ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 348 รอยยิ้มพราวเสน่ห์ (2)
ตอนที่348 รอยยิ้มพราวเสน่ห์ (2)
ตอนที่348 รอยยิ้มพราวเสน่ห์ (2)
“คุณหนูท่านนี้ ข้ามีเรื่องอยากจะถาม…”
พ้นผ่านชั่วขณะหนึ่ง ก็มีชายหนุ่มรูปงามเดินแทรกฝูงชนคนทั้งหลายออกมาพร้อมอากัปกิริยาแสนสง่าราศี ตรงมาหยุดตรงหน้าเซียถง ตบพัดคลี่ในมือเก็บกลับ ส่งรอยยิ้มหวานมอบให้ ทว่าเพิ่งจะเอ่ยไปได้ครึ่งทาง เขาพลันเผชิญพบกับสายตาคู่นั้นของเซียถงที่ชำเลืองเหลียวมอง ประดุจร่างกายของเขาคนนั้นถูกแช่แข็งในพริบตา เหงื่อเย็นแตกพลั่กไม่สามารถเปล่งเสียงพูดใดๆ ได้อีก
สายตาที่เซียถงเหลือบมองราวกับกำลังจะสื่อว่า ออกไปให้พ้นก่อนชีวิตจะหาไม่! ขณะที่นายน้อยรูปงามคนนั้นกำลังจะหมุนตัวเดินจากออกไป ทันใดนั้นในวิสัยทัศน์เส้นสายตา ก็พานไปเห็นเงาร่างสุดแกร่งกร้าวควบม้าอาชาสีขาวแหวกฝูงชนตรงเข้ามา ใบหน้าถูกหน้ากากสีดำขลับปิดคลุมเอาไว้ ดวงตาทรงโฉบเฉียวลึกล้ำน่าเกรงขาม หางตาโค้งงอนสมบูรณ์แบบ ละเอียดอ่อนดุจธารวารีไหล
เซียถงเหล่มองไป๋หลี่หานที่กำลังควบม้าแหวกฝูงชนตรงเข้ามา
ม้าอาชาขาวทรงบังเหียนสีม่วง สีหน้าเป็นประกายสดใส ผนวกคู่กับชายที่บนหลังของมันแล้ว โดยรวมเป็นภาพฉากที่เคารพสักการะอย่างบอกไม่ถูก ไออุ่นระลอกหนึ่งซาบซ่านสู่หัวใจเย็นชาดวงนี้ของนางหนึ่งส่วน จนบังเกิดเป็นความผันผวนเล็กน้อยภายในจิตใจ
“จ้องข้าทำไม?”
ไป๋หลี่หานกระโดดลงจากหลังม้า และเดินลงมานั่งบนโต๊ะชาฝั่งตรงข้ามกับเซียถง ประกายตาอบอุ่นคู่นั้นภายใต้หน้ากาก ส่องสะท้อนเข้าหานาง
เซียถงรู้สึกใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก เบี่ยงศีรษะหลบเลี่ยงออกไปเล็กน้อยเจือแววตระหนก หลีกหนีสายตาที่จับจ้องเข้าใส่ของอีกฝ่าย แต่เพียงขยับเล็กน้อย ก็ถูกเรียวนิ้วของอีกฝ่ายเข้าเชยคาง โดนบังคับให้หันหน้ามองตรงเท่านั้น ประกายตาภายใต้หน้ากากทอแสงสลัวจางอ่อน เคลื่อนเข้าใกล้นางทีละนิดและทีละนิด จนปัจจุบันใบหน้าทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงปลายจมูก ลมหายใจร้อนรุ่มพ่นใส่ใบหน้าของนาง ให้ความรู้สึกกำกวมบอกไม่ถูก
“เจ้าเริ่มมีใจให้ข้าผู้นี้แล้วกระมัง?”
ขบริมฝีปากซบจิกอ่อนๆ กระตุกยิ้มเชิด หากผู้ใดได้เห็นรอยยิ้มภายใต้หน้ากากขณะนี้ของเขา จะพึงทราบตระหนักทันใด เสมือนสั่งสมรวบรวมความเฉลียวแกมโกงอยู่ในรอยยิ้มนี้ได้โดยสิ้นแล้ว
ว่ากันว่า ภายใต้หน้ากากของชายผู้นี้มีใบหน้าอัปลักษณ์ซุกซ่อนไว้อยู่ แต่ไฉนนางถึงรู้สึกว่า โฉมหน้าที่แท้จริงของหมอนี่กลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เบื้องหลังหน้ากากสีดำขลับใบนี้จักต้องเป็นความหล่อเหลาและทรงเสน่ห์สุดแสน
อย่างไรเสีย ไม่ว่ามันจะหล่อหรือขี้เหร่ ก็หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับนาง
สบสายตาปะทะชนกับอีกฝ่าย แต่ทันใดนั้น ประกายตาเซียถงพลันผันเปลี่ยนเป็นคมกริบดุจเสือดาว แขนเสื้อข้างขวาสั่นไสวเล็กน้อย ก็มีเข็มเงินสามเล่มถ้วนพวยพุ่งออกมา ยิงตรงเข้าใส่บุคคลที่อยู่ตรงหน้าทันที
เรียวนิ้วข้างนั้นที่แตะสัมผัสคางของเซียถงอยู่ จู่ๆ ก็รีบหดหนีเก็บกลับ ชั่วขณะที่คมเข็มสามเล่มลุต่อถึงต่อหน้า ไป๋หลี่หานก็เร่งเบี่ยงศีรษะเลี่ยงหลบโดยไว แขนเสื้อยาวโบกสะบัดกวาดล้างปัดกระเด็นออกไป เสียงเข็มเงินทั้งสามเล่มร่วงระเนระนาดไร้ระเบียบ ตกกระแทกพื้นดังก๋องแก๊งแสบหู พินิจาทิศทางที่คมเข็มเงินเหล่านั้นถูกยิงออกมา ทั้งหมดล้วนเล็งไปที่จุดพิฆาตสำคัญบนร่างกายของเขาทั้งสิ้น และหากปล่อยอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เลย
“คิดจะลอบสังหารข้าผู้นี้?”
ไป๋หลี่หานยกเรียวนิ้วขึ้นเชยคางของเซียถงอีกครา ทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ประกายตาก็ยังคงรักษาความร้อนแรงไม่เสื่อมจาง ในทางตรงกันข้าม หากเมื่อครู่ เขามีปฏิกิริยาตอบสนองช้าลงกว่านี้สักเสี้ยวส่วน เกรงว่าเข็มเงินทั้งสามเล่มคงเจาะทะลวงหลอดลม และเส้นเลือดใหญ่บริเวณคอของเขาจนตายคาที่ไปแล้ว
“ก็เป็นผลสืบเนื่องจากที่เจ้าพล่ามถามไร้สาระ หากอยากตายก่อนเวลาอันควรนัก ก็ลองพูดจาเช่นนี้ออกมาอีกสักที”
แหงนศีรษะสบประสาน เซียถงนั่งจ้องหน้าท้าทายอีกฝ่ายอย่างไม่มีกลัวเกรง หากไป๋หลี่หานยังหาญกล้าทำตัวไร้สาระเฉกเช่นนี้อยู่ นางเองก็พร้อมตอบโต้กลับเช่นกัน
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เสียงหัวเราะเย้าหยอกล้นปลี่จากปากไป๋หลี่หานดังออกมา จับจ้องหญิงสาวตรงหน้าอยู่หนึ่งปราด ทันใดนั้นเขาก็ลุกยืนพรวดพราด พุ่งมือขวาหวังคว้าข้อมือของนางกระชากเข้าหาตัวเอง ทว่าครั้งนี้เซียถงกลับไม่ขัดขืนใดๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายกระตุกแขนดึงร่างของนางเข้ามาสวมกอดอย่างง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้น นางเองก็ยังโอบกอดอีกฝ่ายตอบไว้แน่น
“นี่เจ้าคิดจะทำอะไร?”
ไป๋หลี่หานกดศีรษะก้มมองเซียถงในอ้อมอก แววตาแพร่งพรายประกายคลุมเครือฉงนใจ
สองแขนสวมกอดไป๋หลี่หานกระชับแน่นจนทำเอาเจ้าตัวไม่สามารถขยับมือไม่ได้ชั่วขณะ ถึงจะเป็นภาพฉากที่ดูไม่ค่อยเหมาะสมหนักต่อหน้าสาธารณชนเท่าไหร่ แต่นางก็หาได้สนใจไม่ เซียถงอ้าปากฉีกกว้าง จากนั้นก็กัดไปที่หัวไหล่ขวาของอีกฝ่ายเข้าอย่างแรง
ไป๋หลี่หานถึงกับตัวชาสั่นสะท้าน พยายามจะยกเหยียดมือขึ้นปัดป้องอย่างไรกลับจนปัญญา ทำได้เพียงขบฟันอดทนต่อกระแสความเจ็บปวดที่ดีรับ เอนตัวเข้าใกล้ใบหูนาง กระซิบกล่าวเบาๆ ว่า
“เซียถง ข้ายอมแล้ว อันที่จริงแค่พูดคุยกันดีๆ ก็ได้ ข้าเองก็หาใช่ว่าจะไม่เชื่อฟังเจ้า แล้วไยต้องทำตัวดุร้ายปานนี้?”
เซี่ยถงเพิกเฉยหาได้สนใจฟังใดๆ ออกแรงเค้นเพิ่มและกัดต่อไป รอยฟันฝังลึกลงไปเรื่อยๆ อยู่ในผิวหนังอีกฝ่าย ไป๋หลี่หานพยายามออกแรงสะบัดเหวี่ยงออก ในส่วนเซียถงพยายามใช้สองแขนสวมกอดติดหนึบไม่มีปล่อย ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกันและกันเลยสักนิด
บรรดาฝูงชนโดยรอบต่างเฝ้ามองภาพฉากเบื้องหน้า อ้าปากค้างตาเบิกกว้าง ไม่นานก็เริ่มมีบุรุษชายบางคนปรารถนาจะก้าวขึ้นหน้าออกโรงหวังห้ามปรามศึก แต่เมื่อเจอเข้ากับสายตาลึกล้ำสีทมิฬมืดของไป๋หลี่หานที่สาดใส่ เสมือนมีขุมพลังแกร่งกล้าซัดโถมออกมา แทนที่บุรุษชายพวกนั้นจะเข้าไปช่วย กลับต้องสืบฝีเท้าถอยหนีออกห่างไปกว่าเดิม
ชั่วขณะใหญ่ ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่มย่ามกับเหตุการณ์ตรงหน้า ในทางตรงกันข้าม พวกเขากลับตีระยะห่างถอยหนีออกไปไกลกว่าเดิม เนื่องด้วยกลัวโดนลูกหลงถูกฆ่าตายไม่รู้ตัว
เซียถงใช้สองมือสองเท้ากระโดดโอบกอดร่างของไป๋หลี่หานเอาไว้แน่น เหล่าบุรุษชายเหล่านั้นฉายแววประหลาดใจมิใช่น้อย อิสตรีรูปงามที่แสนเย็นชาปานนั้น กลับกระทำเรื่องเช่นนี้โดยไม่สนภาพลักษณ์ต่อหน้าชายอื่น แค่ได้เห็นก็เข้าใจได้ทันทีว่า ความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงคู่นี้ใกล้ชิดสนิทสนมกันเพียงใด และนี่ก็ทำให้ใครหลายๆ คนแอบถอดใจกับนางโดยทันที
น่ากลัวทั้งฝ่ายหญิงฝ่ายชาย แล้วใครจะกล้าเข้าไปยุ่ง!
กลิ่นเลือดสดประหนึ่งเหล็กหวานเริ่มคลุกฟุ้งในปากรุนแรงยิ่งขึ้นต่อเนื่อง หากปล่อยให้นางกัดต่อไปเช่นนี้มีหวังได้ฝังรอยฟันลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อแน่นอน ซึ่งเขาเองก็ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงขมวดคิ้วถักหนา ก้มหน้าหันมองไปที่เซียถง ส่งสายตาดุดันใส่ คำรามเสียงดังว่า
“ปล่อย!”
เพียงสิ้นเสียงเท่านั้น เซียถงก็คลายมือคลายเท้าออกจากร่างของเขาทันที มองดูอีกฝ่ายแสดงสีหน้าเกลียดชังที่มีต่อนาง พลางยิ้มปริ่มมีความสุขเหลือเกิน ทว่าแค่นี้ยังไม่จบ ทุกอย่างยังเพิ่มจะเริ่มต้นเท่านั้นสำหรับเส้นทางแก้แค้นของนางในเวลานี้
เซียถงแสยะยิ้มกว้างสดใสมอบให้แก่ไป๋หลี่หานเบื้องหน้า พลางยกนิ้วขึ้นปาดเช็ดคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนริมฝีปากเบาๆ และหันศีรษะเข้าหาฝูงชน ตะโกนเสียงดังว่า
“ข้ามีชื่อว่าเซียถง เป็นบุตรสาวเสนาบดีแห่งจักรวรรดิตงหลี่ และท่านพ่อของข้า เซี่ยอี้เฉิง ต้องการให้บุตรสาวคนนี้แต่งงานออกเรือน โดยมีเงื่อนไขข้อแม้อยู่หนึ่งประการ!”