ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 36 ฟันต่อฟัน
ตอนที่36 ฟันต่อฟัน
เซี่ยถงกดสายตาจับจ้องไปยังขวดยาในมือ ก่อนแหงนหน้ามองหลัวซีอีกครา ตัดสินใจโยนขวดดังกล่าวคืนกลับไป
“ไม่เป็นไร ข้าเองก็มียารักษาอยู่แล้ว”
“หื้ม? แต่ข้ามั่นใจว่าของข้าดีกว่า”
หลัวซีตวัดมือรับขวดยาของตนกลับคืน สีหน้าการแสดงออกเผยแววงุนงงไม่เข้าใจ ทั้งคงร่องรอยความสงสัยยเจือผสมอยู่หลายส่วน ทุกครั้งที่เขามอบสิ่งใดแก่หญิงสาว นางเหล่านั้นล้วนมีแต่ความสุข คนที่ปฏิเสธโยนของคืนกลับมา เกรงว่าจะมีเซียถงคนแรกนี่แหละ
“ของดีก็จริง แต่ข้ามิชอบเป็นหนี้บุญคุณใคร”
เซียถงขานตอบเสียงเรียบนิ่ง และหมุนตัวเดินจากไป
ไม่ใช่ว่านางหยิ่งยโสหรืออวดดีที่ปฏิเสธ แต่การติดหนี้บุญคุณกัน มันไม่ใช่เรื่องเล็กเลยสักนิด ในวงการนักฆ่า การช่วยเหลือประเภทดังกล่าวจะถูกเรียกกันว่า สัญญาเลือด หากคุณช่วยฉัน สักวันฉันก็ต้องช่วยคุณกลับโดยห้ามปฏิเสธเด็ดขาด และหากฝ่าฝืนจะถูกลงโทษสถานหนักจากสภาสูง ดังนั้นแล้ว เซียถงจึงค่อนข้างจริงจังมากกับเรื่องติดหนี้บุญคุณใครสักคน
ตราบเท่าที่ไม่จวนตัวจริงๆ นางจะไม่มีวันไปติดหนี้บุญคุณใครเด็ดขาด
หลัวซีเหม่อมองแผ่นหลังของนางพลางส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ ประกายตาฉายแวเศร้าสร้อยผสมปนเปอยู่เล็กน้อย ทั้งทัศนคติและเจตจำนงของนางช่างน่าชมเชยอย่างแท้จริง นี่ยังไม่รวมไปถึงผิวพรรณที่ขาวผ่องดุจหิมะ เรือนร่างโฉมสะคราญงดงาม แต่น่าเสียดายนักที่ใบหน้า…
ณ โรงเตี๊ยมไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงนั้น ไป๋หลี่หานเคลื่อนสายตาจับจ้องไปทางเซียถง ดวงตาคู่เข้มขลับประกายพราวแสงสาดระยิบ ทอดสายตาจนกระทั่งร่างของเซียถงลับสายตาหายไปในท้องถนนคนเดิน ก่อนจะค่อยๆ หันศีรษะกลับมาทางโม่ซวนที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกัน กล่าวว่า
“เจ้าคิดว่า ที่นางระเบิดพลังออกมาในคราวนี้คือทั้งหมดแล้วรึยัง?”
ตอนที่เซียถงเข้าปะทะกับไป๋หลี่หานครั้งล่าสุด เขาก็พอจะคาดเดาเว่า ระดับพลังลมปราณของนางต้องไม่ต่ำกว่าขอบเขตเสาหลักเขียวชั้นสูงเป็นอย่างน้อย ดังนั้นจึงไม่ค่อยรู้สึกแปลกใจเท่าไหร่ ที่จะเห็นเซียถงสำแดงพลังระดับขอบเขตเสาหลักฟ้าออกมาสักเท่าไหร่
โม่ซวนครุ่นพินิจอยู่สักครู่ ก่อนส่ายหัวกล่าวว่า
“ข้าน้อยไม่แน่ใจเลย แต่บางที…นี่คงไม่ใช่ทั้งหมดกระมัง?”
“ต่อหน้าต่อตาผู้คนจำนวนมากปานนี้ การที่นางยังกล้าต้องการจะสังหารองค์รัชทายาทให้ได้เช่นนี้ แสดงว่านางจะต้องมั่นใจในความแข็งแกร่งตัวเองยิ่งยวด บางที…ระดับพลังบมปราณอาจเหนือชั้นกว่าพวกเราก็เป็นได้”
ไป๋หลี่หานยกจอกสุราขึ้นซดในรวดเดียว ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กล่าวว่า
“ไม่ หากเหนือกว่าพวกเราจริง เมื่อคืนนางคงสลัดมือข้าหยุดได้ไม่ยาก ถึงขนาดใจกล้า เตะผ่าหมากข้าผู้นี้กันได้โดยไม่รู้สึกอะไร บนผืนพิภพแห่งนี้ยังมีสิ่งใดที่นางต้องกลัวเกรง?”
เมื่อนึกถึงภาพฉากที่เกิดขึ้นเมื่อคืน จวบจนตอนนี้เขาเองก็ยังรู้สึกขบขันไม่หาย
“อย่างไรเสีย นางถึงขั้นทำร้ายองค์รัชทายาทปางตายเช่นนี้ ฝ่าบาทจะออกโรงเคลื่อนไหวอันใดหรือไม่?”
โม่ซวนขมวดคิ้วแน่นดูกังวล เขาเอ่ยถามขึ้น
“ก็นางล่อให้อีกฝ่ายกล่าวเองแล้วมิใช่รึ? ที่ว่าหลังจากนี้จะเอาผิดย้อนหลัง? สิ่งนี้จะกลายเป็นหลักประกันต่อความปลอดภัยของนางเอง ดังนั้นไม่น่าจะเป็นอะไร”
เล่นจอกกรอกแกว่งในมือเล็กน้อย คล้ายกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่สักครู่ ก่อนเงยหน้ากล่าวกับโม่ซวนขึ้นว่า
“ข้าจะเข้าวังหลวงเสียหน่อย องค์รัชทายาทได้รับบาดเจ็บถึงปานนี้ ข้าในฐานะท่านอา คงต้องไปเยี่ยมเยือนแสดงความห่วงใยกันหน่อย”
เซียถงแวะร้านสมุนไพรก่อนตามลำพัง จึงค่อยกลับเข้าจวนเสนาบดีไป ทีแรกนางตั้งใจจะเดินทางไปซ้ำเซี่ยเสวี่ยเหลียนอีกสักชุดใหญ่ หวังคิดบัญชีหวาดผวากันไปข้างหนึ่ง แต่พอครุ่นพินิจให้ดีแล้ว พรุ่งนี้ยังมีการประลองนัดชิงชนะเลิศที่สำคัญมาก เกรงว่าเรื่องความเกลียดชังคงต้องปล่อยไปก่อน แล้วค่อยคิดหาวิธีจชำระหนี้แค้นนี้กันทีหลัง
ขณะครุ่นคิดก็เดินเข้ามาถึงหน้าลานกว้างในเรือนของตน นางเห็นอิ๋งเอ๋อร์กำลังนั่งกอดเข่าตัวเองอยู่หน้าประตูเรือนด้านในและกำลังร้องไห้ ฟังว่าก่อนหน้านี้อิ๋งเอ๋อร์หมดสติไปข้างสนามประลอง และเป็นเซี่ยหลู่เฟิงที่อาสาอุ้มมาส่งก่อน
เมื่อเห็นอิ๋งเอ๋อร์ร้องไห้กอดเข่าตัวเองอยู่แบยนั้น เซียถงก็เดินตรงไปหา วางมือลงบนไหล่อีกฝ่าย เอ่ยถามว่า
“เจ้าร้องไห้ทำไม?”
อิ๋งเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมา พอเห็นว่าบาดแผลทั่วร่างกายของเซียถง เลือดยังหยุดไม่สนิท จึงรีบลากอีกฝ่ายเข้าไปด้านในเรือนทันที ก่อนจะนำผ้าสะอาดชุบน้ำเข้ามาประคบล้างแผลให้
“เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
เซียถงคว้าผ้าดังกล่าวออกจากมืออีกฝ่าย ทั้งยังกล่าวอีกว่า
“เจ้าออกไปก่อน เสร็จแล้วเดี๋ยวเรียกอีกที”
ยามนี้คุ้นเคยกับบัคลิกนิสัย ณ ปัจจุบันของเซียถงแล้วหลายส่วน อิ๋งเอ๋อร์จึงพยักหน้าและเดินออกไปอย่างเชื่อฟัง เซียถงถอดเสื้อผ้าแพรพรรณออกมา พร้อมนำผ้าชุบน้ำประคบเช็ดคราบเลือดและแผลบนร่างกาย บนเรือนร่างขาวผ่องประดุจหิมะของนางในยามนี้ เต็มไปด้วยรอยแผลที่เกิดจากการฟันนับหลายสิบ แต่เซียถงเองกลับมิได้ใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้เท่าไหร่ เพราะอาการแค่นี้ยังเทียบไม่ได้กับบรรดาภารกิจในชีวิตก่อนหน้าของนางเลย
หลังจากนั้นค่อยนำผงยารักษาแผล กรอกเทชโฉมทั่วตัว รู้สึกแสบสันจับขั้วหัวใจ แต่เซียถงกลับรู้สึกเสพติดกับความเจ็บปวดเหล่านี้เหลือเกิน และสุดท้ายจึงค่อยเปลี่ยนชุดเสื้อผ้าใหม่
พอเดินออกมาจากเรือนพัก นางก็ลอบเห็นอิ๋งเอ๋อร์ที่กำลังนั่งเหม่อลอย ทิ้งแผ่นหลังพักพิงกับกำแพง ดูหมดอาลัยตายอยากยิ่งแล้ว แถมยังมีน้ำตาคลอเบ้าให้เห็นอีก
“เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า?”
เซียถงตรงเขาไปเอ่ยถาม
“ไม่มี…ไม่มีอะไรคุณหนู ท่านทายาเสร็จแล้วกระมัง?”
พอเห็นเซียถงออกมา จู่ๆ อิ๋งเอ๋อร์ก็รีบพับมือเก็บเข้าไปใต้แขนเสื้อยาวโดยไว ดูลุกลี้ลุกลนมาก
“ยื่นมือออกมา”
สีหน้าการแสดงออกของเซียถงพลันแปรเปลี่ยน ดูเย็นยะเยือกชั่วพริบตา สายตาหยุดนิ่งอยู่ตรงบริเวณแขนทั้งสองข้างของอีกฝ่าย
“เอ่อ…คุณหนู คือว่าข้ายังมีงานบ้านที่ต้องทำต่อ ขอตัวเจ้าค่ะ”
กล่าวจบ อิ๋งเอ๋อร์รีบลุกขึ้นจากออกไปทันที
เซียถงเหยียดมือข้างหนึ่งออกไปคว้าข้อแขนอีกฝ่าย จับเสียงดัง ‘หมับ’ ก่อนจะออกแรงกระชากเล็กน้อยเนื่องจากอีกฝ่ายออกแรงขัดขืน พอถกแขนเสื้อขึ้นมา ก็เผยให้เห็นทั่วเรียวแขนของอิ๋งเอ๋อร์ที่กลายเป็นสีแดงก่ำ บวมอักเสบ ทั้งยังมีแผลพุพองอยู่ทั้งแขนจำนวนไม่น้อย ซึ่งสันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่า เกิดจากโดนน้ำร้อนลวก
พอดึงแขนอีกข้างของอิ๋งเอ๋อน์ขึ้นมา ก็ปรากฏเช่นเดียวกันไม่ผิดเพี้ยน ทั้งแผลพุพองบวมแดงเต็มไปหมด
“ฝีมือใคร?”
เซียถงเอ่ยถามน้ำเสียงเย็นชามาก หนาวเหน็บสั่นสะท้านถึงขั้วหัวใจผู้คน
“คุณหนู ข้าไม่เป็นไร”
อิ๋งเอ๋อร์รีบชักแขนกลับคืน ถกแขนเสื้อลงเพื่อปกปิดบาดแผลเหล่านั้น
“ข้าถามว่าฝีมือใคร?”
เซียถงจับจ้องนางตาเขม็ง เอ่ยย้ำถามซ้ำขึ้นอีกครา
“อะ…เอ่อ…เอ่อ…ฝีมือของนายท่านเจ้าค่ะ”
เผชิญต่อสายตาคู่เย็นยะเยือกขุมนี้ อิ๋งเอ๋อร์ถึงกับหดไหล่ลง ใบหน้าซีดเซียวขานตอบอย่างระมัดระวัง
เวลาคุณหนูโกรธ นางน่ากลัวมากเลย…
“ไฉนมันต้องใช้น้ำเดือดลวกเจ้า?”
เซียถงเอ่ยถามต่อ น้ำเสียงเรียบนิ่งไม่เค็มไม่หวาน แต่เมื่อนำมาผนวกรวมกับท่าทางอันเยือกเย็นนี้แล้ว กลับทำให้อิ๋งเอ๋อร์ผวาหนัก
“คุณหนู…”
อิ๋งเอ๋อร์ลังเลใจหนัก ประกายสายตาที่จับจ้องไปทางเซียถง สั่นไสวลังเล
“อิ๋งเอ๋อร์ ระหว่างเจ้ากับข้า เราเป็นอะไรกัน?”
เซียถงจับจ้องนางไม่วางตา เอ่ยถามขึ้นคำหนึ่ง
“คุณหนูเป็นผู้มีพระคุณต่อบ่าวเจ้าค่ะ อิ๋งเอ๋อร์กำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่ยังเด็ก จึงต้องนั่งขอทานอยู่ตามท้องถนน จนคุณหนูมาพบเข้าและรับข้ามาเป็นสาวรับใช้เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นแล้ว ไฉนถึงกล้ามีความลับกับข้า?”
น้ำเสียงในครั้งนี้ของเซียถงเย็นชาลงถนัดตา
อิ๋งเอ๋อร์กล่าวตอบเพื่อยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างพวกนาง
“คุณหนู หาใช่ว่าบ่าวต้องการมีความลับกับท่าน แต่…แต่เป็นฮูหยินหลู่ที่กำชับสั่งไม่ให้ข้าพูดเรื่องนี้”
“แม่ของข้างั้นรึ? เกิดอะไรขึ้นกับนาง?”
เซียถงเอื้อมมือไปคว้าแขนอิ๋งเอ๋อร์ ฉุดร่างของนางขึ้นมาจากพื้นโดยไว