ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 339 การตัดสินใจครั้งสุดท้าย
ตอนที่339 การตัดสินใจครั้งสุดท้าย
ตอนที่339 การตัดสินใจครั้งสุดท้าย
สืบเท้าติดตามฉู่จูและเซี่ยเห่อที่ช่วยพยุงแขนไป เซียถงเดินมาถึงห้องโถงรื่นเริงมากบรรยากาศมงคล หลัวซีกำลังยืนอยู่ ณ ท่ามกลางฝูงชนในชุดคลุมเจ้าบ่าวสีแดง ในวันนี้เขามิได้ดูเหนียมอายเฉกเช่นวันวาน ชุดเจ้าบ่าวสีแดงในเพลานี้ยกระดับความหล่อเหลาของเขาเป็นเท่าตัว แต่อย่างไร สีหน้าการแสดงออกของเขาดูค่อนข้างกังวล คิ้วมุ่นขมวดแน่นหนาตลอดเวลา ซึ่งนี่หาใช่ความสุขดั่งที่เจ้าบ่าวควรจะมี
ส่วนฝูงชนที่ยืนอยู่โดยรอบหลัวซี ล้วนแต่เป็นทาสรับใช้และคนงานประจำเรือนพักที่เดินทางติดตามเขามายังซีฉิน พวกเขาอยู่ปรนนิบัติรับใช้ตระกูลหลัวมานานนับสิบปีแล้ว และแน่นอน ตระกูลหลัวเองก็เหมือนกับอีกสามตระกูลใหญ่ที่ซ่อนเร้น ในอดีตทั้งกองกำลังทัพและอิทธิพลอำนาจของพวกเขาเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด แต่เนื่องด้วยความโลภเกินพอดี ส่งผลให้หลังจากพายุนองเลือดครั้งใหญ่จบลง กองกำลังของตระกูลหลัวก็เสื่อมถอยลงมากไม่ต่างอะไรกับสามตระกูลที่เหลือเลย
เพื่อรักษาสายเลือดของตระกูลเอาไว้มิให้สูญสิ้น สมาชิกตระกูลหลัวที่เหลือรอดมาได้จากสมรภูมินองเลือดครั้งนั้นได้ปิดแม่น้ำขังตัวเองอยู่ในป่าเขา จวบไปจนซ่อนตัวอยู่ภายใต้เมืองที่พลุกพล่าน โดยมีองค์จักรรพดิแห่งหน่านเฟิงคอยดูแลอยู่เบื้องหลังอีกทีหนึ่ง ซึ่งทั้งหมดก็เพื่อตอบแทนบุญคุณของตระกูลหลัวที่เคยช่วยเหลือตนไว้มากมายในครั้นที่องค์จักรพรรดิแห่งหน่านเฟิงยังเป็นแค่องค์รัชทายาท
ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตนั่งอยู่ในห้องโถงตรงนั้น กวาดสายตามองเหล่าทาสรับใช้ทั้งหลายที่อยู่ภายในนี้ ร่องรอยความอาลัยอาวรสุดขมขื่นเกินพรรณนาพลันปรากฏขึ้นในแววตาของชายชรา ความเจริญรุ่งเรืองสุดขีดของตระกูลหลัวในสมัยนั้น กระทั่งองค์จักรพรรดิเจ้าของดินแดนยังต้องเกรงใจไว้หน้าหลายส่วน จำนวนสมาชิกผู้คนในตระกูล รวมไปถึงบรรดาทาสรับใช้มีจำนวนเยอะกว่านี้ไม่รู้กี่สิบเท่า แล้วมาดูตอนนี้สิ…เหลือแค่เขากับหลัวซีที่ถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังสองคน
ส่วนเรื่องพ่อของหลัวซีนั้น…ทั้งหมดเป็นเรื่องแต่งของผู้อาวุโสอินทรีโลหิตทั้งสิ้น…
เพียงต้องการรักษาสภาพจิตใจของหลานชายคนเดียวที่เหลือ ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตจำใจจะต้องกุเรื่องพ่อของเขาขึ้นมา
แต่ความจริงแล้ว ทั้งตระกูลหลัวกลับเหลือสายเลือดแท้จริงกันแค่สองคนเท่านั้น
สายตาของชายชราเหี่ยวย่นค่อยๆ เหลียวกลับมาจับจ้องหลัวซี สีหน้าดูครุ่นคิดอย่างหนัก อันที่จริงแล้ว ส่วนตัวเขาค่อนข้างถูกใจในตัวเซียถงยิ่งยวด ชั่วชีวิตนี้ของเขาต้องกล่าวเลยว่า ยังไม่เคยพบเจออิสตรีคนใดที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมขนาดนี้มาก่อน เซียถงเป็นคนที่มีพรสวรรค์รอบด้านอย่างแท้จริง ทั้งในเส้นทางหลอมกลั่นโอสถ และเส้นทางการต่อสู้ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเป็นคนเฉลียวฉลาด มีไหวพริบดีมาก กล่าวได้ว่าเป็นเสือมังกรที่ซ่อนเร้นในบรรดาผู้คนทั่วปฐพี เขาจะมีความสุขมากหากนางเต็มใจยอมแต่งงานกับหลานชายของตน แต่ปัญหาก็คือ นางกลับไม่มีความเต็มใจเลย
ดูเหมือนว่าวิธีเดียวที่เหลือคงต้อง…กำจัดอิสระของนางเอาไว้แล้วเท่านั้น มิฉะนั้น หากปล่อยให้นางกดขี่ซีเอ๋อร์อยู่ร่ำไปเช่นนี้ สักวันหากนางคิดทรยศขึ้นมา ซีเอ๋อร์คงไม่ต่างอะไรกับลูกไก่ในกำมือ คิดได้ดังนั้น ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตก็รีบถกแขนเสื้อคลุมยาวสีเทาขึ้น พร้อมยื่นโอสถเม็ดสีแดงเม็ดหนึ่งส่งให้หลัวซี
“ท่านปู่ สิ่งนี้คือ…?”
หลัวซีก้มมองโอสถเม็ดสีแดงตรงหน้า พลางเลิกคิ้วสงสัย
“นี่คือโอสถกร่อนฤทัย แอบใส่มันลงในจอกสุราพิธีที่นางต้องดื่ม หลังจากนี้นางจะไม่กล้าดื้อด้านกับเจ้าอีกในอนาคต”
ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตยิ้มกล่าว โอสถกร่อนฤทัยชนิดนี้มีฤทธิ์ทำให้หัวใจของผู้รับประทานเกิดอาการบีบเกร็งรุนแรง ส่งผลให้รู้สึกทรมานเจียนตาย และมีวิธีแก้เดียวคือ จะต้องรับประทานโอสถกร่อนฤทัยซ้ำไปเรื่อยๆ เพื่อบรรเทาอาการให้เบาลง สิ่งนี้เท่านี้นจึงจะสามารถยืดชีวิตให้ตายช้าลงได้
ตราบเท่าที่เซียถงถูกลวงให้กินโอสถชนิดนี้ให้สำเร็จได้ในครั้งแรก ก็ไม่ต่างอะไรกับชั่วชีวิตของนางหลังจากนี้ได้ตกอยู่ในกำมือของผู้อาวุโสอินทรีโลหิตโดยสมบูรณ์แล้ว นางทำได้เพียงเชื่อฟังคำสั่งและอยู่ในโอวาทของเขาเพื่อแลกกลับโอสถกร่อนฤทัยใช้ต่อชีวิตเท่านั้น
หลัวซีได้ยินแบบนั้นก็ตกใจ ท่านปู่คิดจะวางยาพิษชนิดนี้ใส่เซียถงจริงๆ งั้นรึ? ทันทีทันใด เพลิงโทสะพลันปลุกปะทุขึ้นจากก้นบึ้งหัวใจ เขารีบเอื้อมมือไปคว้าโอสถเม็ดสีแดงในมืออีกฝ่าย และออกแรงบดขยี้จนเละเป็นผุยผงโดยตรง ก่นเสียงเยียบเย็นดังขึ้นว่า
“ท่านปู่ หากท่านต้องการจะเก็บเซียถงไว้ใกล้ตัวด้วยวิธีสกปรกเช่นนี้ ข้าขอยอมปล่อยนางไปเสียกว่า!”
“นางย่อมจากไปไหนก็ได้ตามต้องการ แต่ต้องทิ้งเพลิงพิภพเก้าดุษณีไว้ที่นี่!”
ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตสะบัดแขนเสื้อลง ย้ำคำตอกเสียงรุนแรงใส่ ทั้งที่เขายอมทำทุกอย่างก็เพื่อหลานชายคนนี้ ไม่เพียงจะมิได้รับคำชื่นชมเลยสักคำ แต่ยังถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกใจทรามใช้วิธีสกปรกอีก!
หลัวซีอารมณ์เริ่มเย็นลงเล็กน้อย ก่อนจะเพิ่งตระหนักได้ว่า เมื่อครู่ตนเองเพิ่งตะคอกใส่ท่านปู่ไปซึ่งมันหาใช่เรื่องเหมาะสมเลย คล้อยรู้สึกผิดหนึ่งส่วน เขาจับแขนเสื้อผู้อาวุโสอินทรีโลหิตเบาๆ และกล่าวเกลี้ยกล่อมขึ้นว่า
“ท่านปู่ ท่านต้องเชื่อใจหลานคนนี้ ข้าจะทำให้เซียถงเปลี่ยนใจและอยู่ร่วมกับพวกเราได้อย่างมีความสุข นางต้องเป็นสะใภ้ตระกูลหลัวที่ดีแน่นอนในอนาคต!”
“ซีเอ๋อร์ หากนางเต็มใจยอมเราตั้งแต่แรก ทุกอย่างคงไม่ต้องกลับกลายมาเป็นแบบนี้ เอาเถอะ หากนางยังคิดหนีอีกเพียงครั้งเดียว ก็อย่าตำหนิปู่คนนี้ว่าโหดเหี้ยม”
ดวงตาเหี่ยวย่นของผู้อาวุโสอินทรีโลหิตฉายแววเหี้ยมเกรียม
ได้เห็นท่าทีของผู้อาวุโสอินทรีโลหิตเป็นเช่นนั้น หลัวซียิ่งรู้สึกกังวลหนักอึ้งในใจ ความเหี้ยมโหดของท่านปู่เขาทำให้เขาเป็นกังวลไม่น้อยเลย เก็บเซียถงให้อยู่ใกล้ตัวแบบนี้…จะทำให้นางปลอดภัยจริงๆ งั้นรึ? หรือข้าควรปล่อยนางไป?
“เจ้าสาวมาแล้ว! เจ้าสาวมาแล้ว!”
ใครบางคนในงานขัดจังหวะความคิดของหลัวซี เสียงตะโกนลือลั่นดังสนั่น
“ซีเอ๋อร์ เซียถงนางนี้มีบุคลิกเย็นชากร้านโลก ในเมื่อนางมิได้ต้องการแต่งงานกับเจ้าด้วยความสมัครใจ ปู่คนนี้เกรงว่า จะกลับกลายเป็นเรื่องยากยิ่งที่เจ้าจะคุมนางได้ในอนาคต และนี่อาจแปรเปลี่ยนเป็นหายนะได้ในสักวัน ตราบเท่าที่นางยังเอาแต่ดูหมิ่นศักดิ์ศรีของเจ้าเช่นนี้ ปู่เองก็คงทนดูอยู่เฉยๆ มิได้”
ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตชำเลืองหาหลัวซีอยู่หนึ่งปราด แล้วค่อยหันหลังกลับไปนั่งประจำที่ของเขา
หลัวซีหันศีรษะกลับมาตรงหน้า จับจ้องไปยังฉู่จูและคนอื่นๆ ที่ช่วยกันประคองร่างเซียถงให้เดินขึ้นหน้าต่อไปได้ เฝ้ามองร่างอรชรสีแดงเพลิงตรงเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แววความกังวลยิ่งกัดเซาะล้ำลึกยิ่งขึ้นในใจ สิ่งนี้มันดีต่อเซียถงแล้วจริงๆ งั้นรึ?
“นายน้อย ยังไม่ไปนำเจ้าสาวเข้าพิธีอีกรึ?”
บ่าวรับใช้คนเก่าคนแก่ผู้หนึ่งที่อยู่ด้านข้างเอ่ยทักทาม ยิ้มแย้มดูมีความสุขมาก
หลัวซีพยักหน้าและรีบเดินไปหาเซียถงอย่างรวดเร็ว เมื่อทั้งสองสบสายตามองกันและกัน ถึงแม้จะมีผ้าคลุมเจ้าสาวปิดบังไว้อยู่ แต่หลัวซีก็ยังสามารถสัมผัสได้ชัดแจ้ง ถึงไอความเย็นเยียบและขุ่นเคืองบนใบหน้าที่อยู่เบื้องหลังผ้าผืนนี้
“ให้ข้าช่วยพยุงเจ้าต่อเถิด”
หลัวซีเอื้อมมือเข้าช่วยพยุงไหล่เซียถง เซี่ยเห่อและพวกคนอื่นๆ ต่างมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนจะถอนมือก้าวถอยหลังออกไป
แม้จะสัมผัสได้ว่าหลัวซีกำลังลังเลใจอย่างหนักในขณะนี้ แต่ก็ดูท่าจะยังมิอาจตัดสินใจอะไรได้สักอย่าง เช่นนั้นเซียถงก็โน้มตัวเข้าพักพิงติดอ้อมอกอีกฝ่าย เอ่ยกระซิบเสียงทุ้มต่ำว่า
“หลัวซี ข้าจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย อย่าบังคับให้ข้าต้องเกลียดเจ้า”
ประโยคสั้นกระชับจับใจนี้ เสมือนคมศรที่ยิงทะลุขั้นหัวใจของหลัวซีอย่างจัง ความขมขื่นใจที่รู้สึกมาถึงขีดจำกัดเกินกว่าจะรับได้ไหวแล้ว ในเวลานี้ปราศจากรอยยิ้มใดๆ หลงเหลือบนใบหน้าของเขาอีกต่อไป
ขณะหลัวซีช่วยประคองเซียถงเดินเข้ามาในงานพิธี เสียงประทัดก็ดังขึ้น เสียงแห่งความสุขของบรรดาผู้คนภายในงานทั้งหลายเฮลั่นสนั่นพร้อมเพรียง รอยยิ้มทั้งหมดต่างมอบให้แก่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวในชุดสีแดง
หลัวซีเอื้อมมือขึ้นคว้าเอวบางของเซียถงเข้าโอบกอดไว้แน่น ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจกับตัวเองได้อย่างเด็ดขาดเสียที ค่อยๆ โน้มศีรษะกระซิบข้างหูอีกฝ่ายมิให้ผิดสังเกต และกล่าวว่า
“หลังจบพิธี ข้าจะพาเจ้าหนีเอง!”
“จริงรึ?”
เซียถงประหลาดใจยิ่งยวดกับการตัดสินใจในครั้งนี้ของหลัวซี ทั้งที่ตลอดผ่านมา เขาไม่เคยมีความคิดที่จะปล่อยนางออกไปเลย แต่ในตอนนี้ ทั้งที่ทุกอย่างกำลังจะลงตัวตามที่เขาปรารถนาเอาไว้ กลับตัดสินใจกลับลำปล่อยนางให้เป็นอิสระ ได้ยินเช่นนั้นรู้สึกไม่อยากเชื่อหูตัวเองจริงๆ