ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 371 งานอภิเษกสมรสในตงหลี่ (1)
ตอนที่371 งานอภิเษกสมรสในตงหลี่ (1)
ตอนที่371 งานอภิเษกสมรสในตงหลี่ (1)
เมื่อห่มผ้าให้แล้วเสร็จ เซียถงก็หยิบถ้วยน้ำชาบนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมา ท่ามกลางสายตาความประหลาดใจของเซี่ยหลู่เฟิง จู่ๆ นางก็เงยหน้ามองและสาดน้ำชาใส่หน้าเซี่ยอี้เฉิงที่นอนหมดสติอยู่โดยตรง
“ถงถง เจ้าทำอะไรน่ะ!?”
เซี่ยหลู่เฟิงขมวดคิ้วร้องอุทานขึ้นทันทีอย่างไม่พอใจนัก
เซียถงหาได้ปริปากพูดจาใดๆ ยืนพับแขนเสื้อมองดูเซี่ยอี้เฉิงที่เนื้อตัวเปียกชุ่มบนเตียงอย่างเฉยเมย
ขณะที่เซี่ยหลู่เฟิงกำลังก้มตัวเช็ดหน้าเช็ดตาให้เซี่ยอี้เฉิงอยู่นั้นเอง ทันใดนั้นก็เห็นแมลงสีแดงโลหิตสองตัวคลานออกมาจากรูจมูกของเซี่ยอี้เฉิง ทำเอาเจ้าตัวที่กำลังก้มตัวไปเช็ดหน้าอีกฝ่ายถึงกับสะดุ้งเฮือก ร้องอุทานด้วยความตกใจขึ้นว่า
“นี่มันอะไรกัน…?!”
“แมลงสูบโลหิต”
ครั้งนี้เซียถงยกทั้งกาน้ำชาราดใส่แมลงสูบโลหิตทั้งสองตัวนั้นโดยตรง
เมื่อแมลงสูบโลหิตโดนน้ำชาร้อนๆราดใส่ มันก็ชักดิ้นชักงอไปมา สักครู่หนึ่งจึงค่อยแน่นิ่งไป เซียถงใช้สองนิ้วคีบพวกมันสองตัวโยนลงพื้น และใช้ฝ่าเท้ากระทืบไปทีหนึ่ง พอถอนฝ่าเท้าขึ้นมา ก็เหลือเพียงแอ่งเลือดน้อยๆ กองหนึ่งบนพื้น
เซียถงเอื้อมมือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปใต้กางเกงของเซี่ยอี้เฉิงอีกครั้ง และเมื่อชักมือหดกลับขึ้นมา ก็พบเศษไม้เล็กๆ ก้านหนึ่งอยู่บนฝ่ามือ
“รู้หรือไม่ว่าเหตุใดเซี่ยอี้เฉิงถึงหมดสติไป?”
เซียถงยื่นเศษไม้เล็กๆ ชิ้นนั้นในมือส่งให้ทางเซี่ยหลู่เฟิง
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา เซี่ยอี้เฉิงอยู่ในอาการวิกฤตินอนสลบไสลไม่ฟื้น ต่อให้เชิญหมอชำนาญฝีมือหลายต่อหลายคนมาตรวจวินิจฉัยก็หาสาเหตุอาการไม่เจอ ส่วนเศษไม้ที่เซียถงหยิบออกมาจากกางเกงเซี่ยอี้เฉิง มันเรียกว่า กิ่งไม้แมลงโลหิต ภายในแกนกลางของเศษไม้แท่งนี้ เต็มไปด้วยตัวอ่อนของแมลงสูบโลหิตที่กำลังฟักตัว เมื่อลอบยัดลงในเสื้อผ้าตามร่างกายของคนเรา ผ่านไปหนึ่งวัน ตัวอ่อนเหล่านี้ก็จะเริ่มฟักตัวออกมา ขนาดตัวของพวกมันแรกเกิดจะเท่ากับปลายเข็มเท่านั้น มันจะแทรกตัวเข้าไปในอณูผิวตามร่างกายของคน และเริ่มดูดเลือดดูดเนื้อจากภายในเพื่อใช้ดำรงชีพ
หากปล่อยพวกมันไว้จนโต แมลงสูบโลหิตเหล่านี้จะคืบคลานไปกินเนื้อสมองของคนจนตายในท้ายที่สุด
“ใครกันที่เอากิ่งไม้แมลงโลหิตมาใส่ในเสื้อผ้าของท่านพ่อ? มีคนในจวนแห่งนี้คิดร้ายกับท่านพ่ออย่างงั้นรึ?”
เซี่ยหลู่เฟิงย่อมรู้จักอาวุธพิฆาตเฉกเช่น กิ่งไม้แมลงโลหิตนี้ และจำมันได้ในทันทีที่เห็นมัน ดวงตาถึงกับเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง
ผู้ใดกันในจวนเสนาบดีเซี่ยแห่งนี้ ที่จ้องจะเอาชีวิตของท่านพ่อเขา!?
เซียถงกระตุกยิ้มมุมปาก กล่าวลอยๆ ขึ้นคำหนึ่งว่า
“ลองไปถามท่านแม่ของท่านสิ”
เซี่ยหลู่เฟิงถึงกับเนื้อตัวสั่นสะท้านทันทีที่ได้ยิน สีหน้าซีดเผือดไม่อยากจะเชื่อ จ้องหน้าเซียถงอยู่สักครู่ ก่อนเอ่ยอุทานขึ้นว่า
“ไม่ ไม่ ต้องไม่ใช่แบบนั้น! แม้ว่าแม่ข้าจะเลวทรามต่ำช้าเพียงใด แต่นางไม่เคยประสงค์ร้ายคิดเอาชีวิตท่านพ่อมาก่อน!”
เซียถงได้แต่ยืนเฝ้ามองเขาอย่างเงียบงัน ความจริงก็คือความจริงวันยังค่ำ ต่อให้เขาทำใจเชื่อไม่ลง แต่ความจริงก็ไม่สามารถแปรเปลี่ยนได้อยู่ดี
เซี่ยหลู่เฟิงจ้องหน้าเซียถงอยู่พักใหญ่ ทว่าสิ่งเดียวที่เห็นในสายตาคู่นั้นของนางคือ ความสงสารที่มีต่อเขากับความจริงอันเจ็บปวดใจ ในมือของเขาบีบกำกิ่งไม้แมลงโลหิตเอาไว้แน่น และก้าวผ่านบานประตูจากออกไปโดยไม่พูดไม่จาใดๆ อีก
เซียถงเหม่อมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่ลาลับออกไปไกล ภายในใจรู้สึกสงสารไม่น้อยเลยจริงๆ แต่จะอย่างไร ความจริงก็ความจริง และสิ่งนี้มิอาจแปรเปลี่ยนใดๆ ได้เลย เพราะในวันนั้น นางเองก็เฝ้าดูทุกการกระทำของฮูหยินรองเฉิงและหวานหลีซุนกับตาตัวเอง หวานหลีซุนยัดกิ่งไม้แมลงโลหิตก้านนี้ใส่มือของฮูหยินรองเฉิง และสั่งให้นางยัดเจ้าสิ่งนี้ลงในกางเกงของเซี่ยอี้เฉิง
ถึงแม้เหตุการณ์ในตอนนั้น เซียถงมิได้ออกโรงเข้าห้ามปราม แต่นางก็แอบสั่งการให้อิ๋งเอ๋อร์ ลอบเข้าไปเปลี่ยนชาในเรือนนอนของเซี่ยอี้เฉิง ด้วยฤทธิ์ของชาหอมชนิดพิเศษที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแมลงสูบโลหิต ส่งผลให้อาการป่วยของเซี่ยอี้เฉิงมิได้ทรุดลงไปมากกว่านี้
มิฉะนั้นแล้ว ปานนี้เนื้อสมองของเซี่ยอี้เฉิงคงถูกแมลงสูบโลหิตเจาะกินจนพรุนและตายไปนานแล้ว
ไม่นานหลังจากที่เซี่ยหลู่เฟิงจากออกไป เซี่ยอี้เฉิงก็ได้สติตื่นขึ้นมา เซียถงเพียงทิ้งประโยคหนึ่งไว้สั้นๆ เพียงว่า
“จงใช้ประโยชน์จากตำแหน่งเสนาบดีของเจ้า เพื่อตามหาท่ามแม่ข้าที่หายตัวไปบัดเดี๋ยวนี้”
กล่าวจบ นางก็เดินออกไปโดยตรง
ถึงแม้นางจะเกลียดเซี่ยอี้เฉิงมากปานใด แต่ก็พึงทราบ เขาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของท่านแม่นาง ดังนั้นย่อมฆ่าไม่ได้ และด้วยตำแหน่งของเขาที่ถือครองอยู่ บางทีสิ่งนี้อาจเป็นประโยชน์ในการช่วยตามหาท่านแม่อีกแรง
คล้อยหลังจัดการธุระเรื่องเซี่ยอี้เฉิงเสร็จสรรพ ก็ถึงเวลาที่ต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงภายในวังหลวงพอดิบพอดี ซึ่งองค์จักรพรรดิตงหลี่เองก็ส่งเกี้ยวรถม้าหรูหรามาเพื่อรับเซียถงเข้าวังเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งต้องอาศัยกำลังม้านับหลายสิบในการแบกเกี้ยวนี้ระหว่างทางเข้าวังหลวง นางก็ได้ยินเสียงประชาชนแห่สรรเสริญ เปล่งเสียงร้องตะโกนชื่อของนางอย่างคับคั่ง
ผู้คนบนท้องถนนตลอดสองข้างทาง ต่างเฝ้ามองเกี้ยวรถม้าหรูหราขนาดดโอฬารที่มีเซียถงโดยสารอยู่ภายในเคลื่อนเข้าสู่ภายในวังหลวง ทุกคนต่างตื่นตาตื่นใจ ดูมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง ท่ามกลางฝูงชนทั้งมวลมีความสุขทุกรูปแบบผสมเจือปน อนึ่ง ความสุขที่เซียถงคว้าอันดับหนึ่งในงานประลองสี่จักรวรรดิมาครอบครองได้สำเร็จ เพราะในที่สุดจักรวรรดิตงหลี่ก็สามารถชำระล้างความอัปยศที่ต้องแบกรับตลอดหลายสิบปีมาได้ และสิ่งที่เป็นเรื่องน่ายินดีที่สุดคือ ฝ่าบาทประกาศยกเลิกการเก็บภาษีเป็นเวลาครึ่งปีเต็ม ประชาชนทุกคนในตงหลี่จึงรู้สึกซาบซึ้งใจและต้องการขอบคุณเซียถงจากใจจริง
เมื่อมาถึงวังหลวง องค์จักรพรรดิตงหลี่ก็ได้นำเหล่าขุนนางทั้งหลายออกหน้ามาต้อนรับถึงหน้าประตูราชวัง และทันทีที่เซียถงก้าวลงมาจากรถม้า ก็เป็นองค์จักรพรรดิตงหลี่ที่อาสาเสด็จออกมาต้อนรับทักทายเป็นการส่วนตัว ยื่นมือจับประคองแขนของนางราวกับกลัวว่าจะสะดุดล้ม ราวกับเป็นพ่อคนหนึ่งที่มีใจเปี่ยมล้นไปด้วยความรัก เหล่าองค์ชายทั้งหลายที่ยืนอยู่ด้านหลัง และบรรดาองค์หญิงต่างจับจ้องด้วยความเคารพนับถือในตัวเซียถงกันถ้วนหน้า
งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นในโถงพระราชวังหลัก ขุนนางทุกภาคฝ่ายทั้งไม่ว่าจะเป็นฝั่งพลเรือนหรือการทหาร ทั้งหมดได้เข้าร่วมงานในครั้งนี้อย่างพร้อมเพรียง รวมไปถึงพวกเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายก็เช่นกัน ส่งผลให้งานเลี้ยงในครั้งนี้ดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างยิ่ง ตำแหน่งที่นั่งของเซียถงกล่าวได้ว่าเป็นจุดเด่นสูงสุดภายในงานเลี้ยงครั้งนี้ รอบข้างตัวนางในปัจจุบันเต็มไปด้วยเสียงชื่นชมและคำสรรเสริญทุกรูปแบบเท่าที่จะจินตนาการถึง ในขณะที่ไป๋หลี่เย่และไป๋หลีอวี๋อิง ได้แต่จับจ้องมองมาด้วยความเกลียดชังอย่างสุดซึ้ง ทว่าทั้งคู่กลับไม่สามารถทำอะไรได้เลย เพราะก่อนงานเลี้ยงจะเริ่มต้นขึ้น องค์จักรพรรดิตงหลี่เอ่ยปากตักเตือนทั้งสองอย่างค่อนข้างเอาจริงเอาจัง
ทางด้านไป๋หลี่หานกับเย่หลีเทียน วันนี้พวกเขาทั้งคู่ค่อนข้างแต่งองค์ทรงเครื่องจัดเต็มมิใช่น้อยเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงในครานี้ คนหนึ่งสวมชุดสีขาวบริสุทธิ์ประดุจหิมะ ส่วนอีกคนหนึ่งสวมชุดสีดำขลับดั่งน้ำหมึก เป็นสองขั้วที่ไม่ว่าจะเดินเหินไปที่ไหนต่างก็เรียกความสนใจของผู้คนโดยรอบได้ตลอด โดดเด่นราวกับแสงดาราเปล่งประกายระยิบระยับสองดวง ภายใต้บรรยากาศงานเลี้ยงที่แสนอบอุ่น ทั้งคู่ยืนอยู่คนละฟากฝั่งของกันและกัน ยืนจ้องหน้าพลางจิบสุราเฝ้าระวังกันอย่างเงียบๆ
หลังจากดื่มกินได้สักครู่ใหญ่ องค์จักรพรรดิก็ยกจอกสุราชูขึ้น ซึ่งเรียกความสนใจของผู้คนภายในงานได้เป็นอย่างดี ชำเลืองสายตามองไปทางไป๋หลี่อวี๋อิงที่นั่งอยู่มุมหนึ่งเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เปล่งเสียงป่าวประกาศขึ้นว่า
“งานเลี้ยงในวันนี้หาได้มีไว้สำหรับเซียถงแต่เพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นงานฉลองให้แก่บุตรสาวของข้าอีกด้วย!”
ทุกคนต่างปิดปากเงียบลงในบัดดล ต่างมุ่งความสนใจรวมไปทางไป๋หลี่อวี๋อิงโดยพร้อมเพรียง ตัดสลับหันมององค์จักพรรดิตงหลี่ เฝ้ารอสิ่งที่จะกล่าวต่อไป
เซียถงที่กำลังยกจอกสุราขึ้นริมจิบ ชำเลืองมองด้วยความสนอกสนใจเช่นกัน วันนี้องค์จักรพรรดิตงหลี่จะมาไม้ไหนอีก?
“พระอนุชาของข้าผู้นี้ก็ถึงวัยที่ต้องออกเรือนอภิเษกแล้วเช่นกัน และเขาเองก็สนใจในตัวบุตรสาวของข้ามาโดยตลอด เช่นนั้นแล้ว วันนี้ข้าขอฉลองให้กับงานอภิเษกระหว่างทั้งสอง!”
องค์จักรพรรดิตงหลี่ยกแก้วส่งให้ทางไป๋หลี่หานพร้อมพยักหน้า
ที่แท้ก็เป็นงานป่าวประกาศการอภิเษกสมรสระหว่างไป๋หลี่หานกับไป๋หลี่อวี๋อิงนี่เอง เซียถงนั่งริมจิบสุราในมือต่อไป พลางเคลื่อนสายตาจับจ้องไปทางไป๋หลี่หาน จับจ้องอีกฝ่ายด้วยความยินดีเล็กน้อย
ไป๋หลี่หานหาได้มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ กับท่าทีขององค์จักรพรรดิตงหลี่ที่มีต่อเขาไม่ และยังคงยกจอกสุราในมือดื่มต่อไป แต่เมื่อตระหนักได้ถึงสายตาของเซียถงที่กำลังจับจ้องมา เขาก็หันศีรษะสบมอง แต่จะเห็นก็เพียงรอยยิ้มบางๆ ที่เต็มไปด้วยความยินดีจากมุมปากของนางเท่านั้น