ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 37 การสืบทอด (1)
ตอนที่37 การสืบทอด (1)
“นายท่าน ออกคำสั่งให้กักบริเวณฮูหยินหลี่ นำตัวไปขังอยู่ในกระท่อมหลังจวนเจ้าค่ะ”
อิ๋งเอ๋อร์ลังเลอยู่สักพัก แต่สุดท้ายก็ยอมกล่าวความจริงออกมา
“หลังจากที่นายน้อยหลู่เฟิงอุ้มข้ากลับมาส่งถึงเรือน ก็พึงทราบข่าวนี้ จึงรีบเดินทางไปหาฮูหยินหลี่ในกระท่อมทันทีเจ้าค่ะ แต่ระหว่างทางกลับ ก็ถูกนายทานพบเข้า ข้าเลยโดนจับไปลงโทษโดยการเอาน้ำเดือดราดใส่แขน จะได้ให้คนรับใช้คนอื่นไม่นำไปทำเป็นเยี่ยงอย่าง…”
“แต่ตอนที่อยู่ในกระท่อมหลังนั้น ฮูหยินหลี่กล่าวกำชับกับข้าว่า ห้ามบอกเรื่องนี้แก่คุณหนูเด็ดขาด เพราะเกรงว่า นายท่านจะย้อนกลับมาก่อปัญหาให้คุณหนูเจ้าค่ะ”
ปาดน้ำหูน้ำตาไปหลายที อิ๋งเอ๋อร์กล่าวอธิบายเรื่องราวทั้งหมด
“แล้วไฉนจู่ๆ มันต้องนำแม่ข้าไปขังอยู่ในกระท่อมด้วย?”
แม้ว่าเซี่ยอี้เฉินจะไม้เคยปฏิบัติดีกับแม่ของนางก็จริง แต่คนอย่างมันเอง ก็ไม่น่าจะก่อปัญหารบกวนนางโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุเช่นกัน
“ข้าเองก็ไม่ทราบ แต่ตอนที่ข้าบังเอิญชนเข้ากับนายท่าน เขาดูหงุดหงิดอารมณ์เสียหนักมาก”
อิ๋งเอ๋อร์ส่ายหน้า ตรงเข้ากระชับจับมือเซียถงเอาไว้แน่น
“คุณหนู อย่าเพิ่งไปยุ่งกับนายท่านเลยดีกว่าเจ้าค่ะ หากฮูหยินหลี่ทราบว่า ท่านกับนายท่านทะเลาะกันยกใหญ่อีก นางจะต้องเสียใจมากเป็นแน่เจ้าค่ะ”
นับตั้งแต่การเผชิญหน้าโต้คารมกันระหว่างเซียถงกับเซี่ยอี้เฉินในตอนนั้น มันก็กลายเป็นสิ่งที่ฮูหยินหลี่ไม่สบายใจเรื่อยมา
เซียถงพยักหน้า เดินกลับไปหยิบยาทาแผลน้ำร้อนลวกมาให้อิ๋งเอ๋อร์ จากนั้นก็เดินไปยังห้องฟืนที่อยู่ด้านหลังจวนตามลำพัง เพื่อทะลุไปยังกระท่อมด้านท้ายสุดหลังจวน พอมาถึงก็พบแม่กุญแจขนาดใหญ่สีทองแดงพันธนาเอาไว้มิให้เปิดเข้าไปได้อยู่ เซียคงคว้าจับแม่กุญแจทองแดงดังกล่าวเอาไว้ให้มั่น เพียงระดมลมปราณสายหนึ่งพร้อมออกแรงบีบเล็กน้อย มันก็แตกออกเป็นเสี่ยงเล็กเสี่ยงน้อยในพริบตา เปิดเข้าไปในกระท่อมหลังดังกล่าวได้อย่างสบายใจ
พอเดินเข้าไปภายในตัวกระท่อมแสงสลัว ฮูหยินหลี่กำลังยั่งขดตัวอยู่ ณ มุมหนึ่ง ที่บริเวณนั้นเต็มไปด้วยฝุ่นเกาะและหยากไย่ ผมเผ้ายุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิง พอได้ยินเสียงฝีเท้าดังตรงเข้ามา นางก็แหงนศีรษะขึ้นมอง ค้นพบว่าเป็นเซียถง นางก็รีบพยุงตัวลุกขึ้นยืนในทันใด กล่าวน้ำเสียงสั่นเครือว่า
“ถงเอ๋อร์ ไฉนเจ้าถึงมาที่นี่ได้? รีบกลับไปเร็วเข้า! หากท่านพ่อของเจ้ามาเห็นคงมิใช่เรื่องดี!”
เมื่อเซียถงได้เห็นสภาพหน้ตาของฮูหยินหลี่ในขณะนี้ ก็รู้สึกปวดร้าวรานจับขั้วหัวใจ นางกุมมือแม่ตนเองแน่น กล่าวว่า
“ท่านแม่ ไฉนพวกมันถึงจับท่านมาขังเช่นนี้?”
ฮูหยินหลี่กลับไม่ตอบคำถามของเซียถง จู่ๆ ก็ถอนหายใจเสียงยืดยาว เอ่ยถามขึ้นแทนว่า
“ถงเอ๋อร์ ได้ข่าวว่าเจ้าทำร้ายองค์รัชทายาท? นี่เป็นความจริงรึเปล่า?”
ปรากฏว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับไป๋หลี่เย่อีกแล้ว?
เซียถงได้แต่หัวเราะเย้ยเยาะอยู่ภายในใจ กำมือแม่ตัวเองแน่น กล่าวว่า
“หรือฝ่าบาทส่งคนมาก่ปัญหาให้ท่าน? แต่ในสนามประลอง ไป๋หลี่เย่พูดเองกับปากว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันจะไม่เอาความย้อนกลับ หากยังกล้าทำเช่นนี้ ถือว่ามันกลืนน้ำลายตัวเองแล้ว!”
ฮูหลิยหลี่ส่ายหน้า
“เรื่องทำร้ายองค์รัชทยาทกลับหาใช่เรื่องที่ข้าสนใจ”
“ท่านแม่หมายความว่าอย่างไรกันแน่?”
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น พลันบังเกิดความสงสัยขึ้นในใจของเซียถงทันที
เป็นเวลาสักครู่ใหญ่ที่ฮูหยินหลี่มิได้ปริปากพูดอะไรเลย นางเดินหันหลังกลับไปอยู่มุมกระท่อมอีกครั้งและนั่งลง เอาแต่จับจ้องพื้นดินเหมือนกับว่ากำลังคิดอะไรสักอย่างอยู่ในหัว พอเซียถงเห็นแบบนั้นก็ไม่กล้าไถถามตามตื๊ออันใดอีก
ในเมื่อท่านแม่ไม่อยากจะพูด นางก็เลยไม่ถามเช่นกัน แต่เมื่อใดที่ท่านแม่ต้องการ เซียถงก็พร้อมที่จะฟัง
คล้อยหลังนิ่งเงียบไปเสียนาน ฮูหยินหลี่หันกลัวมากำมือเซียถงแน่น สีหน้าการแสดงออกของนางในตอนนี้แตกต่างไปจากครั้งก่อนๆ โดยสิ้นเชิง ทั้งยังเอ่ยถามขึ้นน้ำเสียงจริงจังด้วยว่า
“ตอนนี้ระดับพลังลมปราณของเจ้าอยู่ที่ขอบเขตใด?”
“เสาหลักฟ้าชั้นกลาง”
เซียถงกล่าวตอบไปทั้งที่ยังคงงุนงง
“เสาหลักฟ้าชั้นกลาง?”
ฮูหยินหลี่ถึงกับอ้าปากกว้าง เผยสีหน้าตื่นตะลึงเสมือนว่าไม่อยากจะเชื่อออกมา นางคิดมาเสมอว่า เซียถงน่าจะมีพลังอยู่เพียงขอบเขตเสาหลักเหลืองชั้นสูงเท่านั้น
เซียถงมิได้เอ่ยกล่าวลอยๆ พูดจบ นางก็กางฝ่ามือออกไปให้ฮูหยินหลี่ดูต่อหน้า พร้อมโคจรลมปราณสายหนึ่งชักนำปรากฏออกมา กลายมาเป็นกระแสลมปราณสีครามฟ้าสดใสหมุนติ๊ว เคว้งคว้างอยู่บนฝ่ามือของนาง
ช่างเป็นประกายแสงครามฟ้าระยิบระยับเจิดจรัส รัศมีกลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกจากร่างของเซียถง แม้นจะเป็นระลอกบางสั่นกระเพื่อมแผ่วเบา แต่ภายในนั้นกลับอัดแน่นความขุมพลังสุดแกร่งกล้าเร่งแฝงซ้อนอยู่
“เป็นเสาหลักฟ้าชั้นกลางจริงๆ ถงเอ๋อร์ เจ้าคืออัจฉริยะ!”
ทันทีที่เห็นประกายแสงสีครามฟ้าสดใส ทั้งบนฝ่ามือและร่างกายของเซียถง ฮูหยินหลู่ก็ดีตื่นอกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังมีน้ำตาเอ่อล้นออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของนาง
“เช่นนั้นจะไม่มีใครสามารถรังแกท่านแม่ได้อีกแล้ว พวกเราไม่จำเป็นต้องทนอยู่ในจวนเช่นนี้อีกต่อไป ขอเพียงท่านแม่ต้องการ ข้าจะพาท่านออกไปทันที”
เซียถงคลายพลังอ่อนลงจนหายไป กุมมือฮูหยินหลี่แน่น กล่าวย้ำน้ำเสียงหนักแน่น
“ถูกต้อง จะไม่มีใครสามารถรังแกเราได้อีกแล้ว”
ฮูหลินหลี่กระชับมืออีกฝ่ายตอบ พยักหน้าด้วยความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า
เซียถงโน้มตัวเข้าไปกอดพร้อมตบหลังเบาๆ เพื่อปลอมประโลม คล้อยหลังไม่นาน ฮูหยินหลี่ก็เริ่มสงบอารมณ์ลง
“ถงเอ๋อร์ ในเมื่อเจ้าทะลวงขึ้นสู่ขอบเขตเสาหลักฟ้าได้แล้ว มันคงถึงเวลาแล้ว…ที่ข้าจะถ่ายทอดสมบัติที่ท่านตาของเจ้าทิ้งเอาไว้ให้!”
ฮูหยินหลี่ปาดน้ำตา ตั้งสติกลับมาจับจ้องเซียถง สีหน้าจริงจังอย่างยิ่ง
“ท่านตางั้นรึ?”
คำเรียกนี้ราวกับว่านางมิเคยได้ยินมาแสนนานแล้ว ทำเอาเซียถงตกอยู่ในภวังค์ความคิดตัวเองไปครู่หนึ่ง ต่อมาค่อยจดจำได้ว่า ท่านตาของข้าล่วงลับจากไปนานแล้ว เท่าที่จำความได้ ท่านปู่ของนางมีตำแหน่งใหญ่โตในระดับหนึ่งเช่นกันในจวนกั๋วกง แต่กลับกลายเป็นว่า ท่านตาคนนี้กลับไม่ค่อยสนใจแลเหลียวนางกับแม่ของนางเท่าไหร่นัก จึงเป็นสาเหตุว่า ทำไมสองแม่ลูกเฉิงถึงเหิมเกริม กล้ารังแกพวกนางตามอำเภอใจเช่นนี้
“ใช่แล้ว”
ฮูหยินหลี่พยักหน้า พาเซียถงไปนั่งบนเก้าอี้ตรงมุมกระท่อม จากนั้นก็ค่อยๆ ใช้มือไม้ลูบไล้ จัดทรงผมให้ลูกสาวของตน พลางกล่าวอธิบายขึ้นว่า
“ก่อนหน้านี้ ข้ายังคิดว่า เจ้ายังเด็กเกินไปและไม่แข็งแกร่งพอที่จะปกป้องตัวเองได้ แต่กลายเป็นว่า ข้าคิดผิด เจ้าแข็งแกร่งกว่าที่ข้าคิดไว้มาก คงถึงเวลาที่ข้าต้องเล่าเรื่องของท่านตาให้เจ้าฟังแล้ว”
คล้อยหลังมือไม้ของฮูหยินหลู่พลันชะงักหยุดชั่วขณะ ถอนสายตาเหม่อมองออกไปทางช่องหน้าต่าง กล่าวว่า
“ตระกูลหลี่เดิมเคยเป็นตระกูลยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิตงหลี่ และท่านตาของเจ้ามีสมบัติล้ำค่า ซึ่งเป็นถึงคัมภีร์วรยุทธ์ลับที่สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ แต่หลังจากที่ท่านยายของเจ้าล่วงลับไป ฝ่าบาทก็จับบุตรสาวของตนนางหนึ่ง ซึ่งก็เป็นองค์หญิงให้มาอภิเษกสมรสกับท่านตา”
“แต่ท่านตาของเจ้ากลับทราบดีว่า ที่ฝ่าบาททำไปทั้งหมดก็เพื่อต้องการครอบครองคัมภีร์วรยุทธ์ลับที่อยู่ในมือของเขา ดังนั้นมันจึงถูกเก็บซ่อนเอาไว้เป็นอย่างดี แม้กระทั่งองค์หญิงนางนั้นและท่านลุงของเจ้าก็ไม่เคยพบเห็นมันมาก่อน”
ท่านลุงของเซียถงคนนี้เป็นบุตรชายที่ถือกำเนิดขึ้นระหว่างองค์หญิงนางนั้นและท่านตา
“ท่านตาของเจ้ายังคงรักท่านย่าของข้ามากกว่าสิ่งใด แต่ที่ต้องอภิเษกกับองค์หญิงล้วนเกิดจากความคับข้องใจทั้งสิ้น และเพื่อป้องกันมิให้ คัมภีร์วรยุทธ์ลับที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ต้องตกไปอยู่ในเงื้อมมือของพวกราชวงศ์ เขาจึงตัดสินใจถ่ายทอดความลับนี้ให้แก่ข้าแทน และชิงให้ข้าแต่งงาน ออกเรือนไปก่อนที่จะโดนนำตัวเข้าวังหลวง”
คล้อยหลังกล่าวตบ ฮูหยินหลี่ก็จับจ้องไปยังเซียถง เห็นใบหน้าอันสงบเสงียมนี้ จึงค่อยกล่าวต่อว่า
“ท่านตาของเจ้าล่วงลับไปหลังจากข้าออกเรือนได้สองปี ทางด้านองค์หญิงนางนั้น ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ก็ไม่เสาะพบคัมภีร์วรยุทธลับดังกล่าวเลย ส่งผลให้ตอนนี้ฝ่าบาทเกิดข้อสงสัยว่า ความลับที่เก็บซ่อนมาแสนนานนี้จะอยู่ในมือข้าหรือไม่ หลายปีที่ผ่านมา พวกนั้นพยายามกันทุกวิถีทางเพื่อที่จะเค้นความลับออกจากปากข้า แต่ข้าก็ไม่เคยปริปากกล่าวแม้สักคำ พูดออกไปเพียงว่า ข้าไม่ได้รับมรดกสืบทอดใดๆ จากท่านตาของเจ้าเลย สุดท้ายนี้ ข้าเลยต้องจำใจทำลายจุดตันเถียนของตัวเองทิ้งซะ เพื่อจะได้กลายมาเป็นคนไร้น้ำยา ไม่ต้องมีใครให้ความสนใจเช่นนี้”
เมื่อได้ฟังเรื่องราวทุกอย่าง เซียถงก็กระชับกำมือฮูหยินหลี่เอาไว้แน่นกว่าเดิม ภายในใจรู้สึกเป็นทุกข์ยิ่ง