ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 351 พวกอันธพาล (3)
ตอนที่351 พวกอันธพาล (3)
ตอนที่351 พวกอันธพาล (3)
แบมือเหยียดเรียวนิ้วทั้งห้าตรงหน้ารอเอาไว้ ก็มีชามข้าวสีขาวร่วงล่นกลางอากาศ ลงจอดบนฝ่ามือของนางพอดิบพอดี วางเก้าอี้ที่เปียกชุ่มไปด้วยเลือดและเศษเนื้อวางไว้ตำแหน่งเดิม และนั่งรับประทานอาหารต่ออย่างใจเย็น สักครู่หนึ่งก็เหลือบมองไปทางชายร่างกำยำคนโตที่เป็นลูกพี่ใหญ่ ยามนี้มันยังไม่ตาย นอนร้องโอดครวญทั้งน้ำตา สภาพไม่ค่อยสู้ดีนักแล้ว นางก่นเสียงเย็นชืดเอ่ยว่า
“ข้าจะนับถึงสาม หากยังไม่รีบออก…”
ก่อนที่จะกล่าวจบประโยคเสียด้วยซ้ำ ชายร่างกำยำลูกพี่ใหญ่คนนั้นก็รีบลากสังขารออกไปทางประตูโดยไว ในเวลานี้ ไม่ว่าเซียถงจะทำอะไร มันก็กลัวจนหัวหดหมดแล้ว
“เดี๋ยวก่อน!”
แผดเสียงคำรามมากโทสะกึกก้อง เพียงเซียถงชำเลืองปราดมองเข้าใส่ ชายร่างกำยำลูกพี่ใหญ่ก็กลัวจนตัวสั่น ขณะที่กำลังจะสับตีแตกวิ่งหนีออกไป พลันชะงักหยุดตัวแข็งทื่อในบัดดล มันค่อยๆ เหลียวศีรษะหันมองเซียถงด้วยความสั่นเทาสุดขีด กล่าวทั้งน้ำตาว่า
“ทะ-ทะ-ท่านหญิง…มีอะไรให้รับใช่รึขอรับ?”
“ไปแต่ตัวเงินทองไม่ต้องเอาไป ถือซะเป็นค่าเสียหายที่ทำให้ทรัพย์สินในโรงเตี้ยมพัง”
เซียถงชำเลืองมองกองซากมนุษย์ที่เกลื่อนกลาดบนพื้น มีชายร่างใหญ่คนหนึ่งถูกตีจนกะโหลกศีรษะเปิด เห็นเนื้อสมองรอยยักเต้นตุบๆ ไม่รู้เลยว่าชั่วอึดใจสุดท้าย มันต้องตายทรมานปานใด พอเห็นภาพชัดติดตาปานนี้ ชายร่างกำยำลูกพี่ใหญ่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากเถียงใดๆ แม้สักคำเดียว รีบควักเหรียญทองทั้งหมดที่มีอยู่ติดตัว โยนให้เสี่ยวเอ๋อที่อยู่ใกล้ๆ ไม่สนความเป็นตายใดๆ ของลูกน้องอีกต่อไป มันรีบเผ่นหนีสุดชีวิตออกไป
“ขอบพระคุณนายหญิงที่ช่วยเหลือ! ขอบพระคุณนายหญิงที่ช่วยเหลือ!!”
หญิงสาวนางนั้นรีบคุกเข่ากระแทกศีรษะโขกพื้นคำนับให้แก่เซียถง
“ไม่เป็นไร เจ้าไปเถอะ”
เซียถงพยักหน้ารับคำเบาๆ และกล่าวกับหญิงสาวนางนั้น
“นายหญิงช่วยเหลือชีวิตผู้ต่ำต้อยเอาไว้ ข้า ผู้ต่ำต้อยคนนี้ยินดีเป็นทาสรับใช้ของท่านไปชั่วชีวิต! ได้โปรดอย่าไล่ข้าไปเลย!”
หญิงสาวนางนั้นจับจ้องเซียถงเขม็ง ส่งสายตาอ้อนวอนขอความเมตตา
เซียถงมองหน้าอีกฝ่ายอยู่สักครู่ ก่อนจะส่ายหน้าอานสองสามครา กล่าวเสียงเข้มว่า
“ข้าไม่ใช่คนจากซีฉิน มีบ้านเกิดอยู่ตงหลี่ และตอนนี้ก็กำลังเดินทางกลับจักรวรรดิตงหลี่ รู้เช่นนี้แล้วยังจะติดตามข้าอีกหรือไม่?”
“เจ้าค่ะนายหญิง! บ่าวจะติดตามท่านไปตงหลี่!”
สรรพนามเรียกชื่อแปรเปลี่ยน หญิงสาวกล่าวตอบรับยินยอมทันทีราวกับตนเป็นข้ารับใช้ของเซียถงไปแล้ว
“ยังคิดจะติดตามข้าอยู่อีกรึ? แล้วครอบครัวเจ้าล่ะอยู่ไหน? คิดจะไปตงหลี่กับข้าโดยทิ้งครอบครัวไว้ข้างหลังได้เยี่ยงไร?”
เซียถงขมวดคิ้วสบตามองอีกฝ่าย
เมื่อได้ยินดังนั้น ดวงตาของหญิงสาวก็แดงก่ำขึ้นทันควัน นางค่อยๆ ข่มเปลือกตาปิดลง เอ่ยเสียงสั่นเครือราวกับพยายามข่มกลั้นมิให้ร้องไห้ กล่าวว่า
“ข้าอาศัยอยู่กับท่านพ่อ มีกันแค่สองคนตั้งแต่ยังเด็ก ท่านพ่อเป็นคนติดพนันมาก หลังจากขอกู้เงินก้อนสุดท้ายนับร้อยเหรียญทองมาเล่นและเสียไป ท่านก็ตัดสินใจกระโดดแม่น้ำฆ่าตัวตาย ตอนนี้ข้าไม่เหลือใครในครอบครัวอีกต่อไปแล้ว อยู่ที่นี่ก็ไม่ต่างจากตาย เช่นนั้นโปรดเมตตาเถิดนายหญิง พาข้าไปด้วยเถิด ข้ายอมทำงานหนักทุกอย่างดั่งวัวควาย หรือเป็นม้าให้ท่านขี่ก็ยังได้!”
กล่าวมาถึงท้ายประโยคหลัง นางยกแขนเสื้อปาดเช็ดน้ำตา ร้องสะอึกสะอื้นอยู่นาน
เซียถงปิดปากเงียบไม่กล่าวอันใดทั้งสิ้น ได้แต่มองหน้าอีกฝ่ายคล้ายกำลังครุ่นคิด
แลเห็นร่องรอยความลังเลที่ก่อเกิดขึ้นในใจของเซียถง หญิงสาวนางนั้นรีบโขกศีรษะกระแทกพื้นแรงขึ้นและแรงขึ้น สองมือกอดเท้าเซียถงเอาไว้แน่น กล่าวอ้อนวอนน้ำเสียงเศร้าโศกสุดพรรณนา
“นายหญิง ท่านเพิ่งสังหารคนของเจ้าหนี้ท่านพ่อข้าไป มันจะต้องเรียกพวกกลับมาแก้แค้นแน่นอน! หากไม่รับบ่าวไปเสียแต่ตอนนี้ พวกมันจะต้องกลับมาฆ่าบ่าวแน่นอน! โปรดสงสารบ่าวคนนี้เถิดท่าน! ให้บ่าวได้มีโอกาสติดตามรับใช้ท่านเถิด! บ่าวทำได้ทุกอย่างเลย!”
คนรอบข้างต่างเห็นว่า หญิงสาวนางนี้ทุ่มสุดกำลังทำทุกอย่างแล้วจริงๆ เพื่อให้เซียถงตัดสินใจรับนางไป เหล่าคนพวกนั้นที่มีจิตใจอ่อนไหวง่ายกว่าปกติ ก็เริ่มน้ำตาซึมร้องไห้ตามไปแล้ว
เซียถงกวาดสายตามองหญิงสาวนางนั้นตั้งแต่หัวจรดเท้า สักครู่หนึ่งค่อยเอ่ยถามขึ้นว่า
“เจ้าชื่ออะไร?”
“ข้านามว่าปี่เหลียน”
หญิงสาวนางนั้นแหงนศีรษะเงยมองเซียถง สีหน้าแววตาดูน่าสงสารเป็นอย่างมาก
“ก็ได้ เช่นนั้นก็มากับข้า”
เซียถงถอนสายตาออกมา ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ตัวนั้นและเดินออกไปทางประตูโรงเตี้ยมท่ามกลางสายตาของทุกคน
“ขอบพระคุณนายหญิง!”
ปี่เหลียนยิ้มแย้มเปี่ยมสุขใจ เฝ้ามองแผ่นหลังของเซียถงที่เคลื่อนออกไป ทันใดนั้นก็มีประกายแสงแปลกๆ ส่องสว่างจากในตาของนาง ก่อนจะหายวับไปในอีกชั่วอึดใจ
เมื่อทั้งสองตรงออกมา เซียถงก็กระโดดขึ้นหลังม้า ดึงบังเหียนควบคุมเตรียมควบวิ่ง พลางหันมาเอ่ยถามปี่เหลียนว่า
“เจ้าพอทราบหรือไม่ว่า มีโรงเตี้ยมที่ดีกว่านี้อีกหรือไม่? ข้าต้องการหาที่ดีๆ พักผ่อน”
“แน่นอนเจ้าค่ะ! บ่าวคุ้นเคยกับเมืองแห่งนี้พอสมควร เดี๋ยวจะรีบนำทางไปที่นั่นเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ”
ปี่เหลียนแบมือรับเชืออกบังเหียนไว้จูงม้าจากมือเซียถง จากนั้นก็นำทางไปยังปลายสุดของถนนคนเดินสายหนึ่ง
โรงเตี้ยที่ปี่เปลียนพามาค่อนข้างดูดีตกแต่งสวยงาม หลังจากเปิดห้องเข้าพักแล้ว นางก็รีบนำผ้าสะอาดผืนหนึ่งมาบิดน้ำอย่างขยันขันแข็ง เตรียมถังไม้ใบหนึ่ง รอรับเสื้อแพรพรรณสกปรกของเซียถงมาซักตากให้
“ข้าทำเองได้ เจ้าออกไปซื้ออาหารให้ม้าเถอะ”
เซียถงหยุดอีกฝ่ายเอาไว้ และเข้าทำเองทั้งหมด ที่ผ่านมา เจ้าตัวไม่เคยได้รับการดูแลเอาใจใส่ขนาดนี้มาก่อน เช่นนั้นแล้วจึงรู้สึกไม่ชินเท่าไหร่นัก ปี่เหลียนพยักหน้าตอบและรีบออกไปทันที
เหม่อมองปี่เหลียนที่เดินทางจากไป มุมปากเซียถงกระตุกยิ้มขึ้นเล็กน้อย โดยไม่สนใจอันใดอีก นางหันกลับมาเอนกายนอนลงบนเตียงอย่างสบายใจ หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีเสียงฝีเท้าวิ่งกลับมาจากด้านนอกประตูห้องนอน อีกสักครู่ ค่อยได้กลิ่นหอมจางๆ โฉยอ่อนเข้ามา
กลิ่นเครื่องหอมยาสลบ!
เซียถงหรี่ตาลืมขึ้นมาหนึ่งส่วน มุมปากกระตุกยิ้มเย้ยเยาะน่าขัน อาศัยแผนการเช่นนี้มิอาจซื้อใจนางให้รู้สึกสงสารเมตตาได้อยู่แล้ว ปี่เหลียนนางนี้มีความคิดตื้นเขินเกินไป หลังจากยิ้มเยาะกับตัวเองอยู่สักครู่ นางก็แสร้งทำเป็นหลับตาลงอีกครั้ง ลอบกลั้นหายใจโดยใช้ผ้าห่มมาปิดคลุมช่วย
ผ่านไปสักครู่ เสียงบานประตูถูกเปิดพร้อมเสียงเลื่อนดังเอี๊ยดเบาๆ ปี่เหลียนปรากฏตัวขึ้นมาภายในห้อง มาคู่กับผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งที่กำลังใช้ปิดจมูกตนเองเอาไว้ จากนั้นก็คลายเนิบนาบขึ้นมาบนเตียง ยกเหยียดมือผลักร่างของเซียถงอย่างระมัดระวัง เอ่ยเสียงเรียกดังว่า
“นายหญิง? นายหญิง?”
คล้อยหลังเขย่าตัวเรียกอยู่สองสามครา สังเกตเห็นว่าเซียถงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแล้ว จึงเริ่มก้มตัวเอนหน้าเข้าจับจ้อง เมื่อเห็นว่าเปลือกตาสองข้างของเซียถงปิดแนบสนิทดูราวกับว่าหมดสติไปแล้ว ยามนั้นปี่เหลียนก็เบะปากคว่ำอย่างไม่ค่อยพอใจนัก กล่าวสบประมาทเย้ยหยั่นขึ้นว่า
“นายน้อยหลินอุตส่าห์เตือนว่า เจ้าแข็งแกร่งนักแข็งแกร่งหนา ที่แท้กลับเป็นพวกใจอ่อน เสียรู้คนง่ายปานนี้เชียว? หึ! ไม่ได้กินข้าหรอก!”
ปี่เหลียนแบกร่างของเซียถงที่สลบไสลแบกขึ้นไว้บนบ่า จากนั้นก็มุ่งหน้าออกจากโรงเตี้ยมไปผ่านหน้าต่างด้านหลัง ซึ่งบริเวณนั้นมีรถม้าจอดรอไว้อยู่แล้ว หลังจากแบกเซียถงเข้าไปโดยสารภายในรถม้าเสร็จสรรพ ก็รีบออกควบม้าเดินทางเมืองไป
รถม้าแล่นออกไปได้สักพัก ก็มีเงาร่างทั้งสองปรากฏขึ้นจากบนหลังคาโรงเตี้ยมแห่งนั้น โม่ซวนเหม่อมองรถม้าคนนั้นที่มุ่งออกไปไกลแล้ว เอ่ยถามขึ้นคำหนึ่งสีหน้าดูเป็นห่วงไม่น้อยว่า
“นายท่าน คุณหนูเซียหมดสติไปแล้ว พวกเราไม่รีบไปช่วยรึ?”
“หุหุ โม่ซวนเอ๋ยอย่าได้ร้อนใจ ลงไปนำม้าควบติดตามไปกันดีกว่า หลังจากนี้คงได้รับชมละครฉากสนุกฉากหนึ่ง”
ไป๋หลี่หานยิ้มมุมปาก กล่าวขึ้นด้วยทีท่าสบายๆ ไม่เป็นเดือดเป็นร้อนใดๆ
“นายท่าน ไม่เป็นห่วงหน่อยรึ?”
โม่ซวนเอ่ยถามสวนกลับไป สีหน้าการแสดงออกดูไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก จะอย่างไรคุณหนูเซียมิได้แข็งแกร่งเท่านายท่านของเขา เช่นนั้นก็ไม่ควรประมาทปล่อยไป ยิ่งเห็นว่านางตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้ด้วยแล้ว
“หากเลือกใช้วิธีธรรมดาทั่วไป คงไม่ใช่นาง”
ทิ้งทวนหนึ่งประโยคให้โม่ซวนฉงนใจอยู่แบบนั้น รอยยิ้มมุมปากของไป๋หลี่หานค่อยๆ เผยแสดงชัดเจนยิ่งขึ้น
“มันก็จริงอยู่ท่าน คุณหนูเซียทั้งฉลาดไหวพริบดี แต่ในเวลานี้กลับไม่ได้สติไปแล้ว!”
โม่ซวนกล่าวตอบ แววความตื่นตระหนกยิ่งขยับขยายกว้าง
“นำม้าของนางไปด้วย เผื่อทุกอย่างจบแล้ว นางจะได้ไม่ต้องวกกลับมาเอาม้าที่นี่”
โม่ซวนทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้ารับคำสั่ง
ปี่เหลียนบังคับรถม้าออกมายังป่านอกเมือง ณ ริมป่าลึก นางหยุดรถม้าจอดทันทีและแบกร่งาของเซียถงออกมา พาเข้ามายังค่ายหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางป่าเขา พร้อมกับผู้คนจำนวนหลายสิบที่ยืนเฝ้ารออยู่นานแล้ว แต่จะมีคนหนึ่งที่อยู่ด้านหน้าสุด ท่าทางการแสดงออกดูหยิ่งผยองกว่าใครๆ ทั้งยังมีกระบี่เล่มหนึ่งคาดอยู่ที่ข้างเอว และเขาก็มิใช่ใครอื่นนอกเสียจาก หลินเยวี่ยน น้องชายของหลินเฟยที่ไม่ได้เห็นหน้ามาแสนนาน!