ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 344 ความตายของผู้อาวุโสอินทรีโลหิต (2)
ตอนที่344 ความตายของผู้อาวุโสอินทรีโลหิต (2)
ตอนที่344 ความตายของผู้อาวุโสอินทรีโลหิต (2)
“หน่วยองครักษ์เงาลงมือแล้ว พวกเขาจะไม่เป็นอะไรแน่นอน”
ไป๋หลี่หานหันมากล่าวกับเซียถง
อาศัยช่วงที่หน่วยองครักษ์เงายื่นมือช่วยเหลือ ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตรีบฉวยโอกาสนี้รีบวิ่งไปหาหลัวซี คว้าแขนอีกฝ่ายเพื่อพาหนีออกจากวงสมรภูมิโดยไว ในขณะเดียวกัน อินทรีโลหิตยักษ์ที่กำลังโรมรันพันตูกับเสือดาวเหมันต์อย่างเดือดดุ ก็ตีปีกทยานบินไปหาพวกเขาทันที มันใช้กรงเล็บเข้าตะคลุบร่างหลัวซีโยนขึ้นบนหลังของตน ก่อนจะเป็นผู้อาวุโสอินทรีโลหิตที่กระโดดขึ้นรั้งท้าย พอเห็นว่าขึ้นมากันครบทั้งคู่แล้ว มันก็รีบสยายปีกกว้างพาทั้งสองทยานสู่ฟากฟ้าสูงในทันใด
“นี่คือโอสถขับพิษ!”
กลางเวหานภากาศ ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตขว้างขวดโอสถสีขาวให้ไป๋หลี่หานโดยไม่แลมองด้วยซ้ำ ทางด้านไป๋หลี่หานก็รีบกระโจนพุ่งเข้าไปคว้ารับเอาไว้ และพาเซียถงมาหลบมุมหนึ่งใต้หลังคา
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคู่ปู่หลานกำลังจะหนีไปได้ ก็มีปรมาจารย์คนหนึ่งรีบหยิบศรธนูฉาบของเหลวสีม่วง วางแทบเคียงบนคันธนูและง้างเส้นเอ็นยิงไล่ติดตามสองคนนั้นประดุจดาวหาง ศรธนูดอกนี้แม่นยำเป็นที่สุด พุ่งทะลวงปักคาแผ่นหลังของผู้อาวุโสอินทรีโลหิตโดยตรง
ชายชราตัวกระตุกรุนแรง มีของเหลวสีม่วงเข้มไหล่ออกมาจากแผลศรธนูที่เสียบปัก เพียงพริบตา ผิวหนังบริเวณโดยรอบของเขาก็เริ่มเน่าเปื่อย ความเร็วของพิษที่ลุกลามมากซะจนเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ด้วยตาเปล่า!
“ซีเอ๋อร์! หลังจากนี้ไม่มีปู่คอยดูแลแล้ว รักษาตัวด้วย!”
กล่าวจบ ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตก็กระโดดลงจากหลังอินทรีโลหิตยักษ์ ดวงตาเบิกกว้าง เครายาวสีขาวสะบัดพลุกพล่านไร้ทิศทาง ยกกระบี่อ่อนง้างชูเหนือศีรษะ ระเบิดลมปราณาสีเงินประกายจัดจ้านเดือดดุ มวลมหาพลังทั้งหมดทั้งมวล ล้วนถูกควบแน่นไว้ตรงคมกระบี่เป็นจุดเดียว ก่อบังเกิดคลื่นคมกระบี่ลมปราณแผ่นมหึมาเทียมฟ้าดิน
“ในเมื่ออยากเรียกข้ากลับมานัก เช่นนั้นก็ตายไปซะให้หมด!!”
ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตหัวเราะหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดวงตากอประกายอาฆาตจัดจนเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน อัดฉีดขุมพลังทั้งหมดที่มีรวมอยู่ในการโจมตีเพียงครั้งเดียว ร่างชายชราเปล่งแสงสีเงินจัดจ้านเข้มข้น เสมือนหนึ่งคนผสานรวมเข้ากับหนึ่งกระบี่ ก่อให้เกิดเป็นมหาอานุภาพทำลายล้างขั้นสูงสุด ทะลวงฉีกห้วงนภากาศผีห่าบรรลัยสิ้น โหมซัดเข้าใส่ปรมาจารย์คนเมื่อครู่ที่เป็นคนยิงศรธนูและใกล้เคียงโดยตรง
รัศมีทำลายล้างกินระยะเป็นวงกว้างจนน่าพิศวงตกใจ กวาดล้างสรรพสิ่งจนวินาศสันตะโรในพริบตา
ภายใต้คมกระบี่ลมปราณมหึมา ปรมาจารย์คนดังกล่าวตัวระเบิดเป็นเสี่ยงไม่เหลือซาก แสงสีเงินประกายระยิบระยับสาดไสวงดงามอย่างหาที่ใดเปรียบไม่ ร่างของผู้อาวุโสอินทรียืนตระหง่านกลางสมรภูมิรบ สภาพไม่เหลือดี สักครู่หนึ่งตัวอีกฝ่ายเริ่มโป่งบวม น่าจะเกิดจากการสำแดงใช้พลังจนเกินขีดจำกัดควบคุม ทันใดนั้นเสียงระเบิดดัง ‘โพล๊ะ’ ตัวผู้อาวุโสอินทรีโลหิตระเบิดเป็นจุณ เศษเลือดเศษชิ้นเนื้อสาดกระเซ็นกระเด็นออกมา กลายเป็นระเบิดทรงพลังทำลายล้างลูกใหญ่ทิ้งท้าย กวาดล้างบรรดาศัตรูที่ยังหลงเหลือตายห่าไม่เหลือดี
บนหลังคาที่ยืนหยัดสั่นสะเทือนรุนแรง อีกไม่ช้าลงใกล้ถล่มไม่เหลือซากแล้ว ไป๋หลี่หานรีบพาเซียถงเหินทะยานอากาศหนีออกจากบริเวณตัวเรือนโดยไว เพียงพริบตาต่อมา เรือนพักที่เซียถงร่วมอาศัยในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ในเวลานี้กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว
“ท่านปู่!?!!”
หลัวซีหันศีรษะจับจ้องทุกสถานการณ์ภาพฉากที่เกิดขึ้นเบื้องหลัง กรีดร้องลั่นแทบขาดใจ ส่วนเจ้าอินทรีโลหิตยักษ์ส่งเสียงร้องอาลัยต่อการจากไปของเจ้านาย แต่ยังคงตีปีกสยายออกไปไกลจนลับขอบฟ้า
เซียถงยืนอยู่ห่างจากซากปรักหักพังดังกล่าวกว่าร้อยลี้ เมื่อร่อนลงจอดแตะพื้นลงมา นางก็รีบเงยหน้าเฝ้ามองจากระยะไกลโพ้น แต่พบเห็นแต่เศษซากบ้านเรือนและชิ้นเนื้อจากศพคนกระจัดกระจายไปทั่ว ขุมพลังทำลายล้างระดับชั้นจักรพรรดิครามฟ้าช่างน่ากลัวอะไรปานนี้ ถึงผู้อาวุโสอินทรีโลหิตจะบรรลุแค่ครึ่งขั้นก็ตาม แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะล้างบางเมืองๆ หนึ่งได้อย่างง่ายดาย อย่างไร เมื่อสังเกตให้จงดี เซียถงถึงกับเบิกตากว้างประหลาดใจ กลุ่มชายชุดคลุมดำทั้งห้า ซึ่งแต่เดิมยืนล้อมปกป้องหลัวซีอยู่ตรงนั้น กระทั่งตอนนี้เองพวกเขาก็ยังยืนนิ่งอยู่ที่ตำแหน่งเดิมไม่ไปไหน จะมีก็แค่พื้นที่เฉพาะที่พวกเขาทั้งห้ายืนอยู่เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไรเลย ส่วนที่เหลือสภาพเป็นหลุมบ่อขนาดมหึมา และสิ่งที่น่าทึ่งที่สุดคือ พวกเขาทั้งห้าไม่ได้รับบาดเจ็บแม้สักนิด กระทั่งฝุ่นสักเม็ดยังไม่มีเกาะแกะบนชุดคลุมพวกนั้น!
ตรงกันข้ามกับกลุ่มชายชุดคลุมดำทั้งห้า ฝ่ายศัตรูมีผู้รอดชีวิตออกมาเพียงสี่ถึงห้าคนจากทั้งหมด ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ล้วนแต่เป็นปรมาจารย์ที่มีระดับชั้นพลังใกล้เคียงกับผู้อาวุโสอินทรีโลหิต แต่สภาพก็อยู่ไม่ห่างไกลจากความตายเท่าไหร่นัก บ้างใบหน้าเละไปครึ่งหนึ่ง บ้างแขนขาดขาขาดไม่สมส่วน ซึ่งแน่นอน…คนพวกนี้ล้วนถูกกลุ่มชายชุดดำทั้งห้าที่ยืนรออยู่แล้ว เก็บงานไม่เหลือรอดแม้สักคน
ไป๋หลี่หานเปิดจุกขวดโอสถที่ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตขวางให้ เทโอสถเม็ดกลมสีขาวจำนวนสองเม็ดป้อนเข้าปากเซียถงโดยตรง จากนั้นก็อุ้มร่างของนางมาพักพิงบริเวณริมป่าที่อยู่ไม่ไกลนัก
พอทั้งคู่มาถึงเขตชายป่า ก็มีอาชรขาวตนหนึ่งถูกผูกติดไว้กับต้นไม้กำลังริมแทะหญ้าไปพลาง หลังจากที่รับประทานโอสถขับพิษไป สภาพร่างกายของเซียถงมิได้ฟื้นคืนกำลังวังชาขึ้นทันทีทันใด ดังนั้นจึงต้องเป็นหน้าที่ของไป๋หลี่หานที่ต้องช่วยประคองร่างของนางเอาไว้ระหว่างควบม้า ให้เซียถงนั่งหน้า ส่วนเขานั่งคล่อมอยู่หลังนางอีกที จัดตำแหน่งเสร็จสรรพ ก็เริ่มควบม้าวิ่งไปยังมิศทางตรงข้ามกับเมืองซีเยว่ออกไป
“นี่จะไปไหนรึ?”
เซียถงหรี่ตาแคบแทบปิด เนื่องด้วยสายลมที่เข้าปะทะใส่
“กลับจักรวรรดิตงหลี่ พวกคนจากสามจักรวรรดิเดินทางกลับไปตั้งแต่สองวันก่อนได้แล้ว หากตอนนี้เราย้อนกลับไปเมืองซีเยว่ เกรงว่าจะวิ่งเข้าถ้ำเสื้อโดยปริยาย องค์จักรพรรดิซีฉินหมายตัวเจ้าอยู่เช่นกัน ดังนั้นควรเรียบทางบนเขา ลัดเลาะกลับตงหลี่คงเป็นการดีที่สุด”
“เจ้าดูไม่ค่อยกังวลเรื่องหน่วยองครักษ์เงาของตัวเองเลย? สังหารคนของจักรพรรดิซีฉินไปขนาดนั้น เกรงว่าคงถูกตามล่าล้างแค้น”
ประโยคหนึ่งโพล่งดังออกมาจากปากเซียถง แต่ชั่วอึดใจต่อมา นางก็เพิ่งทราบว่า คำถามข้อเมื่อครู่ของตนมันโง่งมปานใด
แน่นอน ไป๋หลี่หานที่ได้ยินแบบนั้นก็อดหัวเราะมิได้ ยิ้มตอบไปว่า
“ตราบใดที่หน่วยองครักษ์เงาของข้าลงมือ ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ไม่รอดกลับสวรรค์”
หน่วยองครักษ์เงากลุ่มนี้คือไพ่ตายสำคัญของเขาก็ว่าได้ โดยปกติหน่วยนี้แทบจะไม่ถูกเรียกใช้ออกมาให้เห็น เว้นเสียแต่ว่าครั้งนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของเซียถงโดยตรง
เซียถงสูดหายใจเย็นแช่มลึกอย่างช้าๆ ทันใดนั้นพลันย้อนกลับไปนึกถึงภาพฉากที่หลัวซีหนีจากออกไปเพียงลำพังกับอินทรีโลหิตตนนั้น ลึกๆ เองนางก็แอบเป็นกังวลอยู่หลายส่วนในใจ
เห็นความเงียบงันเริ่มก่อตัวขึ้นกับเซียถง ไป๋หลี่หานย่อมรู้ดี อีกฝ่ายคงกำลังเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของหลัวซีอยู่ ถึงจะรู้สึกไม่ค่อยชอบใจนัก แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากก้มหน้าก้มตาระงับอารมณ์ความโกรธลง และค่อยๆ เอนตัวเข้าแนบชิดติดแผ่นหลังของเซียถง มือทั้งสองข้างที่ต้องโอบเอวเพื่อจับเชือกบังคับม้า คล้ายกระชับแน่นขึ้นเล็กน้อยจนตัวนางเองก็สัมผัสได้
ทั้งนี้เซียถงก็ยังรู้สึกได้ถึง ไอความร้อนจากแผ่นอกของไป๋หลี่หานที่ซาบซ่านผ่านชั้นเสื้อเข้ามา ความคิดเป็นห่วงหลัวซีหดหาย พยายาเคลื่อนขยับร่างจัดทรงให้เข้าที่ทางอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก โค้งตัวเอี่ยวไปเบื้องหน้า รักษาระยะให้ห่างกับไป๋หลี่หานระดับหนึ่งเข้าไว้ แต่กระทั่งอีกฝ่ายก็ยังโน้มตัวตามเข้าแนบชิดอิงกายไม่ปล่อยไปเลย
เซียถงยื่งขมวดคิ้วเข้ม เอนตัวหนีต่อไปเรื่อยๆ จนท้ายที่สุด ตัวนางแทบจะขึ้นคล่อมบนคอม้าตนนั้นอยู่แล้ว คล้ายกับว่ามันชักจะรำคาญสองคนที่โดยสารอยู่บนหลังจึงส่งเสียงร้องออกมาด้วยความไม่พอใจ
“นั่งดีๆ ไม่ได้รึ?”
เซียถงมองค้อนย้อนกลับไปหาไป๋หลี่หาน สีหน้าดูหงุดหงิดรำคาญใช่ย่อย
“พิษเครื่องหอมในกายเจ้ายังไม่เสื่อมคลาย ข้าผู้นี้ก็กลัวว่าเจ้าจะล้มลงหลังม้า”
น้ำเสียงไพเราะเอ่ยขึ้น ไป๋หลี่หานกล่าวตอบอย่างนุ่มนวล เฝ้ามองกิริยาขวยเขินของหญิงสาวในอ้อมแขน รอยยิ้มหวานพลันเผยปรากฏบนมุมปาก
“ข้าได้ล้มร่วงตกหลังม้าแน่ หากเจ้ายังขยับแนบชิดติดปานนี้”
เซียถงพยายามข่มกลั้นระงับความโกรธลง พยายามจะเอื้อมมือไปจับแผงคอม้าเพื่อไถ่ตัวขยับลงมา