกระบี่สบมอง
สิ้นเสียงคำกล่าว ไอยะเยือกเย็นชาที่เพิ่งจะฉาบเคลือบแช่แข็งบนใบหน้าของชุนหลาน พลันต้องแตกสลายลงอีกครั้ง ดวงตาสั่นไสวเผยแสดระลอกอารมณ์หลายหลากซัดผ่าน เพียงเงยศีรษะลืมตาตื่น ก็บังเอิญสบเข้ากับสายตาคู่คมกริบดุจคมกระบี่ของเซียถงเข้าอย่างจัง
ยามเผชิญหน้าสบสายตากัน ท่าทีของเซียถงค่อนข้างสงบนิ่ง สีหน้าการแสดงอารมณ์ออกมาดูไม่แยแสสนใจต่อสิ่งใดบนผืนพิภพ สองสาวมองหน้ากันอยู่เป็นเวลานาน บรรยากาศรอบตัวเริ่มควบแน่นกดดันกลายเป็นความหนักอึ้งอย่างไร้สาเหตุ
“คุณหนูเจ้าค่ะ! อาหารยังทำไม่เสร็จเลย บ่าวจึงนำขนมเซาปิ่งร้อนๆ เพิ่งอบเสร็จมาให้เจ้าค่ะ! ขนมเซาปิ่งของที่นี่ทั้งหอมมันหวานกำลังดีเจ้าค่ะ ท่านต้องลองชิมดูสักคำนะเจ้าค่ะ!”
ชั่วขณะนั้นเอง ก็มีสุ้มเสียงตะโกนของเซี่ยเห่อที่ดังมาแต่ไกลเข้ามา ฟังดูแล้วกำลังเดินเข้ามาในห้อง
“หื้ม? พี่ชุนหลานเกิดอะไรขึ้นกัน?”
เซี่ยเห่อตรงเข้ามาเปิดประตูโพล่งพร้อมถาดขนมเซาปิ่งร้อนๆ ในมือถึงกับตะลึงงันไปชั่วขณะ เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย? เพิ่งออกไปได้ไม่นานแท้ๆ แต่ไฉนถึงมีกองผ้ารกเต็มพื้นไปหมด?
เจ้าตัวรีบวางถาดขนมเซาปิ่งลงบนโต๊ะทันที และรีบวิ่งมาหยุดต่อหน้าเซียถง กวาดสายตามองขึ้นลงตั้งแต่หัวจรดเท้ายู่หลายที แลเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงปลอดภัยดี จึงก้มตัวไปเก็บผ้าตามพื้นขึ้นมาวางดีๆ เอ่ยถามขึ้นคำหนึ่งอย่างเป็นกังวลใจขึ้นว่า
“พี่ชุนหลาน ไฉนผ้าถึงร่วงตกเต็มพื้นเช่นนี้? คุณหนูเซียเลือกได้แล้วงั้นรึ?”
ชุนหลานปิดปากเงียบมิได้กล่าวอันใดทั้งสิ้น เอาแต่สบตามองไปที่เซียถงอยู่ทางเดียว ประกายสายตาของนางช่างดูดุร้ายเสมือนกับว่า ต้องการจะฉีกหนังหักกระดูกใครสักคนให้เป็นชิ้นๆ ซึ่งในจุดนี้เอง เซี่ยเห่อก็สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อตระหนักได้ว่า มีอะไรบางอย่างผิดปกติออกไประหว่างพวกนางทั้งสอง เซี่ยเห่อก็กอดผ้ากองหนึ่งในมือแน่น และเอ่ยถามขึ้นว่า
“มี…มีอะไรกันรึเปล่า?”
ชุนหลานพ่นลมหายใจสบถเย็นคำหนึ่งและหมุนตัวเดินจากออกไปโดยตรง