ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 369 แห่ประจาน (1)
ตอนที่369 แห่ประจาน (1)
ตอนที่369 แห่ประจาน (1)
“มีวันหนึ่ง ตอนที่องค์รัชทายาทเสด็จมายังจวนเสนาบดีเซี่ย เพียงเขาชำเลืองมองมาที่ข้าทีหนึ่งเท่านั้น ฮูหยินรองเฉิงกับคุณหนูรองก็จับข้ามาทามาร แถมยังใช้มีดกรีดหน้าข้าจนเสียโฉมทันทีในคืนนั้น!”
“ฮูหยินรองเฉิงมักจะหักเงินค่าแรงในแต่ละเดือนของพวกเราไป และเอาเศษอาหารเน่าเสียที่ใช้เลี้ยงสุกรให้พวกเรากินแทน”
“ฮูหยินรองเฉิงจิตใจอำมหิตเกินมนุษย์ เคยมีพี่น้องของข้าถูกนางเฆี่ยนจนตาย!”
แค่วีกรกรรมอันแสนน่าหดหู่ที่หลุดจากปากบรรดาคนรับใช้เหล่านี้ มันก็เพียงพอแล้วที่จะเรียกเสียงโห่ร้อง ปลุกฮือความโกรธให้แก่มวลชนทั้งหลายที่แห่กันเข้ามารุมดู และหลังจากนั้นเพียงไม่นาน ก็มีทั้งก้อนหินและไข่จำนวนนับไม่ถ้วนถูกปาออกมาจากกลุ่มฝูงชน โยนใส่ร่างฮูหยินรองเฉิงกันต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน
“ไอ้พวกขยะ! ไอ้พวกเลี้ยงไม่เชื่อง! พวกเจ้ากับนังเซียถง มันรวมหัวสมรู้ร่วมคิดกัน! ทุกคนอย่าไปฟัง! พวกมันรวมหัวกันใส่ร้ายข้า! ข้าบริสุทธิ์…”
ฮูหยินรองเฉิงนอนหมดสภาพอยู่กับพื้น ขณะที่กำลังอ้าปากกล่าวไม่ทันจบ จู่ๆ ก็มีไข่ฟองหนึ่งโยนเข้าอุดปากของนางอย่างพอดิบพอดี สักพักหนึ่งก็มีหินก้อนโตพุ่งเข้ากระแทกศีรษะอย่างแรงจนเลือดตกยางออก นางในเวลานี้เพียงลำพังมิอาจต่อกรกับคลื่นมวลชนที่โกรธเกรี้ยวได้เลยแม้สักนิด
สิ่งเดียวที่นางได้รีบกลับมาคือ ไข่ไก่และก้อนหินเท่านั้น
เหล่าคนรับใช้ที่ออกมาปริปากแฉ เริ่มหยิบก้อนหินจากแถวนั้นทุบใส่ศีรษะฮูหยินรองเฉิง โดยมีอาจูเป็นผู้นำทัพ นางขนหินจากสวนหน้าจวนหอบมาส่งให้ถึงมือ จากนั้นก็เริ่มช่วยกันคนละไม้ละมือ เขวี่ยงปาหินใส่ฮูหยินรองเฉิงกันอย่างไม่ลดละ
ท่ามกลางห่าพิรุณก้อนหินและไข่ไก่ ฮูหยินรองเฉิงยกมือทั้งสองข้างขึ้นกุมศีรษะกอดไว้แน่น ขดตัวห่อขาอยู่กับพื้นเสมือนเม็ดฝุ่นเม็ดหนึ่ง
“คุณหนูใหญ่! ท่านดูสิว่าบ่าวรับใช้ในจวนแห่งนี้เกลียดชังฮูหยินรองเฉิงมากเพียงใด! อาศัยความแข็งแกร่งของท่านคอยสนับสนุนในวันนี้ ในที่สุดทุกคนก็ได้ระบายความเคียดแค้นตลอดหลายปีออกมา!”
ใบหน้าอิ๋งเอ๋อร์แดงก่ำ นางทั้งรู้สึกดีใจและตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทั้งนางและคุณหนูใหญ่ต่างถูกสองแม่ลูกตระกูลเฉิงรังแกสารพัด เมื่อได้เห็นชะตากรรม ณ ปัจจุบันของตระกูลเฉิง ก็นับว่าสามารถระบายความเกลียดชังได้ไม่น้อย
เซียถงยืนมองฮูหยินรองเฉิงที่นอนขดตัวอยู่บนพื้น เนื้อตัวมอมแมมเต็มไปด้วยไข่แดงและเมือกไข่ขาวหยาดเยิ้ม ศีรษะปูดบวมอาบเลือดสีแดงสด เน่าเละราวกับหัวหมู สีหน้าการแสดงออกของนางยังคงรักษาความเยือกเย็นสงบนิ่ง เพียงชำเลืองหางตามองเซี่ยเสวี่ยเหลียนที่นั่งตัวสั่นอยู่หลังประตูด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะหันกลับมาและกล่าวขึ้นว่า
“วันนี้ถือเป็นวันไถ่บาปของใครบางคน หากพลั่งเผลอลงมือถึงตายก็ไม่ว่ากัน ข้า เซียถงขอรับผิดชอบทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว!”
ทันทีที่ประโยคคำกล่าวนี้หลุดออกมา คนรับใช้ทุกคนในจวนเสนาบดีเซี่ยยิ่งทวีความเหี้ยมโหดเป็นเท่าตัว บ้างรีบวิ่งกลับจวนไปหยิบมีดทำครัวออกมา บ้างไปช่วยกันขนหินก้อนใหญ่มา สามัคคีชุมนุมทั้งกระหน่ำทุบกระหน่ำแทงใส่ร่างฮูหยินรองเฉิงสารพัดวิธี เพราะพวกเขาทราบดีว่า นี่จะเป็นโอกาสเดียวในชีวิตที่จะได้ระบายความเคียดแค้นตลอดหลายปีออกมา
“เซียถง… ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย! ขะ-ข้า…ข้าจะไม่รังแกท่านแม่ของเจ้าแล้ว! จะไม่รังแกคนรับใช้ของเจ้าอีกด้วย! ข้าจะให้เจ้าเป็นคนคุมจวนแห่งนี้ทั้งหมด ขอสัญญา…ข้าขอสัญญา…”
ฮูหยินรองเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล ชุ่มชโลมเลือดสดที่ไหลอาบ ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงสภาพราวกับขอทาน นางรีบคลานมากอดขาเซียถงไว้แน่น กล่าวขอโทษขอโผยทั้งน้ำตา
เซียถงยังพอทำเนา หากฮูหยินรองเฉิงไม่มุ่งเป้าไปที่ฮูฆยินหลี่ตั้งแต่แรก และทั้งหมดเป็นเพราะฮูหยินรองเฉิงมิใช่รึ? ที่ฮูหยินหลี่หายตัวไป? หากไม่ใช่เพราะฮูฆยินรองเฉิงแล้ว มีหรือที่หวานหลีซุนจะลักพาตัวท่านแม่ของนาง? แล้วตอนนี้นางยังมีชีวิตอยู่ หรือตายไปแล้ว ก็สุดแท้จะรู้ได้!
“อิ๋งเอ๋อร์ สั่งให้ใครสักคนบันทึกวีรกรรมความชั่วช้าทั้งหมดของฮูหยินรองเฉิงมา และแปะประกาศรอบเกวียนรถม้า จากนั้นก็จับนางมัดไว้บนนั้นและแห่ไปตามท้องถนนทั่วเมืองเฟิงหลี่!”
สองแม่ลูกคู่นี้อย่างฮูหยินรองเฉิงกับเซี่ยเสวี่ยเหลียน พวกมันก็ต่างจากเม็ดปลวกตัวหนึ่งในสายตาของเซียถง จะออกแรงบีบก็สามารถฆ่าให้ตายได้โดยง่าย จะปล่อยให้รอดย่อมทำได้ตามต้องการ และเหตุผลเดียวที่พวกมันสองคนยังมีชีวิตก็เพราะเห็นแก่หน้าเซี่ยหลู่เฟิงล้วนๆ แต่ในเวลานี้ วีรกรรมที่สองแม่ลูกก่อขึ้นมาเกินกว่าเหตุไปมากแล้ว ดังนั้นก็อย่าถือโทษโกรธกันว่า ตัวนางนั้นโหดร้าย
ฮูหยินรองเฉิงเกือบจะเป็นลมในทันทีที่ได้ยิน
จับนางขึ้นแห่ขบวนไปตามท้องถนนทั่วเมือง เพื่อแฉพฤติกรรมอันต่ำทรามของตนให้แก่ชาวเมืองทุกคนรู้ นี่มันไม่ต่างอะไรกับฆ่ากันให้ตายเลย? ไม่สิ…นี่มันเลวร้ายยิ่งกว่าตายซะอีก! หากชื่อเสียงที่สั่งสมมาต้องพังพินาศสิ้นเช่นนี้ แล้วนางยังจะมีหน้าใช้ชีวิตอยู่บนผืนพิภพแห่งนี้ได้เยี่ยงไร? เซียถงมันเลือดเย็นเกินไป!
ท่ามกลางฝูงชนที่แห่กันกระหน่ำปาไข่และก้อนหินใส่นางไม่หยุดยั้ง ฮูหยินรองเฉิงในเวลานี้หาได้สนใจสิ่งรอบข้างเหล่านี้อีกต่อไป นางใช้แรงเฮือกสุดท้ายฟัดฟันลุกขึ้น กระโดดกอดแข้งขาเซียถงที่กำลังจากไป กล่าวขอความเมตตาทั้งน้ำตาว่า
“เซียถง ข้าผิดไปแล้ว! ข้าผิดไปแล้ว! ข้าผิดไปแล้ว!! ยกโทษให้ข้าด้วยเถิด! ขอสัญญาเลย…ข้าขอสัญญา! ข้าจะไม่สร้างปัญหาให้พวกเจ้าสองแม่ลูกอีกต่อไปแล้ว! ข้ากับเหลียนเอ๋อร์จะไสหัวไปให้พ้นๆ หน้าพวกเจ้า ไม่กลับมาให้เห็นอีกตลอดไป!!”
“สิ่งใดที่เจ้าเคยทำให้ท่านแม่ต้องทุกข์ทรมาน วันนี้ข้าจะทวีทบคืนเจ้าเป็นสิบเท่า!”
ดวงตาคู่เยียบเย็นเปรอะเปื้อนไปด้วยแววอาฆาต เซียถงหวดแข้งขาสะบัดร่างฮูหยินรองเฉินจนกระเด็นกระดอนกลับไป
“ถูกต้อง! หญิงจิตใจต่ำทรามเช่นนี้สมควรถูกแห่ประจานทั่วเมืองแล้ว! ไม่สิ! ควรแห่ประจานทั่วทวีปเทียนหลางด้วยซ้ำ!”
“ใช่แล้ว! เศษเดนมนุษย์อย่างนาง สมควรถูกแห่ประจานถึงความโหดชั่ว คนอื่นๆ จะได้ไม่นำมาเป็นเยี่ยงอย่าง!”
ทั้งหมดเป็นเพราะผู้หญิงคนนี้ ที่เกือบทำให้พวกเขาเหล่าคุณชายทั้งหลายเข้าใจในตัวเซียถงผิดไป และอาจเป็นเพราะเหตุการณ์ในครั้งนี้เช่นกัน ที่ทำให้เซียถงยกเลิกงานหมั้นหมายทั้งหมดทิ้งไป ซึ่งหากเป็นแบบนั้นจริงๆ ต่อให้ฮูหยินรองเฉิงต้องตายนับร้อยครั้ง ก็ไม่เพียงพอที่จะระบายความเกลียดชังของคุณชายทั้งหลายได้!
เมื่อเห็นสีหน้าความโกรธเกรี้ยวของทุกคนในเวลานี้ ฮูหยินรองเฉิงรู้ดีอยู่แก่ใจ เคราะห์กรรมครั้งนี้คงมิอาจหนีพ้น เช่นนั้นจึงยอมโดนคุมตัวขึ้นมัดกับเสาเกวียนรถม้าโดยง่าย ทั่วทั้งร่างของนางในเวลานี้ไม่ต่างอะไรกับใบไม้แห้งกรอบที่พร้อมโรยราได้ทุกเมื่อบนยอดกิ่งก้าน
คล้อยหลังได้รับคำสั่งจากเซียถง บรรดาคนรับใช้ทั้งหลายในจวนก็ช่วยกันเขียนข้อความบันทึกวีรกรรมโฉดชั่วทั้งหลาย เพื่อแปะรอบเกวียนรถม้าคันนั้นโดยไว
เซี่ยเสวี่ยเหลียนที่ซ่อนตัวอยู่หลังประตูยามนี้ เนื้อตัวของนางสั่นเทาโดยมิอาจควบคุม นางหวาดผวาจริงๆ ว่า เซียถงจะเอ่ยปากสั่งให้ใครสักคนจับนางขึ้นไปมัดบนเสาเกวียนรถม้าข้างแม่ หากนางถูกจับแห่ประจานรอบเมืองด้วยอีกคน เกรงว่าชั่วชีวิตนี้คงจะจำต้องจบสิ้นแล้วเช่นกัน คิดได้เช่นนั้น นางจึงวางแผนตั้งใจจะย่องเบาหนีออกไปทันที ทว่าแข้งขาร่างกายของนางกลับอ่อนแรงไปหมด ไม่ฟังคำสั่งใดๆ อีกต่อไปแล้ว
โชคยังดีที่เซียถงในเวลานี้ยังไม่มีวางแผนจัดการกับนาง เพียงชำเลืองหางตาดูอย่างดูถูกดูแคลน และละความสนใจไม่แยแสใดๆ อีกเลย
ฮูหยินรองเฉิงในเวลานี้ถูกมัดติดอยู่บนเสาเกวียนรถม้า เนื้อตัวเปียกชุ่มไปด้วยธารเลือดสีแดงสด เสื้อผ้าที่สวมใส่ขาดรุ่ยไม่เหลือชิ้นดี นิ่งสงัดไร้การเคลื่อนไหวใดๆ ราวกับคนตาย เกวียนรถม้าในเวลานี้พร้อมออกเดินทาง ใบประกาศบันทึกถึงวีรกรรมต่างๆ ล้วนถูกแปะรอบเกวียนเสร็จสรรพ คนรับใช้ในจวนเสนาบดีเซี่ยที่เป็นผู้ชายขออาสาควบม้าออกเดินทางเอง ในยามนี้ได้เวลาออกเดินทาง ประจานความเดรัจฉานชั่วช้าเกินมนุษน์ของฮูหยินรองเฉิงให้คนทั่วทั้งเมืองเฟิงหลี่ได้รับรู้แล้ว!
“พวดกเจ้าทำบ้าอะไรกัน! ออกไปให้พ้น!”
แต่ทันใดนั้นเอง ฝูงชนทั้งหลายล้วนถูกผลักไสแยกออกเป็นทางสายยาว เซี่ยหลู่เฟิงวิ่งออกมาพร้อมชักกระบี่จ่อใส่พวกอาจูและคนอื่นๆ โดยตรง
สีหน้าของผู้คนทั้งหลายตื่นตระหนกแปรเปลี่ยน รีบกรูถอยหลังออกไปหลายสิบก้าวด้วยความตกใจ
เซี่ยหลู่เฟิงเหลียวหลังย้อนมอง แลเห็นสภาพอันน่าสังเวชใจยิ่งของฮูหยินรองเฉินที่โดนถูกติดอยูบนเสาเกวียน เนื้อตัวมอมแมมสกปรกมีแต่แผลบาดเจ็บสาหัส ร่างฉาบคลุมไปด้วยเลือดสีแดงสด เขาถึงกับตาถลนแดงก่ำ หัวใจดวงนี้เสมือนถูกเมฆหมองสีทมิฬปกคลุม วิ่งเข้าไปปัดปอยผมอันยุ่งเหยิงบนใบหน้าฮูหยินรองเฉิง โหร้องด้วยความเศร้าหมองลั่น
“ท่านแม่! ท่านแม่!”
ฮูหยินรองเฉิงขับแขนลูกชายตัวเองแน่นไม่มีปล่อย ราวกับว่าเซี่ยหลู่เฟิงคนนี้เป็นฟางเส้นสุดท้ายในชีวิตของนางแล้ว กล่าวร้องอ้อนวอนทั้งน้ำตาว่า
“เฟิงเอ๋อร์! ช่วยแม่ด้วย! ตอนที่เจ้าไม่อยู่ พวกมันรวมหัวกันรังแกข้า!!”
เซี่ยหลู่เฟิงกัดฟันแน่นพยักหน้าตอบทีหนึ่ง ก่อนจะรีบใช้กระบี่ตัดเชือกช่วยเหลือ จากนั้นค่อยเหลียวหน้าชำเลืองมองเซียถง สีหน้าการแสดงออกดูค่อนข้างลำบากใจมาก
สิ่งที่ท่านแม่ของเขาทำลงไป เซี่ยหลู่เฟิงย่อมรู้อยู่แก่ใจดี เมื่อสบสายตากับเซียถง จึงอดรู้สึกละอายใจตัวเองมิได้
แต่เยี่ยงไร แม่ก็คือแม่ ในฐานะคนเป็นลูก หากปล่อยไปเฉยๆ คงทำไม่ได้เช่นกัน!
ก่อนที่เขาจะได้อ้าปากกล่าว เซียถงชำเลืองหน้าหันกลับมามองเล็กน้อย ก่อนลาลับเข้าประตูจวนจากไป นางทิ้งท้ายวาจาฉาบไอเย็นเพียงว่า
“ชีวิตของนางฝากไว้ในมือท่านก่อน หากท่านแม่ข้ายังสบายดี นางรอด แต่หากท่านแม่ข้าเป็นอะไรไป ก็ฝังนางไว้ข้างท่านแม่ข้า!”
สิ้นเสียงเพียงเท่านั้น เสียงประตูทั้งสองบานก็ปิดตัวลง เผยให้เห็นร่างอรชรตัวสั่นเทิ่มอยู่ร่างหนึ่งที่เคยแอบอยู่ตรงซอกประตูทองแดงขนาดใหญ่ก่อนหน้า เซี่ยเสวี่ยเหลียนที่ขวัญผวาหน้าซีดเซียว ซ่อนตัวอยู่หลังบานประตูตั้งนมนานได้เปิดเผยตัวต่อหน้าสาธารณชนอีกครั้ง
เมื่อทุกคนได้เห็นเทพธิดาตัวน้อยอย่างเซี่ยเสวี่ยเหลียนที่กำลังนั่งขดตัวแอบอยู่ตัวสั่นเทาด้วยความกลัว เสมือนบุปผางามท่ามกลางสายฝน แทนที่จะรู้สึกใจสั่นหลงใหล ทว่าในยามนี้ทุกคนกลับรู้สึกเพียงว่า ตัวนางช่างน่าขยะแขยงเหลือเกิน ขณะที่แม่ตัวเองถูกฝูงชนรุมทำร้ายและประณามสาปส่ง ทว่าคนเป็นลูกกลับซ่อนตัวอยู่หลังประตู ห่วงแต่ภาพลักษณ์และความปลอดภัยของตน สำหรับหญิงสาวนางนี้ที่มีจิตใจเน่าเฟะดั่งเดนมนุษย์ ต่อให้หน้าตาจะสะสวยปานใดก็ไร้ประโยชน์