ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 370 แห่ประจาน (2)
ตอนที่370 แห่ประจาน (2)
ตอนที่370 แห่ประจาน (2)
เซี่ยหลู่เฟิงชำเลืองมองเซี่ยเสวี่ยเหลียนเพียงหนึ่งปราด ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความผิดหวัง และเดินวกกลับเข้าจวนเสนาบดีไปพร้อมแบกร่างฮูหยินรองเฉิงที่แน่นิ่งราวกับเป็นอัมพาตไปแล้วโดยใช้ประตูด้านหลัง เพราะการที่เซียถงปิดประตูบานหน้าจวนใส่หน้าพวกเขา นางสื่อความหมายค่อนข้างชัดเจนมากแล้ว ทุกคนที่มีสายเลือดตระกูลเฉิงเจือผสมไม่มีคุณสมบัติที่ตะเข้าย่างเท้าก้าวเข้าจวนเสนาบดีผ่านประตูหน้าอีกต่อไป ภายในจวนเสนาบดีเซี่ยแห่งนี้ คนตระกูลเฉิงคือพวกชนชั้นรอง
จะอย่างไร นี่นับว่าเซียถงเห็นแก่หน้าเซี่ยหลู่เฟิงมากเกินพอแล้ว ถึงยอมปล่อยให้ฮูหยินรองเฉิงรอดพ้นจากการโดนแห่ประจานทั่วเมืองโดยง่ายเช่นนี้ ซึ่งในจุดนี้เอง ตัวเซี่ยหลู่เฟิงเองย่อมตระหนักทราบดี เหตุที่สถานการณ์ปัจจุบันมันพัฒนาจนอยู่ในขั้นเลวร้ายปานนี้ กลับโทษใครอื่นมิได้นอกจากการกระทำของท่านแม่เขาเองทั้งสิ้น
เซียถงในเวลานี้กำลังนั่งเล่นอยู่บนโต๊ะ เขี่ยถ้วยชาไปมาพลางส่งสายตาเคลื่อนมองไปยังกล่องเครื่องประดับนับหลายพันกล่องที่สุมกองเป็นภูเขาอยู่ลานหน้าเรือนของตน พร้อมกับทหารกลุ่มใหญ่ที่ยังต่อแถวยกกล่องอัณมณีอีกหลายสิบมาวางกองไว้ เพิ่มพูนขนาดกองกล่องสมบัติให้ขยับขยายกว้างใหญ่ขึ้นไปอีก จนบดบังแสงแดดที่สาดส่องเข้ามายังตัวเรือน
กล่องเครื่องประดับเหล่านี้มีทั้งเหรียญทองและอัญมณีหายากมากมายนับไม่ถ้วน เพื่อเอาชนะใจเซียถง องค์จักรพรรดิตงหลี่นับว่าใจใหญ่อย่างแท้จริง
แต่น่าเสียดายนักที่ของพวกนี้แทบไม่มีค่าอะไรเลยในสายตาของนาง!
“คุณหนูเซียมีทั้งความสามารถและพรสวรรค์สูงส่งตั้งแต่อายุยังน้อย ถึงขนาดคว้าอันดับหนึ่งแห่งงานประลองสี่จักรวรรดิอันยิ่งใหญ่มาครอง นี่ถือเป็นเกียรติยศครั้งใหญ่หลวงสำหรับจักรวรรดิตงหลี่ของเรา และนี่คือรางวัลที่ฝ่าบาทพระราชทานให้แก่คุณหนูเซีย นอกจากนี้ฝ่าบาทยังสั่งให้ทุกคนใต้หล้าจัดงานเฉลิมฉลองแด่ท่านเป็นเวลาสามวันสามคืนเต็ม นี่เป็นนับเป็นเกียรติสูงสุดแก่ตัวท่านรวมไปถึงจวนเสนาบดีเซี่ยแห่งนี้ เพราะแม้กระทั่งแม่ทัพใหญ่แห่งตงหลี่ก็ยังไม่เคยได้รับการประทานรางวัลอันทรงเกียรติขนาดนี้มาก่อน!”
ขันทีประจำตัวฝ่าบาทเดินทางมาหาเซียถงเป็นการส่วนตัว เขากล่าวเยินยอเซียถงพร้อมรอยยิ้มกว้าง
งานเฉลิมฉลอง? สุดท้ายก็จัดเพื่อตัวเองมิใช่รึไง?
มุมปากเซียถงกระตุกยิ้มเผยแสดงแววเย้ยเยาะออกมาชัดเจน ละความสนใจจากถ้วยชาบนโต๊ะ และเหลียวหน้าหันมามองขันทีประจำตัวฝ่าบาทที่ยืนอยู่ข้างๆ นางมองหน้าอีกฝ่ายทีท่าเคร่งขรึม กล่าวว่า
“ท่านกงกง พอดีข้ายังมีธุระสำคัญ พอมีเวลาว่างก็แค่เข้าร่วมงานเลี้ยงคืนนี้”
“พรสวรรค์ด้านการต่อสู้ของคุณหนูเซียเรียกได้ว่า ยอดอัจฉริยะคงไม่ผิด อนาคตของตัวท่านนั้นย่อมต้องไร้ขีดจำกัด ถึงแม้ประสบความสำเร็จถึงขั้นนี้แล้ว แต่ท่านก็ยังไม่คิดนิ่งนอนใจ หาได้หลงระเริงกับชัยชนะไม่ ขยันหมั่นเพียรนับเป็นเรื่องดี แต่ก็ควรพักผ่อนบ้างย่อมดีกว่า”
ขันทีประจำตัวฝ่าบาทยิ้มประจบสอพอ กล่าวชื่นชมเทิดทูนเซียถงอย่างไม่มีลดละ
ในปัจจุบัน เซียถงเป็นดั่งวีรสตรีแห่งตงหลี่ ทั้งยังเป็นคนโปรดปรานที่สุดของฝ่าบาทอีก เช่นนั้นแล้ว นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะได้สานสัมพันธ์อันดีกับนาง!
หึ พวกกิ้งก่าเปลี่ยนสี เซียถงสบถยิ้มเยาะกับตัวเองอยู่ภายในใจ หันมากล่าวกับขันทีคนนั้นอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า
“ท่านกงกง ข้าจำได้ว่า ตอนที่ท่านมาหาข้าก่อนหน้านี้ ไม่เห็นสุภาพกับข้าอย่างปัจจุบันเลย?”
ครั้งล่าสุดที่ขันทีเดินทางมาจวนเสนาบดีเซี่ยเกี่ยวกับเรื่องเซี่ยหลู่เฟิง ทัศนคติของเขาที่มีต่อเซียถงค่อนข้างกร้านแข็งหยิ่งผยอง หาได้มีความสุภาพนอบน้อมปานนี้เลย
ได้ยินดังนั้น สีหน้าการแสดงออกของขันทีพลันแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย รีบโค้งศีรษะกดต่ำคำนับให้เซียถง ระบายยิ้มด้วยความเป็นมิตรกล่าวว่า
“ดูคุณหนูเซียกล่าวเข้าสิ ทุกครั้งที่บ่าวชราคนนี้เข้าเยี่ยมเยือนจวนเสนาบดีเซี่ย ล้วนแต่สุภาพนอบน้อมต่อท่านเสมอมา ขอพูดตามสัตย์จริง ตั้งแต่แรกเห็นท่าน บ่าวชราคนนี้ก็ตระหนักรู้แล้วว่า ท่านคือมังกรซุ่มวิหคเพลิงอมตะที่รอวันสยายปีก เพียงว่าทุกอย่างต้องรอวันและเวลาที่เหมาะสม และแล้ววันนี้ก็มาถึง ขอแสดงความยินดีกับคุณหนูเซียด้วยจากใจจริง!”
มัวแต่ฟื้นฟอนหาตะเข็บกับอดีตที่เจ็บปวด กลับไร้ซึ่งความหมาย ในส่วนนี้เซียถงย่อมทราบกระจ่างแจ้งดี แค่เพียงว่า นางยังไม่ชินเท่านั้นกับการที่ได้เห็นขันทีคนนี้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเท่านั้น จะอย่างไร ตราบเท่าที่ขันทีคนนี้มิได้จงใจหาเรื่องนาง นางเองย่อมไม่เบียดเบียนสร้างปัญหาก่อนเช่นกัน จึงพยักหน้าเบาๆ รับคำเทิดทูนชมเชยของอีกฝ่ายไป
ขันทีคนนี้เองก็ดูจะเข้าใจถึงจุดยืนของตนเองดีเช่นกัน จึงโค้งศีรษะคำนับเซียถงไปทีหนึ่ง และกล่าวว่า
“หากคุณหนูเซียต้องการสิ่งใด โปรดสั่งให้คนมาแจ้งเรื่องกับทางบ่าวชราคนนี้ได้โดยตรงภายในวังหลวง บ่าวไม่ขอรบกวนเวลาพักผ่อนของท่านแล้ว ขอตัวลา”
อิ๋งเอ๋อร์เหม่อมองขันทีคนนั้นจากออกไปด้วยความนอบน้อมสุภาพ แอบปิดปากหัวเราะคิกคักกับตัวเองเบาๆ ในเวลานี้ คุณหนูของนางกลายมาเป็นที่เคารพนับถือของผู้คนทั่วทั้งเมืองเฟิงหลี่ไปแล้ว ไม่ว่าจะไปไหนมาไหน ก็มีแต่คนเคารพนับถือ แม้แต่ขันทีประจำตัวฝ่าบาทเองก็เช่นกัน ยังต้องโค้งศีรษะคำนับนางอย่างสุภาพนอบน้อมยิ่งกว่าอะไร
“อิ๋งเอ๋อร์ เอากล่องสมบัติพวกนี้ไปแจกจ่ายให้บ่าวรับใช้ทุกคนในจวน ส่วนที่เหลือก็นำไปสำรองเก็บไว้ในเรือนการเงิน แล้วฝ่ายตั้งประกาศรางวัลสำหรับคนที่หาท่านแม่ข้าพบด้วย ใครก็ตามที่เจอท่านแม่ของข้า รับรางวัลไปเลย กล่องสมบัติห้าร้อยกล่อง”
เซียถงลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินผ่านกองกล่องสมบัตินับพันที่ซ่องสุมกันเป็นภูเขาเลากาโดยไม่มีแยแสใดๆ มุ่งหน้าตรงไปที่เรือนนอนของเซี่ยอี้เฉิง
“หะ-ห้า…ห้าร้อยกล่อง!? จะมอบกล่องสมบัติจำนวนห้าร้อยกล่องเป็นรางวัลรึเจ้าค่ะ?!!”
อิ๋งเอ๋อร์เสมือนถูกแช่แข็งไปเสี้ยวพริบตา นางยืนอ้าปากค้างขากรรไกรแทบร่วงกระแทกพื้น
กล่องสมบัติจากวังหลวงพวกนี้ ประกอบไปด้วยแก้วแหวนเงินทอง และอัญมณีล้ำค่านับไม่ถ้วน ซึ่งจำนวนมากถึงห้าร้อยกล่องมันเป็นมูลค่าที่สูงลิบลิ่วจนไม่สามารถตีเป็นจำนวนเงินได้เลย
“อืม ใครก็ตามที่เจอท่านแม่และพาท่านกลับมาได้อย่างปลอดภัย ข้าจะมอบกล่องสมบัติจำนวนห้าร้อยกล่องเป็นรางวัล”
เซียถงหาได้สนใจกล่องสมบัติเหล่านี้แม้สักนิด ของฟุ่มเฟือยจำพวกอัญมณีกลับหาได้มีประโยชน์ต่อตัวนางใดๆ สิ่งที่นางต้องการในเวลานี้คือ ความปลอดภัยของท่านแม่เท่านั้น
เป็นเวลากว่าสามวันมาแล้ว ที่ยังไม่มีข่าวคราวใดๆ จากหวานหลีซุนเลย ซึ่งนี่ทำให้เซียถงเป็นกังวลยิ่ง
เมื่อเดินมาถึงเรือนพักของเซี่ยอี้เฉิง นางก็บังเอิญไปเจอเข้ากับเซี่ยหลู่เฟิง
เซียถงชำเลืองเล็กน้อย มองอีกฝ่ายที่กำลังนั่งอยู่ที่หัวเตียง เฝ้ามองเซี่ยอี้เฉิงที่ยังนอนไม่ได้สติ สีหน้าซีดขาว ริมฝีปากแห้งกราดสีออกไปทางเขียวปนม่วง ผ่านไปสักครู่ เซี่ยหลู่เฟิงค่อยลุกขึ้นมาหยิบผ้าชุบน้ำสะอาด ไล่เช็ดตัวให้ผู้เป็นพ่ออย่างระมัดระวัง ขณะที่กำลังจะยกกะลามังไปเปลี่ยนน้ำ ก็บังเอิญเงยหน้าไปเห็นเซียถงที่ยืนอยู่หน้าประตูพอดี เขาส่งยิ้มให้นางเล็กน้อย กล่าวว่า
“ถงถง! ข้าได้ยินเรื่องที่เจ้าคว้าอันดับหนึ่งในงานประลองสี่จักรวรรดิมาแล้ว ยินดีด้วย!”
ใบหน้าหล่อเหลาของเขาในเวลานี้ ปราศจากร่องรอยความสดใสดั่งกาลอดีตอีกต่อไป ดวงตาคู่ใสบริสุทธิ์ของเขาหม่นทมิฬไร้แววประกาย จะเหลือก็เพียงความขมขื่นใจและความละอายเท่านั้น
เซียถงสบสายตามองอีกฝ่าย ภายในใจของนางเองก็รู้สึกเจ็บปวดไม่น้อยเลยเช่นกัน ในปัจจุบัน เรื่องวีรกรรมโฉดชั่วของฮูหยินรองเฉิงตลอดหลายปีที่ผ่านมา ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งจักรวรรดิตงหลี่แล้ว และทั่วทุกหย่อมหญ้าในจักรวรรดิตงหลี่ตอนนี้ ก็ล้วนแต่กล่าวถึงพฤติกรรมอันสกปรกของนาง ส่งผลให้เซี่ยหลู่เฟิงกลายมาเป็นตัวตลกในสายตาของทุกคน
มิใช่ว่าเขาในปัจจุบันควรจะมีช่วงเวลาที่ดีกว่านี้หรอกรึ?
“ถงถง ไม่ต้องห่วงไป ข้าใช้เส้นสายทั้งหมดที่มีอยู่ เพื่อเสาะหาข่าวคราวของท่านป้าหลี่ว่าอยู่ไหน หากมีอะไรคืบหน้าจะรีบแจ้งให้เจ้าทราบโดยเร็ว”
สังเกตเห็นเซียถงหน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นนั้น เซี่ยหลู่เฟิงพลางคิดว่านางกำลังเป็นกังวลเรื่องท่านแม่ จึงรีบลุกขึ้นกล่าวออกไปทันทีหวังให้น้องสาวคนนี้สบายใจขึ้นบ้าง
พอได้ยินแบบนั้น เซียถงพลันรู้สึกซาบซึ้งอย่างบอกไม่ถูก สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากใจสู่ใจสื่อถึงกัน ทั้งที่นางจับฮูหยินรองเฉิงมาประจานจนชื่อเสียงป่นปี้ไม่เหลือดี แถมยังทำให้เซี่ยหลู่เฟิงกลายมาเป็นตัวตลกในสายตาของทุกคนอีก แต่ถึงแบบนั้น มิเพียงเขาจะไม่โกรธเกลียดตัวนางเลยสักนิด แต่ยังมีความหวังดี ช่วยเหลือตามหาข่าวคราวการหายตัวไปของท่านแม่นางอีก เป็นเช่นนี้แล้ว มีหรือที่เซียถงจะไม่รู้สึกซึ้งใจ?
ความรู้สึกผิดยิ่งถูกเพิ่มพูนขึ้นในใจเซียถง นางพยักหน้าตอบเบาๆ เดินตรงเข้ามาคว้าผ้าห่ม ยกขึ้นมาห่มทับแผ่นอกของเซี่ยหลู่เฟิงอย่างช้าๆ