ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 349 พวกอันธพาล (1)
ตอนที่349 พวกอันธพาล (1)
ตอนที่349 พวกอันธพาล (1)
หนึ่งเสียงคำกล่าวของเซียถงเปล่งดังออกมา ประกายตาของไป๋หลี่หานก็พลันผันเปลี่ยนแปลกไป ยิ่งทอดสายตาเฝ้าจับจ้องนางอย่างลึกซึ้งละเอียดลออ ใจหนึ่งก็พลันรู้สึกสงสัยกังขาไม่น้อย นี่นางกำลังยั่วโมโหตนอยู่รึอย่างไร?
สิ้นเสียงประโยค ท่ามกลางฝูงชนทั้งหลายหลากระเบิดคลั่งความโกลาหลขึ้นฮือฮา เมื่อเซียถให้สัญญาณเปิดใจพูดคุยถึงเรื่องแต่งงานออกเรือน ชายหนุ่มโดยรอบต่างใจสั่นโครมตื่นเต้น บางคนใจร้อนหน่อยโหร้องลั่นออกมาเกินทนไหว เอ่ยทักทามขึ้นทันทีว่า
“คุณหนูเซีย เงื่อนไขที่ว่าคือสิ่งใดรึ?”
“ถูกต้องแล้วคุณหนูเซีย โปรดชี้แจงแถลงไขสำหรับเกณฑ์เงื่อนไขคัดเลือกคู่ครองของตัวท่าน ข้าเป็นนายน้อยจากตระกูลหวางกวน มีทรัพย์สินให้ท่านเสพสุขชั่วนิรันดร์!”
“คุณหนูเซีย ตระกูลข้าเป็นผู้มีอิทธิพลจากซีหาน”
“ท่านพ่อของข้าเป็นถึงอัครมหาเสนาบดีแห่งจักรวรรดิหน่านเฟิง เรืองอำนาจเงินทองไม่จำต้องพูดถึง หากแต่งงานกับข้า คุณหนูเซียจะมีแค่ความสุขเพลิดเพลินกับความรุ่งโรจน์ชัชวาลตราบชั่วชีวิต ไม่มีวันคืนต้องตกอับอีกตลอดไป”
เหล่าชายหนุ่มนับหลายสิบต่างกรูเข้าหาเซียถง พูดจบทับทมกันไปกันมา อวดอ้างภูมิหลังของแต่ละคนดังสนั่นแซ่ซ้อง
เซียถงกระโดดก้าวหัวกลุ่มชายเหล่านั้นที่ทะลักถาโถมเข้าหา แพรพรรณสีขาวบริสุทธิ์ถลาลอยลมพลิ้ว ร่อนตัวลงบนหลังม้าอาชาขาวที่ผูกติดไว้กับต้นไม้ริมทาง คว้าเชือกคุมบังเหียนม้าสั่งให้ตีฝีเท้าวิ่งออกไป ปล่อยให้ทุกคนวิ่งไล่ติดตามหลังม้ากันอย่างบ้าคลั่ง
ไป๋หลี่หานเองก็บังคับม้าให้วิ่งติดตามนางเช่นกัน ทว่าเซียถงยกเท้าสะกิดท้องม้าอยู่หลายทีเพื่อเร่งความเร็วตีห่าง พร้อมตะโกนทิ้งท้ายเพียงว่า
“เงื่อนไขหนึ่งประการช่างง่ายดาย ผู้ใดก็ตามที่สามารถหยุดมิให้ชายสวมหน้ากากดำคนนั้นมิให้ตามตื๋อข้าได้ คนๆ นั้นจะถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษ และโอกาสได้แต่งงานกับข้าก็จะสูงตามไปด้วย!”
“หยุดเขาเร็ว! รีบหยุดเขาเร็วเข้า! คุณหนูเซียบอกให้พวกเราต้องหยุดเขามิให้ตามตื๋อนาง!”
หวาดเมล็ดความบาดหมางได้สำเร็จเสร็จสรรพ ชายหนุ่มทั้งหลายรีบชักอาวุธขึ้นมือโดยพร้อมเพรียง อาศัยวาจาประโยคหนึ่งของเซียถง ทุกคนต่างพร้อมใจวิ่งเข้ามาขัดขวางเส้นทางมิให้ไป๋หลี่หานไล่ติดตามนางไปต่อได้ รอบทิศแออัดดั่งเกลียวคลื่นลูกใหญ่ปิดล้อมสารทิศ เหล่าชายผู้รุ่มหลงในความงาม ต่างหลงลืมความน่าสะพรึงกลัวที่ไป๋หลี่หานเผยแสดงออกมาไปชั่วขณะ
ไป๋หลี่หานเฝ้ามองเงาอรชรหายวับไป ณ มุมถนนคนเดินสายตรงหน้า กระตุกยิ้มริมฝีปากเล็กน้อย แต่อย่างไร นี่กลับมิใช่เรื่องง่ายนักที่จะกำจัดเขาทิ้งได้ กวาดสายตาแลมองฝูงชนที่ถาโถมแออัดรอบสารทิศ เขาหันศีรษะม้าไปยังทิศทางตรงข้ามกับเซียถง และระเบิดแรงกดดันผลักไสธารฝูงชนให้กระเด็นกระดอนเปิดออกเป็นเส้นทาง จากนั้นก็ควบฝีเท้าอาชาวิ่งออกไปโดยตรง หายตัวออกจากเมืองอู่ถงไปอย่างรวดเร็ว จนกลุ่มชายเหล่านั้นตามกันไม่ทัน บางคนก็ถึงกับสลบมอดตั้งแต่ถูกแรงกดดันอันทรงพลังของไป๋หลี่หานอัดกระแทกใส่แล้ว
เพื่อหลบเลี่ยงมิให้พบเจอกับไป๋หลี่หาน เซียถงจึงเปลี่ยนเส้นทางอื่นเพื่อกลับจักรวรรดิตงหลี่ วันถัดมา นางมาถึงเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่เป็นเขตชายแดนระหว่างจักรวรรดิซีฉินและตงหลี่ นางชะลอฝีเท้าอาชาคุมความเร็วให้คงที่ เดินเตร่อยู่ภายในเมืองอย่างแช่มช้าไม่รีบร้อน
เมืองเล็กแห่งนี้ ทั้งดูเสื่อมโทรมและห่างไกลจากความเจริญกว่าเมืองอู่ถงมาก เส้นถนนคนเดิมเต็มไปด้วยฝุ่นสีแดง แผงขายของมีจำนวนเพียงหยิบมือ กระจัดกระจายไม่เป็นที่เป็นทาง
คล้อยหลังเดินเตร่ตามเส้นทางถนนคนเดินในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ได้สักครู่ นางก็ชักรู้สึกหิวขึ้นมา พาม้าไปผูกติดไว้กับต้นไม้ด้านหนึ่งและเดินตรงเข้าโรงเตี้ยมใกล้เคียง พอเข้ามาถึงภายในนี้ก็สั่งเครื่องเคียงมาสองสามจาน และข้าวสวยร้อนๆ สักชาม จากก็เริ่มรับประทาน
ภายในโรงเตี้ยมแห่งนี้มีคนไม่ค่อยเยอะนัก นั่งดื่มด่ำบรรยายกาศร้านได้สบายอารมณ์
ขณะที่เซียถงกำลังมุ่งความสนใจอยู่กับจานอาหารตรงหน้า ทันใดนั้นก็มีชายร่างกำยำใหญ่ยักษ์สามสี่คนเดินเข้ามาในร้าน พร้อมกับลากหญิงสาวอายุประมาณสิบแปดถึงสิบเก้าปีตรงเข้ามา ชายร่างกำยำใหญ่โตมีสีหน้าท่าทางดุร้ายและปราศจากมารยาทเกรงอกเกรงใจใดๆ เพียงมองปราดเดียวก็พึงทราบ คนเหล่านี้คือพวกอันธพาล ส่วนหญิงสาวที่ชายสองคนนั้นลากมาด้วยมีโฉมหน้างดงาม ทว่าดวงตากลับปูดบวมแดงก่ำ ใบหน้าเต็มไปด้วยแผลฟกช้ำ น้ำตาเอิบซึม นั่งห่อไหล่กอดเข่าอยู่บนพื้น เนื้อตัวสั่นเทิ่มไม่หยุดด้วยความหวาดกลัว
หลังจากชายสามคนนั้นนั่งลง พวกเขาก็กลายมาเป็นจุดสนใจจากผู้คนรอบข้างทันใด สายตาของผู้คนโดยส่วนใหญ่มองมาทางหญิงสาวผู้น่าสงสารคนนั้น แอบคาดเดากับตัวเองภายในใจว่า เกิดอะไรกับหญิงสาวนางนี้? ไฉนถึงโดนกลุ่มชายเถื่อนรังแกประดุจทาสเช่นนี้
ชายกำยำที่ดูโตใหญ่สุด ยกมือเรียกเสี่ยวเอ๋อให้มาจดอาหารโดยไว ควักเหรียญทองจำนวนสองสามเหรียญออกมา นำมายัดใส่มือเสี่ยวเอ๋อโดยตรง กล่าวเสียงดังว่า
“เสี่ยวเอ๋อ! ไปนำอาหารและสุราที่ดีที่สุดของทางร้านมา! นี่คือเงินจำนวนสามเหรียญทอง!”
สุ้มเสียงของชายกำยำร่างใหญ่โตค่อนข้างดัง ยิ่งดึงดูดสายตาของผู้คนโดยรอบให้มาสนใจมากขึ้นไปเอง เมื่อเห็นว่ากำลังมีผู้คนรอบตัวมองมาทที่ตน เขาก็เดาะเหรียญทองภายในมือเล่นไปมาอย่างภาคภูมิใจ สายตาคมเข้มดุร้ายกวาดมองไปทั่วบริเวณ จนไปหยุดลงที่โต๊ะริมด้านหนึ่ง แลเห็นเซียถงที่เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตากินอาหารตรงหน้า ไม่มีแม้แต่จะเหลียวมองหรือสนใจเขาเลยสักนิด ราวกับนางมิได้ถึงรับรู้สิ่งใดๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวสักอย่าง
“เข้าใจแล้วนายท่าน ข้าจะรีบยกอาหารและสุราที่ดีที่สุดมาให้ทันที!”
เสี่ยวเอ๋อผงกศีรษะกล่าวตอบอย่างร้อนรน เหลือบสายตาลอบมองเหรียญทองในมือก็ยิ้มปริ่มดีใจ และรีบวิ่งเข้าไปยังครัวโดยไว
“พี่ใหญ่ ตาเฒ่านั่นยืมเงินจากพวกเราไปตั้งเยอะ แต่กลับเพียงทิ้งลูกสาวของมันให้เราแทนเพื่อชดใช้หนี้ นี่มันชักจะเกินไปจริงๆ!”
“หนึ่งร้อยเหรียญทองเชียวนะพี่ใหญ่! กับนังนี่คนเดียวจะไปคุ้มค่าอะไร!”
“แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ? พ่อนางก็ตายไปแล้ว จะให้ตามเก็บหนี้สินจากคนตายก็ทำไม่ได้ ก็ทำได้แค่ใช้นางมาจ่ายแทนเงินที่ติดเอาไว้
ชายร่างกำยำใหญ่โตที่สุดคนนั้นที่เดาะเหรียญทองในมือเล่นเมื่อครู่ ค่อยๆ เคลื่อนสายตาลงไปมองหญิงสาวใบหน้าชอกช้ำที่นั่นกอดเข่าอยู่บนพื้น ทันทีทันใด มันก็เอื้อมฝ่ามืออันหนาเตอะกระชากผมนางขึ้นมา หัวเราะคิกคัก สายตามากกามอารมณ์กล่าวว่า
“ก็ถือว่าไม่เลว เอานังนี่มาผลัดกันใช้จนกว่าจะเบื่อ แล้วค่อยขายให้หอนางโลมไป มีหญิงรูปงามอยู่ในมือทั้งทีต้องใช้ให้คุ้มสิ!”