ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 337 ไปนำโอสถขับพิษมา (1)
ตอนที่337 ไปนำโอสถขับพิษมา (1)
ตอนที่337 ไปนำโอสถขับพิษมา (1)
หนึ่งสายหายใจถอดถอน เสียงฝีเท้าหลัวซีที่เดินพ้นประตูออกไปค่อยๆ เลือนรางหายไป เซียถงลืมตาตื่นและกวาดมองไปทั่วห้องที่ว่างเปล่า พลางส่ายหัวเบาๆ อยู่หลายที หากตอนนี้ใบหน้าของนางมีแต่จุดด่างดำน่าเกลียด เรื่องคงไม่กลายมาเป็นเฉกเช่นนี้แน่นอน
ห่าพิรุณสาดเทลงมาจากฟากฟ้าไม่หยุดหย่อน เซียถงพยุงร่างขึ้นมาเปลี่ยนชุดเสื้อผ้าใหม่ที่ฉู่จูนำมาให้ จากนั้นก็ตะกายขึ้นเตียงนอนและหลับไป ตอนนี้นางไม่เหลือเรี่ยวแรงสำหรับจะทำอะไรทั้งนั้น สิ่งเดียวที่ทำได้คงเป็น นอนรออยู่บนเตียงจนกว่ารุ่งสางของอีกวันจะมาถึง
จี้จี้มันหายไปไหนกันนะ? นี่ก็ผ่านไปนานแล้วยังไม่เห็นกลับมาเสียที หรือจะถูกผู้อาวุโสอินทรีโลหิตจับได้แล้ว?
ขณะที่หลับตาทั้งสองข้างปิดลง ก็บังเกิดข้อสงสัย ใตอนนี้องค์จักรพรรดิแห่งตงหลี่กำลังตามหานางอยู่หรือไม่? แล้วบรรดาองค์จักรพรรดิอีกสามพระองค์ที่ต้องการตัวนางเข้าร่วมฝักฝ่ายล่ะ? หากพวกเขารู้ว่า องค์จักรพรรดิแห่งตงหลี่กำลังวิ่งเต้นเสาะหานางอยู่ เช่นนั้นคนอื่นๆ คงไม่มีทางยอมแพ้โดยง่ายแน่นอน นั่นหมายความ พวกเขาทั้งหมดกำลังออกไล่ล่าตามหาตัวนางกันให้ควัก จะเหลือก็แค่ว่า พวกเขาจะพบตัวนางเมื่อใดก็เท่านั้น
แล้วไป๋หลี่หานล่ะ? เจ้านั่นเองก็กำลังออกตามหาตัวนางอยู่หรือไม่? แล้วตอนนี้อีกฝ่ายจะร้อนใจเพียงใดนะ?
ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ เซียถงตั้งหน้าตั้งตารอ หวังให้ไป๋หลี่หานตามหานางจนเจอเหลือเกิน เพราะเมื่อใดที่ได้เห็นหน้าไป๋หลี่หาน นั่นก็หมายความได้ว่า นางใกล้จะรอดตายแล้ว อาศัยขุมพลังความแกร่งกล้าของอีกฝ่าย แม้กระทั่งผู้อาวุโสอินทรีโลหิตก็ยากจะต้านรับได้ไหว โดยเฉพาะกับตัวเขาในเวลานี้ที่อยู่ในสภาวะแข็งแรงเต็มที่สมบูรณ์
วันรุ่งขึ้น บริเวณหน้าห้องของเซียถงถูกคุมเข้มจริงจังยิ่งขึ้น ทั้งฉู่จู ตงเหม่ยและเซี่ยเห่อ พวกนางทั้งสามต่างช่วยกันเฝ้ายามหน้าประตูตลอดทั้งวัน ยิ่งไปกว่านั้นเอง ตอนนี้เซียถงไม่มีซองเครื่องหอมม่วงที่คอยกู้คืนพลังกำลังให้กลับคืนแล้ว กล่าวได้ว่า ไม่มีเรี่ยวแรงกระทั่งจะลุกขึ้นเดินเสียด้วยซ้ำ จึงทำได้แค่นั่งพิงกำแพงอยู่บนเตียงตลอดทั้งวัน
เพราะหญิงสาวทั้งสามต่างคิดว่า เซียถงคือคนทำร้ายชุนหลานจนเกือบตายจริงๆ ตงเหม่ยกับฉู่จูจึงจงเกลียดจงชังแทบจะไม่อยากมองหน้าเซียงเสียด้วยซ้ำ ส่วนเซี่ยเห่อยิ่งเย็นชากว่าใครอื่น พวกนางไม่ปริปากพูดคุยกับเซียถงสักคำ ยกเว้นแต่ว่าช่วงเวลาจำเป็นจริงๆ
นั่งพิงกำแพงทอดสายตามองหน้าต่างที่ดำมืดอย่างว่างเปล่า เซียถงได้ยินเสียงฝีเท้านับหลายร้อยที่วิ่งวุ่นไปมาดังเป็นพิเศษ ดูท่าคนพวกนี้กำลังง่วนกับเรื่องพิธีแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้
หากเปรียบเทียบกับก่อนหน้า สิ่งที่เคยเชื่อว่า นางจะเสาะหาโอกาสหลบหนีออกไปได้ก่อนวันแต่ง ดูท่าตอนนี้จะค่อยข้างเลือนรางแล้ว
นั่งอยู่แบบนั้นเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็ม เซียถงไม่แม้แต่ลืมตามองสิ่งใดอีกเลย
วันรุ่งขึ้น นี่เป็นวันแห่งความปีติยินดีของมวลชนทั้งหลาย ช่างตัดเสื้อหลี่รีบมาตั้งแต่รุ่งสาง พร้อมชุดแต่งงานสีแดงเพลิงงดงาม ตรงเข้ามาหาเซียถง
“ถึงแม้ชุดแต่งงานนี้จะถูกบีบให้สั่งตัดออกมาให้เสร็จภายในสองวัน แต่โดยรวมเนื้อผ้าการตัดเย็บนับว่าออกมาประณีตมาก รับประกันได้เลย ตอนที่คุณหนูเซียสวมออกมา จะต้องสง่างดงามประดุจนางฟ้านางสวรรค์!”
ช่างตัดเสื้อหลี่ยิ้มแย้มมีความสุข ขณะพรรณนาอธิบายถึงความพิเศษของชุดแต่งงานในมือ เขาก็ค่อยๆ วางชุดลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง
แต่เซียถงหาได้สนใจชุดแต่งงานนั่นเลย แต่ชำเลืองมองไปทางเขาแทน
“คุณหนูเชิญลองสวมชุดได้ตามสบาย ข้าน้อยขอตัวไปก่อน”
ช่างตัดเสื้อหลี่โค้งศีรษะคำนับเซียถงทีหนึ่ง แล้วเตรียมจะหันหลังกลับออกจากห้องไป เหม่อมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่กำลังลาจาก ประกายตาเซียถงทอแสงสว่างไสวขึ้นหนึ่งปราด เอ่ยปากส่งเสียงขึ้นทันทีว่า
“เดี๋ยวก่อน ข้าไม่ค่อยชอบทรงชุดแต่งงานนี้เท่าไหร่ ช่วยกลับไปแก้แล้วนำมาให้ข้าลองสวมใหม่เถอะ”
“ขะ-ขอรับ? แต่นี่…นี่…”
ช่างตัดเสื้อหลี่อ้าปากค้างตะลึงงัน ไม่คิดไม่ฝันมาก่อน แต่ไหนแต่ไรเซียถงเป็นคนเย็นชาไม่สนใจโลก แล้วเหตุใดตอนนี้จู่ๆ ถึงมาจ้องจับผิดชุดแต่งงานกันเสียดื้อๆ? อีกอย่างคือ นางยังไม่ทันได้หยิบชุดขึ้นมาลองทาบกับตัวเลยแม้แต่ครั้งเดียว กระทั่งมองยังไม่ทำด้วยซ้ำ! เห็นเช่นนี้ก็ตระหนักทราบได้ทันที นางกำลังจงใจสร้างปัญหาให้เขาอยู่ คิ้วหนาสองเส้นขมวดย่นเล็กน้อย ช่างตัดเสื้อหลี่ยิ้มตอบไปว่า
“เกรงว่าเรื่องปรับแก้ชุดจะไม่น่าทันการแล้ว จะอย่างไร คุณหนูขอลุกขึ้นมาลองชุดก่อนสักคราดีกว่าหรือไม่?”
“ข้ารู้ว่ามันไม่ทันการแล้ว แต่นี่ยังมีเวลา ไฉนยังไม่รีบนำกลับไปแก้? ข้าไม่ชอบชุดแต่งงานนี้ และข้าจะไม่มีวันใส่มัน”
เซียถงนั่งนิ่งอยู่บนเตียงจงใจแหกปากตะโกนเสียงดังลั่น
สามสาวงามที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู ได้ยินเสียงตะโกนกึกก้องของเซียถงชัดเจนถนัดหู พวกนางทั้งสามต่างชำเลืองหางตาเหลือบมองโดยพร้อมเพรียง พร้อมสีหน้าบิดเบี้ยวรังเกียจยิ่งกว่าอะไรดี
หึ! เอาแต่พูดว่าไม่อยากแต่งงานกับนายน้อย แต่สุดท้ายตอนนี้ก็ทำตัวไม่ต่างอะไรกับเจ้าสาวมากเรื่องคนหนึ่งที่กระหายอยากแต่งงาน ทุเรศสิ้นดี! ทั้งตงเหม่ย ฉู่จูและเซี่ยเห่อต่างคิดไปในทางเดียวกัน และนี่ยิ่งทำให้พวกนางรู้สึกรังเกียจเซียถงเข้าไปใหญ่
“แต่คุณหนู ชุดแต่งงานนี้เป็นทรงที่กำลังนิยมที่สุดในช่วงปีนี้ก็ว่าได้ มันสวยน่าใส่มากจริงๆ ขอรับ ท่านสนใจลองดูสักนิดก่อนดีกว่าหรือไม่?”
ช่างตัดเสื้อหลี่ยังคงทำใจดีสู้ดี ยิ้มกล่าวเกลี้ยกล่อม ซึ่งขณะที่เอ่ยกล่าวออกมา แผ่นหลังของเขาพลันยืดเหยียดตั้งตรงโดยมิทันรู้ตัว
เซียถงเฝ้าสังเกตท่าทีของอีกฝ่ายไม่มีคลายอ่อน เห็นว่าถึงแม้เจ้าตัวจะยิ้มแย้มตลอดเวลา แต่แววตาภายในมิได้เป็นเช่นนั้นเลย กลับทอแสงประกายลึกล้ำสีดำขลับเข้มดั่งมหาสมุทร ดูแกร่งกร้าวอย่างน่าประหลาด
อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ช่างตัดเสื้อคนนี้ดูผิดปกติออกไป ต้องมีจุดประสงค์อะไรบางอย่างแอบแฝงไว้อยู่ ถึงได้ลอบเร้นเข้ามาในงานแต่งของหลัวซีในฐานะช่างตัดชุดคนหนึ่ง เซียถงเหลือบหางตามองไปหาเซี่ยเห่อและที่เหลือ ซึ่งพวกนางทั้งสามที่คอยยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูก็ไม่มีใครสักคนหันมาแยแสสนใจ ทำเมินเฉยราวกับเซียถงเป็นเพียงธาตุอากาศไร้ค่า
“ทักษะกระบี่ของช่างตัดเสื้อหลี่คงยอดเยี่ยมมิใช่น้อยเลยกระมัง?”
เซียถงเคลื่อนใบหน้าเข้าชิดใกล้อีกฝ่าย ลอบกระซิบเสียงต่ำเบาๆ และนี่ก็เพียงพอแล้วที่ทำให้ช่างตัดเสื้อหลี่ได้ยินชัดแจ้ง
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น แววตาของช่างตัดเสื้อหลี่เป็นประกายโรจน์สว่างวาบ สีหน้าการแสดงออกดูแปรเปลี่ยนตื่นตระหนกอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะกลับมายิ้มแย้มดังเดิม กล่าวตอบอย่างใจเย็นว่า
“คุณหนูเซียต้องล้อเล่นแล้ว ข้าน้อยเป็นเพียงช่างตัดเสื้อที่กำลังสั่งสมประสบการณ์คนหนึ่งเท่านั้น จะไปรู้จักวิชากระบี่พวกนั้นได้เยี่ยงไร?”
“หุหุ งั้นรึ?”
เซียถงค่อยๆ เลื่อนสายตาลงมาจากใบหน้าผ่านหัวไหล่ ก่อนจะที่หยุดลงบนฝ่ามือของอีกฝ่าย นางแสยะยิ้มที่มิใช่รอยยิ้ม ใช้สายตาเพ่งชี้กล่าวว่า
“ฝ่ามือของช่างตัดเสื้อหลี่มีแผลตาปลาเยอะจริงๆ ทั้งยังแข็งเป็นไตหนา เห็นได้ชัดแจ้งว่า ฝึกปรือวิชากระบี่มานานหลายปีแล้ว”
เสียงกระซิบของนางช่างเบาบางยิ่งนัก
“คุณหนูเข้าใจผิดแล้วขอบรับ แผลตาปลาพวกนี้เกิดจากที่ข้าตัดฝืนเป็นประจำ เวลาไม่มีคนจ้างตัดชุดเสื้อผ้า คนต่ำต้อยอย่างข้าจำต้องตัดฝืนหาเลี้ยงชีพไปวันๆ”
เซียถงเงยหน้าแช่มมอง พลางหยิบชุดแต่งงานขึ้นมาจับสัมผัสนุ่มนวลระมัดระวัง เสียงกระซิบแผ่วอ่อนดังขึ้นอีกว่า
“รู้หรือไม่ว่า เวลาแยกแยะระหว่างคนใช้กระบี่เป็นกับไม่เป็น มันต้องดูกันที่ตรงไหน? ตามหลักแล้ว คนที่ใช้กระบี่ไม่เป็น ตำแหน่งของตาปลาจะไปอยู่ที่บริเวณเนินกระดูกฐานนิ้ว เกิดจากวิธีกำจัดด้ามกระบี่ที่ผิด ในทางตรงข้าม หากเป็นคนใช้กระบี่เป็นจะรู้ว่า วิธีจับที่ถูกต้องคือการใช้นิ้วชี้และโป้งบังคับทิศทางตัวกระบี่ให้หันไปตามใจนึก ดังนั้นแผลตาปลาจะเกิดขึ้นบริเวณปลายนิ้วซะส่วนใหญ่ น่าบังเอิญเหลือเกินที่ช่างตัดเสื้อหลี่มีแผลตาปลาที่ปลายนิ้ว?”
เว้นช่องไฟไปหนึ่งจังหวะ นางยิ้มกล่าวต่อว่า
“ไม่ว่าจุดประสงค์ของเจ้าคือสิ่งใด ตัวข้านั่นย่อมหลับตาข้างหนึ่งทำเป็นไม่สนใจได้ ตราบใดที่เจ้าหาโอสถจขับพิษเครื่องหอมได้ก่อนตอนเข้าพิธี! แต่หากทำไม่ได้ ข้าก็เชื่อเหลือเกินว่า ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตคงให้ความสนใจกับแผลตาปลาบนฝ่ามือของช่างตัดเสื้อหลี่ไม่น้อย”
“คะ-คุณหนู ท่านต้องล้อเล่นแล้ว!”
ช่างตัดเสื้อหลี่ดูกระสับกระส่ายแตกต่างจากเมื่อครู่ลิบลับ
“ขอเพียงเจ้าขโมยโอสถขับพิษมาให้ข้าได้ ไม่ว่าเจ้าจะลงมือทำสิ่งใดหลังจากนี้ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับข้าแล้ว”
นางถอนสองมือเก็บกลับดังเดิม เสี้ยวตาโค้งยิ้มเป็นทรงจันทร์เสี้ยวสวย ทว่าในสายตาของช่างตัดเสื้อหลี่แล้ว รอยยิ้มตรงหน้า กลับน่าสยดสยองเปรียบดั่งรอยยิ้มของปีศาจ!