ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 345 มาเล่นกันเถอะ (1)
ตอนที่345 มาเล่นกันเถอะ (1)
ตอนที่345 มาเล่นกันเถอะ (1)
“อย่าได้เกรงใจไม่ ข้าผู้นี้คงไม่สบายใจหากต้องเห็นเจ้าตกหลังม้าไปต่อหน้าต่อตา”
กล่าวเช่นนั้นแล้ว สองมือของไป๋หลี่หานก็ยิ่งกระชับกอดเอวของเซียถงแน่นยิ่งขึ้น ส่งผลให้ร่างทั้งคู่แนบชิดกว่าเดิม
“ไป๋หลี่หาน! อย่าได้ใจให้มากนัก!”
เซียถงเดือดจัด โมโหแทบเลือดขึ้นหน้า โฉมงามหน้าแดงระเรื่อประหนึ่งบุปผาดอกหนึ่ง
จากเส้นสายตาที่ไป๋หลี่หานเห็น มีเพียงใบหน้าสีอมชมพูของนางที่เริ่มเห่อร้อนฉ่า ผิวพรรณเนียนสีขาวผ่องแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงในทันตา ทำเอาเจ้าตัวอดขำมิได้ ปรากฏว่า หญิงสาวนางนี้ก็หาใช่มีอารมณ์ตายด้านสักทีเดียว ก็ยังขวยเขินเป็นกับเขาบ้าง และภาพฉากนี้ยิ่งส่งเสริมให้นางดูน่ารักมากขึ้นไปอีกหลายทวีเท่า
สายลมเย็นพัดสัมผัสใบหน้า นอกจากเสียงกีบม้าขวบทะยานเดินหน้าแล้ว ก็ยังมีเสียงหัวเราะคิกคักดังแววเข้าหูเซียถงอีกตลอดทาง จนท้ายที่สุดนางชักจะทนไม่ไหวแล้ว หรี่ตาคับแคบแสนเจ้าเล่ห์กล เหลือบชำเลืองไปทางไป๋หลี่หานและยิ้มตาเป็นประกายกล่าวขึ้นว่า
“ท่านราชาหมาป่าสวรรค์ เช่นนั้นมาเล่นอะไรแข่งกันสักตั้งดีหรือไม่?”
“เล่นอะไรงั้นรึ?”
ไป๋หลี่หานเอ่ยถามคำหนึ่ง ควบคุมเชือกอานม้าไปพลาง
“เล่นแต่งบทกวีแข่งกัน ผู้ใดแต่งได้สามบทก่อนภายในเวลาที่กำหนด ถือเป็นผู้ชนะไป หากแต่งกันทันทั้งคู่ก็โต้กวีจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะคิดไม่ออก!”
เซียถงยิ้มกริ่มเอ่ยตอบออกไป
“แพ้ชนะเดิมพันด้วยสิ่งใด?”
ไป๋หลี่หานชะโงกศีรษะหาหญิงสาวเบื้องหน้า เอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ใครแพ้ลงไปเดินจูงม้า”
จุดประสงค์ของเซียถงค่อนข้างชัดเจนมาก นางไม่อยากมานั่งประกบติดกับอีกฝ่ายแล้ว
แต่ใครจะทราบ ไป๋หลี่หานกลับส่ายหัวไม่สนใจ ยิ้มตอบไปว่า
“บทลงโทษไม่น่าสนใจเท่าใดนัก ข้าผู้นี้ไม่ขอเล่นด้วย”
มีหรือที่คนอย่างเขาจะถูกลวงได้โดยง่าย?
“เช่นนั้นแล้ว…”
เซียถงแสร้งทำเป็นลากเสียงยืดยาวออกไป ทันใดนั้นลอบแสยะยิ้มชั่วร้าย กล่าวขึ้นต่อว่า
“ใครแพ้ต้องแก้ผ้า!”
“หื้ม? เจ้าก็เองก็แก้ผ้าด้วย?”
รอยยิ้มแขวนประดับบนใบหน้าของไป๋หลี่หานค้างแข็งในพริบตา จับจ้องไปที่เซียถงพร้อมแววตาที่เปลี่ยนไป
เซียถงเชิดคางยกสูงสุดแสนหยิ่งผยอง ก่นเสียงดูแคลนกล่าวถามยียวนกวนประสาทขึ้นว่า
“เจ้ากล้าหรือไม่? หากใครแพ้ มันผู้นี้ต้องแก้ผ้า แล้วลงไปเดินจูงม้า!”
“เจ้ามองเห็นอนาคตหรือไร? ไฉนมั่นใจนักว่าข้าผู้นี้ต้องแพ้? ในทางกลับกัน หากเจ้าแพ้ เจ้าเองก็ต้องแก้ผ้าลงเดินไปจูงม้าเช่นกัน พูดถูกต้องหรือไม่?”
ไป๋หลี่หานเหล่ตามอง จับจ้องหญิงสาวผู้มากความมั่นใจตรงหน้าดูสนุกสนานสนใจ
“ถูกต้อง!”
เซียถงตอบรับถือเป็นคำสัญญาไปในตัว แววตาความมุ่งมั่นของนางเต็มเปี่ยมความมั่นใจ ไม่ว่ายังไง ข้าก็ไม่มีวันแพ้!
“ตกลง! เช่นนั้นเริ่มกันเลยดีกว่า!”
ไป๋หลี่หานมุมปากกระตุกยิ้มโค้ง ประกายตาคู่นั้นดูลึกล้ำขึ้นหลายส่วน เหม่อมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็นยิ่งนักว่า นางคิดจะเล่นแง่เล่นเหลี่ยมอะไรกับเขากันแน่?
“เอาล่ะ! เช่นนั้นเรามาแข่ง….แต่งบทกวีจากชื่อเดือนกันดีหรือไม่?”
เซียถงตัดบทเริ่มการแข่งขันทันที เพราะกลัวว่าไป๋หลี่หานจะมาเปลี่ยนใจทีหลัง
“ได้เลย!”
ไป๋หลี่หานพยักหน้ารับคำ
เซียถงคลี่ยิ้มหวานส่งมอบ โดยไม่รีรออันใดอีก นางเริ่มปริปากร่ายบทกวีขึ้นว่า
“บทแรก 《ความอาลัยในคืนสงัด》, แสงจันทร์ส่องสาดผ่านบานหน้าต่าง ฉาดฉายสู่บนเตียง เคียงแรกเห็นครุ่นไปว่าหยาดทิพย์น้ำค้างแข็ง แหง่นขึ้นฟ้ามองจันทรา ณ ค่ำคืนเหมันต์ เอ็ดอาลัย แสนคิดถึงบ้านเกิดนับแสนไกล บทที่สอง《สายชลพลบค่ำ》, อัสดงอาทิตย์ตกดิน จรัสแสงกลางน้ำ ครึ่งฝั่งฟากธารชลคือครามเขียว อีกครึ่งหนึ่งสีแดงมณีราค คืนเดือนเก้าสามค่ำช่างโอนอ่อน หยาดค้างดุจไข่มุก จันทราเพลานี้ดั่งคันธนู บทที่สาม《บันไดหยกไร้พร่อง》หยาดค้างพิสุทธิ์ขาวกำเนิดบันไดหยก ย่างเหยียบใต้บาทาไร้มลทิน จันทร์เจ้าย่ามใบไม้ร่วงฤดูเปล่งพิจิตรแสงบรรจง”
บทกวีทั้งสามถูกร่ายออกมาครบจบในคราวเดียว โดยไม่มีเว้นวรรคห่างช่องไฟระหว่างกลาง
ไป๋หลี่หานเหม่อมองเซียถงอย่างโง่งมยิ่งแล้ว ต้องใช้เวลากว่าสักครู่ ถึงจะรู้สึกฟื้นตัวขึ้นได้อีกครา เขาก้มศีรษะครุ่นพินิจถึงบทกวีทั้งสามร่างที่เซียถงเพิ่งร่ายออกมาหมาดๆ ทันใดนั้นเขาก็รีบยกมือค้าน กล่าวขึ้นทันทีว่า
“บทกวีทั้งสามที่เจ้าท่องมา นับว่าเสนาะไพเราะหูอย่างสุดแสน เปรียบได้กับบทกวีชิ้นเอกแห่งวังหลวงก็หาได้เกินจริงไม่ แต่…”
เว้นชั่วจังหวะหนึ่ง ดวงตาของเขามอประกายสงสัยขึ้นมาทันใด มุมปากกระตุกยิ้มบาง เขากล่าวต่อว่า
“เกรงว่าเจ้ามิได้แต่งขึ้นเองกระมัง? ข้าพูดถูกหรือไม่?”
ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงระยะเวลาที่มีจำกัดสำหรับที่แข่งกัน อาศัยเพียงคุณภาพของทั้งสามบทกวี ไป๋หลี่หานมั่นใจเสียเหลือเกินว่า เซียถงไม่ได้เป็นคนแต่งขึ้นเองแน่นอน
ซึ่งแท้ที่จริง ก็เป็นไปตามที่เขาคิดไว้ไม่มีผิดเพี้ยน เพราะบทกวีทั้งสามมิได้ถูกแต่งประพันธ์ขึ้นโดยเซียถงแม้แต่น้อย ทว่านางหยิบเอาบทกวีดังกล่าวมาจากสองยอดนักประพันธ์ชั้นปรมาจารย์แห่งยุคอย่าง หลี่ไป๋ และ ไป๋จวีอี้ ซึ่งในชีวิตก่อนหน้า นางชอบอ่านบทกวีเก่าๆ ของสองท่านนี้เป็นอย่างมาก
“ท่านเคยอ่านหรือเห็นบทกวีเหล่านี้มาก่อนหรือไม่ล่ะ?”
ไป๋หลี่ห่านส่ายหัว
“ไม่”
“เช่นนั้นแล้ว ท่านกล่าวหาได้อย่างไรว่า ข้ามิได้เป็นผู้ประพันธ์สรรค์สร้างขึ้นมาเอง?”
เซียถงมองหน้าไป๋หลี่หานจ้องจับผิดไม่คลายอ่อน มุมปากกระตุกเชิดยิ้มอย่างเย้ยหยัน กล่าวว่า
“หรือเป็นไปได้ไม่ว่า ท่านราชาหมาป่าจะกลัวว่า บทกวีที่ตนกำลังจะคิดขึ้นหลังจากนี้ จะหาดีกว่าสู้ข้ามิได้? ก็เลยคิดหาวิธีสกปรกปรักปำกัน?”
ชั่วชีวิตนี้ของไป๋หลี่หาน เขาไม่เคยได้ยินชื่อบทกวีทั้งสามที่เซียถงประพันธ์ร่ายออกมาก็จริงอยู่ แต่ถึงแบบนั้น เขาก็ไม่อยากจะเชื่ออยู่ดีว่า เซียถงจะสามารถสร้างสรรค์บทกวีชั้นครูขนาดนี้ขึ้นมาได้ภายในเวลาอันสั้น ถึงแม้นางจะเป็นคนเฉลียวฉลาดมีไหวพริบดีเพียงใด แต่พรรสวรรค์ด้านกวีนิพนธ์ มิยักสังเกตว่านางจะมีแววทางนี้มาก่อน
“เอาล่ะ ถึงตาของท่านแล้ว”
เซียถงส่งยิ้มให้ไป๋หลี่หานอย่างแผ่วเบา นางไม่เชื่อหรอกว่า ไป๋หลี่หานจะสามารถประพันธ์บททวีได้เหนือชั้นเสียยิ่งกว่า นักกวีเอกแห่งราชวงศ์ถัง ได้แน่นอน
เฉพาะช่วงเวลาดังกล่าว ตัวไป๋หลี่หานไม่แปลกใจเลยสักนิดว่า ไฉนนางถึงกล้าเดิมพันโดยใช้บทลงโทษสุดโหดอย่างการแก้ผ้าเช่นนี้ ที่แท้นางก็เตรียมพร้อมรับมือไว้เสร็จสรรพแล้วนี่เอง นางจักต้องเคยอ่านบทกวีทั้งสามนี้มาก่อนจากที่แห่งใดแห่งหนึ่ง… หากเป็นเช่นนี้ละก็คนที่ต้องแก้ผ้าก็คือ…
ไป๋หลี่หานคอตกไปชั่วขณะ ถอนหายใจเฮือกยาวกล่าวยอมรับความพ่ายแพ้โดยง่ายว่า
“บทกวีทั้งสองของเจ้าเหนือชั้นเกินเปรียบเคียง ข้าผู้นี้ขอยอมแพ้”
“เช่นนั้น ก็ขอเรียนเชิญท่านแก้ผ้าแล้วลงไปจูงม้าบัดเดี๋ยวนี้!”
เซียถงเหลือบมองบนพื้น กล่าวไล่ไป๋หลี่หานให้ทำตามสัญญา
“ก็ได้”
ไป๋หลี่หานพยักหน้ารับคำโดยไม่ขัดขืนใดๆ กระโดดลงจากหลังม้าอย่างว่าง่าย และหลังจากที่ลงจากหลังม้ามา เขายังไม่ได้เดินขึ้นหน้าเป็นผู้จูงม้าเดินนำทันที แต่หันหน้าไปทางเซียถงและค่อยๆ ปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกมาทีละชิ้นให้ดู
เซียถงชำเลืองมองทีท่าของอีกฝ่าย พลางกระแอ่มไอไปทีหนึ่งและกล่าวว่า
“ท่านราชาหมาป่าสวรรค์แค่ไปนำม้าจูงเดินก็เป็นพอ ส่วนเรื่องแก้ผ้าย่อมอนุโลมได้ เพราะเห็นแก่ชื่อเสียงและศักดิ์ศรีของตัวท่านเอง”
“จะเป็นไปได้เยี่ยงไร? หากแพ้ก็ย่อมต้องทำตามคำสั่งที่เดิมพันกันไว้ ข้าผู้นี้จะแก้ผ้า”
ขณะกล่าวอธิบาย ไป๋หลี่หานในเวลานี้ก็ถอดเสื้อคลุมดำชั้นนอกออกมาเรียบร้อย ขณะที่กำลังจะปลดเข็มขัดลง ก็มีบางช่วงบางตอนที่ลอบชำเลืองมองเซียถง แววตาคู่นั้นคล้ายมีรอยยิ้มซ่อนแฝงดูคลุมเครือ
“ไม่มีปัญหา หากท่านต้องการอวดหุ่นล้ำสันของตน ก็ถือเป็นกำไรชีวิตข้าที่ได้เห็น”
เซียถงนั่งจ้องอีกฝ่ายชนิดไม่มีเหนียมอายใดๆ ในเมื่อเจ้าตัวอยากเปลือยเรือนร่างให้เห็นปานนั้น นางเองก็น้อมรับแต่โดยดี ไม่มีรังเกียจเลยสักนิด ในยุคปัจจุบัน พวกนายแบบเปลือยถ่ายนู้ด ก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป ซึ่งนางเองก็เห็นผ่านตามานับไม่ถ้วนแล้ว กับแค่ไป๋หลี่หานคนนี้ก็ถือเสียว่า เป็นอาหารตาเล็กๆ น้อยๆ
หลังจากปรับท่านั่งให้ดีแล้ว เซียถงก็รู้สึกสบายเนื้อสบายตัวขึ้นมาก พลางจับจ้องภาพฉากบุรุษเปลือยตรงหน้าที่กำลังจูงม้าอย่างรื่นอารมณ์ มีบุรุษชายรูปร่างดีกำลังเดินท่ามกลงแสงตะวันสีเหลืองมองสาดส่อง ทุกย่างก้าวกริยาช่างสง่าราศีและน่าดึงดูดเสียเหลือเกิน
กระทั่งเปลื้องเสื้อผ้าจนไม่เหลือ อีกฝ่ายก็ยังเผยให้เห็นถึงรัศมีองอาจดั่งราชันย์เหนือราชันย์ได้โดยไม่มัวหมองลงแม้แต่น้อย
เสน่ห์เหลือล้ำ เซียถงนึกถึงคำนี้ขึ้นได้ทันที
ไป๋หลี่หานลอบชำเลืองสายตามองย้อนกลับไปทางเซียถงที่นั่งอยู่บนหลังม้าเป็นครั้งคราว แต่เริ่มเดิมที เขาคาดหวังไว้ว่า หญิงสาวนางนี้จะต้องแสดงท่าทีเขินอายออกมาแน่นอน จนต้องรู้สึกร้อนรนและรีบขอร้องให้เขาใส่เสื้อผ้ากลับเป็นปกติทันที และเมื่อถึงเวลานั้น เขาจะกลับมาเป็นฝ่ายมีอำนาจต่อรองอีกครั้งหนึ่ง
แต่ใครจะไปคิด! ในความเป็นจริงนางกลับมองมาไม่หยุดเลย!