ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 334 หลบหนี
ตอนที่334 หลบหนี
ตอนที่334 หลบหนี
“แล้วโอสถขับพิษอยู่ที่ใด?”
เซียถงหันมาเอ่ยถาม เพราะหากตัวนางไม่มีโอสถขับพิษ ทักษะความสามารถของนางจะถูกจำกัดเอาไว้ และหาใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหลบหนีออกมา และถ้าผู้อาวุโสอินทรีโลหิตจับตัวนางได้อีกครั้ง ผลลัพธ์ที่ตามมาเกรงว่ายากจะทราบได้
“ไม่มีโอสถขับพิษอยู่ที่นี่ เจ้ารีบออกไปจากที่นี่เสียก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ!”
ชุนหลานคำรามกล่าวสุ้มเสียงเย็นชา
ไม่มีโอสถขับพิษ? เซียถงหน้าถอดสีไปชั่วขณะหนึ่ง แต่เวลานี้ไม่เหลือเวลามานั่งคิดไตร่ตรองใดๆ แล้ว นางเร่งฝีเท้าสืบหนีออกไปทันทีตามเส้นทางที่ชุนหลานบอกเอาไว้ เลี้ยวพ้นประตูออกมานางรีบวิ่งสุดแรงเกิด
เหม่อมองแผ่นหลังของเซียถงที่เคลื่อนออกไปไกลสุดสายตา หายวับไปจากมุมทางเดิน ประกายตาชุนหลานทอแสงระยับ จากนั้นก็เอนกายพักพิงบนกำแพงอย่างไร้เรี่ยวแรงใดๆ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นกลัดกุมหัวใจบนอกข้างซ้ายของตนเองที่กำลังสั่นระรัว
นี่ข้า…ทำถูกต้องแล้วจริงๆ งั้นรึ? นางรู้สึกได้ว่า เซียถงหาได้มีใจแก่นายน้อยเลยสักนิด ในทางตรงกันข้าม นายน้อยกับรักนางยิ่งกว่าสิ่งใด และหากปล่อยให้อีกฝ่ายหนีไปได้ ก็ไม่เท่ากับว่าต้องทำให้นายน้อยต้องเป็นทุกข์หรอกรึ?
เพื่อความสุขของนายน้อย นางยอมเอาตัวเสี่ยงอันตราย ต่อให้ถึงตายก็ยอม
ยื้อเวลาผ่านไปสักพัก พอสันนิษฐานได้ว่า เซียถงน่าจะกำลังมุ่งหน้าถึงสวนหลังเรือนแล้ว ชุนหลานก็คว้ามีดสั้นเล่มนั้นที่อยู่บนพื้นขึ้นมา จากนั้นก็ค่อยๆ เสียบเข้ากลางอกซ้ายหวังทะลวงขั้วหัวใจตนเองโดยไม่มีลังเลใดๆ ชั่วเวลาเดียวกัน ปรากฏแสงอสนีบาตลั่น สาดแสงสว่างวาบไปทั่วแผ่นฟ้า เสียงสายฟ้าฟันฟาดคำรนสนั่น เลือดสีแดงสดกระอักล้น ทะลักปากชุนหลานออกมาเป็นสายๆ พยายามกัดฟันรีดเร้นพลังเฮือกสุดท้าย ตะโกนเสียงดังขึ้นว่า
“ช่วยด้วย! เซียถงหนีไปแล้ว!!”
ในเวลาเดียวกัน เซียถงวิ่งออกไปจวนจะถึงประตูทางออกหลังสวนอยู่แล้ว เห็นเงาประตูอยู่กรายๆ ก็พึงอุ่นใจ แต่อย่างไรเสีย ร่างกายของนางตอนนี้แทบไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้ว ออกแรงวิ่งเพียงสักครู่เดียวเท่านั้น พิษเครื่องหอมในกายกลับถูกกระตุ้นรุนแรงขึ้นมา แข้งขาอ่อนยวบลงชั่วขณะ นางไถลตัวล้มลงกับพื้นทั้งแบบนั้น สีหน้าการแสดงออกดูอ่อนเพลียจัด แค่เปลือกตายังลืมแทบไม่ขึ้นแล้ว
บัดซบ! ร่างกายข้ามันไร้เรี่ยวแรงอีกแล้ว! เซียถงนอนแน่นิ่งอยู่ท่ามกลางสายฝนกระหน่ำ หลับตาพยายามครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง และทันใดนั้นนางก็เพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ ร้องอุทานลั่น ‘ไม่!’ จากนั้นก็ลองเอื้อมมือล้วนไปยังช่องเก็บของบริเวณผ้าคาดเอว ก่อนจะพบว่า ซองเครื่องหอมสีม่วงที่ใช้ฟื้นพลังกายมันเปียกฝนหมดแล้ว
ซองเครื่องหอมที่เปียกฝน ก็เท่ากับว่าประสิทธิภาพของสมุนไพรภายในนั้นล้วนหมดฤทธิ์ไปโดยปริยาย ส่งผลให้มันไม่สามารถช่วยระงับพิษเครื่องหอมในกายนางได้อีกต่อไป
ชุนหลานอยู่รับใช้ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตมาเป็นเวลานาน และไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะไม่รู้ว่า ซองเครื่องหอมพวกนี้จะใช้การไม่ได้ไปทันทีที่โดนฝน ถึงแบบนั้น อีกฝ่ายก็ยังเลือกปล่อยนางให้หนีออกไปในวันฝนตก…
บัญชีแค้นอาฆาตในครั้งนี้ถูกสลักจารึกไว้ในใจเซียถงในทันใด
“นางอยู่ตรงนั้น! อยู่ตรงนั้น!”
“อย่าปล่อยให้นางหนีไปได้! รีบจับตัวมาเร็ว!”
สุ้มเสียงคนตะโกนโฮร้องดังมาแต่ไกล บรรดาบ่าวรับใช้ทั้งหลายต่างวิ่งเข้าจับกุมเซียถง สีหน้าท่าทีแสดงความกังวลยิ่งยวด กลัวว่านางจะหนีออกไปได้ ทุกอย่างกลับกลายมาเป็นเช่นนี้ นางหาได้ขัดขืนใดๆ อีกและปล่อยให้คนพวกนั้นประคองร่างอันอ่อนเปรี้ยของตนกลับไปแต่โดยดี
“เซียถง! เจ้าคิดจะทำลายงานแต่งจริงๆ ใช่หรือไม่?!”
ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตร่อนทะยานลงมาจากบนฟากฟ้า ลงมาหยุดอยู่เบื้องหน้าเซียถงเสมือนกำแพงสูงตระหง่านยากจะข้ามผ่าน
“ข้าสัญญาไว้ว่า ที่ยอมแต่งงานก็เพื่อช่วยชีวิตหลัวซี แล้วในเมื่อตอนนี้พิษในกายของเขาล้วนถูกกำจัดทิ้งโดยสิ้นแล้ว งานแต่งที่ว่าก็ไม่จำเป็นต้องมีอีกต่อไป!”
เนื่องด้วยแผนการหลบหนีของเซียถงถูกบ่อนทำลายสิ้นไม่เหลือดีแล้ว เช่นนั้นนางจึงเอ่ยปากยอมรับไปตามตรง สบสายตามองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่มีกลัวเกรง เพราะจะยังไง อย่างมากก็แค่ตายอีกครั้ง
ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตหน้าถอดสีทมิฬมืดในพริบตา ส่งสายตาน่าสยดสยองมุ่งใส่เซียถง ระเบิดหัวเราะลั่น กล่าว ‘ดี’ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าสี่คราติด
“ดี! ดี! ดีมาก! ดีจริงๆ!”
คล้อยหลังถูกสายตาอันน่าสยดสยองของอีกฝ่ายเข้าจับจ้อง เสมือนเม็ดฝนที่สาดลงมาก่อตัวผนึกกลายเป็นคมมีดสีใส กระหน่ำจู่โจมเข้าใส่หัวใจของเซียถงอย่างไม่หยุดหย่อน กระแสความเจ็บปวดทรมานที่ได้รับช่างเกินทานทนได้ไหว นางถึงกับข่มตาหลับอดกลั้นจนเนื้อตัวสั่นเทา
“ท่านปู่! สัญญากันแล้วมิใช่รึว่าจะไม่ฆ่านาง!!”
ทันใดนนั้นเอง ก็มีเงาร่างหนึ่งทะยานวับออกมาผ่านม่านพิรุณ พุ่งเข้าขวางหน้าเซียถงเอาไว้
ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตหยุดทุกการกระทำลงกะทันหัน มุ่นคิ้วใส่หลัวซี ตะโกนน้ำเสียงเกรี้ยวโกรธลั่นว่า
“ออกไปให้พ้น! ในเมื่อนางไม่ต้องการแต่งงานกับเจ้า เช่นนั้นเอง เราชายชราก็ขอชีวิตนาง เพื่อแลกกับเพลิงพิภพเก้าดุษณีกลับคืนมา!”
“หากท่านปู่อยากฆ่านางนัก เช่นนั้นก็จงเอาชีวิตหลานคนนี้ไปก่อน!”
หลัวซีกางแขนทั้งสองข้างเปิดอ้า ลงวาจาขับขานหนักแน่น หยาดพิรุณเม็ดใหญ่ที่ร่วงตกกระทบใบหน้า รินไหลรวมกับเป็นธารสายน้อย หยดลงผ่านแก้มสู่พื้น เขายืนหยัดอยู่ตรงหน้าเซียถงปราศจากทีท่าจะหลบเลี่ยงหนีไปไหน
เมื่อเซียถงลืมตาขึ้นมาเห็นหลัวซีที่ยืนอยู่ต่อหน้า นางเองกลับรู้สึกผิดเล็กน้อยในใจ
“ไปให้พ้น! เจ้าเคยรู้หรือไม่ว่า นางไม่ต้องการให้เจ้าช่วยอะไรเลยสักอย่าง! ในหัวของนางมีแต่เรื่องเพลิงพิภพเก้าดุษณี หาได้สนใจในตัวเจ้าแม้สักนิด!”
ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตจ้องหน้าหลัวซีเขม็ง ดวงตาคู่นั้นแทบจะมีเปลวเพลิงลุกโชนออกมา เส้นประสาทสีเขียวปูดโปนเป็นชั้นหนาทั่วทั้งหน้าผาก กระทืบเท้าเสียงดัง พยายามไล่เจ้าหลานชายไม่รักดีคนนี้ให้ถอยออกไป
“ท่านปู่ ไม่ว่านางจะชื่นชอบข้าหรือไม่ แต่พรุ่งนี้ก็ยังเป็นงานแต่งระหว่างข้ากับนาง ในอีกไม่ช้า พวกเราก็จะกลายเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว และเพลิงพิภพเก้าดุษณีก็จะตกเป็นของท่าน อย่างไร…หากท่านฆ่านางในวันนี้ ข้า หลัวซีขอไม่นับญาติกับท่านอีกชั่วชีวิต!”
หลัวซีคำรามตอบกลับอย่างดื้อรั้น
เสี้ยวพริบตานั้น เซียถงใจหายวาบ กระทั่งตอนนี้หลัวซีก็ยังอยากจะแต่งงานกับนางให้ได้
ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตจ้องหน้าหลัวซีผู้แสนดื้อรั้นตรงหน้าสักพักใหญ่ ท่ามกลางห่าพิรุณกระหน่ำสาดส่ง บรรยากาศโดยรอบพลันเงียบสงัดไปชั่วขณะหนึ่ง ตลอดที่ผ่านมา ตั้งแต่หลัวซียังเด็ก ก็เป็นเขานี่แหละที่คอยเฝ้าดูแลอีกฝ่ายเสมอมา เป็นทั้งเพื่อนในยามเหงา เป็นทั้งอาจารย์ในยามต้องการที่พึ่งพิง และเป็นทั้งพ่อแม่ในยามที่เขาต้องการความอบอุ่น แต่ก่อนที่ตัวเขาจะรู้ตัวเสียด้วยซ้ำ มิยักรู้เลยว่า หลานชายของเขาจะเติบใหญ่ขึ้นขนาดนี้แล้ว หาใช่ลูกนกน้อยที่อยู่แต่ในรัง แต่เป็นอินทรีตนหนึ่งที่กล้าสยายปีกบินด้วยตัวเอง และคงไม่จำเป็นจะต้องอยู่ใต้ปีกอินทรีเฒ่าอย่างเขาอีกต่อไปแล้ว
เวลาชายคนหนึ่งรักใครสักคน พวกเขาเหล่านั้นมักจะทำทุกอย่างเพื่ออีกฝ่าย