ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 378 พรมแดงที่ยอดยาว (2)
ตอนที่378 พรมแดงที่ยอดยาว (2)
ตอนที่378 พรมแดงที่ยอดยาว (2)
“อัปลักษณ์? ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ไป๋หลี่หานระเบิดหัวเราะเสียงลือลั่น ได้ยินประโยคคำถามนี้แล้วรู้สึกขำขันยิ่งนัก
“มองข้ามเรื่องที่เจ้าปกปิดโฉมหน้าที่แท้จริงไปได้เลย ต่อให้งดงามประดุจเทพธิดาแล้วเยี่ยงไร? ผ่านไปสักสิบปี ย่อมมีแต่รอยเหี่ยวย่น ไม่มีสิ่งใดอยู่เหนือไปกว่ากาลเวลา นักปราชญ์ที่แท้จริงหาใช่วัดจากหน้าตา รูปลักษณ์นั้นเพียงเปลือกนอก แต่ความงดงามจากภายในนี่แหละเป็นนิรันดร์ เซียถง กลับเป็นนิสัยจากภายในของเจ้าต่างหากที่ดึงดูดข้าผู้นี้ หาใช่หน้าตาของเจ้าไม่”
เซียถงพยักหน้ารับคำอย่างลับๆ ภายในหัวพลางคิดไปว่า ถึงแม้ไป๋หลี่หานกับองค์จักรพรรดิตงหลี่จะเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน แต่ในด้านความคิดและจิตใจของเขากลับสูงส่งยิ่งกว่าพี่ชายตัวเองมาก และก็เป็นเขาที่ดูจะเหมาะสมกับตำแหน่งกษัตริย์มากกว่า ไม่น่าแปลกใจเลย ที่เหตุใดองค์จักรพรรดิตงหลี่ถึงต้องการจะกำจัดไป๋หลี่หานทิ้งขนาดนั้น
ได้ยินเสียงหัวเราะรื่นดูแสนจริงใจของชายที่ดูด้านหลัง ทำให้เซียถงย้อนนึกถึงเรื่องราวที่ตกลงกันไว้กับเย่หลีเทียนก่อนหน้า นี่นางกล้าตกลงเป็นสายให้องค์จักรพรรดิตงหลี่ได้อย่างไรกัน? แค่คิดก็รู้สึกละอายใจจะแย่แล้ว
อาชาแกร่งสีแดงพาทั้งคู่ควบไปยังทางเหนือ ข้ามเมืองน้อยใหญ่พลุกพล่านผ่านออกไปอย่างรวดเร็ว เสียงกีบม้ากระทบพื้นดังสนั่นหวั่นไหวต่อเนื่อง ฝุ่นตลบอบอวล ข้ามประตูเมืองแล้วข้ามประตูเมืองเหล่า พุ่งทะยานผ่านออกไปประดุจฟ้าลั่น ไม่มีใครที่ไหนสามารถมองติดตามความเร็วของอาชาแกร่งสีแดงตนนี้ได้ทัน มันในปัจจุบันควบออกไปถึงเนินเขาอันแสนห่างไกลลูกหนึ่ง
พรมแดงพลิ้วยาวไสวดุจมังกรคดเคี้ยวมุ่งสู่หุบเขาทางเหนือแห่งหนึ่งอันไกลโพ้น และดูท่านี่จะเกินคำว่าสิบลี้ไปโขแล้ว คลื่นฝุ่นตลบลูกใหญ่ยังคงควบวิ่งตามทางบนพรมแดงไม่มีหยุดพัก จนกระทั่งถึงตีนภูเขาลูกหนึ่งที่สูงใหญ่ไพศาล อาชาแกร่งจึงค่อยหยุดฝีเท้าลง บริเวณโดยรอบหุบเขาสูงใหญ่ไพศาลแห่งนี้มีลมพายุโอบล้อมตลอดเวลา เสมือนมีปราการใบมีดที่พร้อมฉีกกระชากสรรพสิ่งให้เป็นชิ้นๆ ทุกเมื่อ หากพยายามมองให้จงดี มองออกไป ท่ามกลางหุบเขาสูงใหญ่สลักซับซ้อนกว่าหลายสิบลูกเบื้องหน้า จะมีหุบเขาอยู่ลูกหนึ่งที่มียอดสูงเสียดฟ้าอยู่ไกลโพ้นสุดขอบเส้นสายตา จะพอสังเกตเห็นหย่อมสีขาวเป็นกระจุกอยู่บนนั้น
“ลองดูสิ ตรงนั่นคือดินแดนอี้เฉิง”
ผ้าไหมเนื้อละเอียดนุ่มเคลื่อนลูบไล้ผ่านใบหน้าเซียถง ไป๋หลี่หานชี้นิ้วไปทางหย่อมสีขาวบนยอดเขาอันไกลโพ้นเบื้องหน้า
เซียถงเงยศีรษะมองไปที่หย่อมสีขาวจุดนั้นอย่างเงียบๆ บนนั้นราวกับว่าถูกตัดขาดจากทุกสรรพสิ่งบนผืนปฐพี แต่ในสายตาของนางแล้ว มันเป็นสถานที่ที่ดูสงบสันติอย่างบอกไม่ถูก ไม่มีคมดาบ ไม่มีสงคราม ไม่มีการหลั่งเลือด หรือกระทั่งสรมภูมิทางการเมืองใดๆ ก็แค่ดินแดนแห่งนี้ที่ปลีกวิเวกออกมาเพื่อต้องการความสงบเท่านั้น
ด้วยความแข็งแกร่งและเฉลียวฉลาดของไป๋หลี่หาน ทำเอาเซียถงอดคิดไม่ได้จริงๆ ว่า อีกฝ่ายชอบนางจริงๆ รึถึงอยากอภิเษกสมรสด้วยปานนี้? หรือกำลังวางแผนหลอกใช้นางเป็นตัวเบี้ยเพื่อจัดการกับองค์จักรพรรดิตงหลี่กันแน่? หรือเป็นไปได้…จะเป็นเพราะปรารถนาคัมภีร์วรยุทธ์ต่อสู้ลับในมือนาง? หรือต้องการมันทั้งสองอย่าง ปอปั้นตัวเองให้แกร่งกล้าและกล้ามาบุกยึดจักรวรรดิตงหลี่กลับคืนมา?
“ดินแดนอี้เฉิงแห่งนี้ปกคลุมไปด้วยหิมะตลอดทั้งปี อากาศค่อนข้างหนาวมาก และสภาพภูมิศาสตร์ค่อนข้างเลวร้าย มีหุบเขาหิมะล้อมรอบทุกทิศ จะมีข้อดีอย่างหนึ่งคือ ดินแดนอี้เฉิงสามารถปลูกบัวหิมะได้ตลอดทั้งปี ส่งผลให้กำลังการผลึกบัวหิมะของเราสูงกว่าเมืองอื่นๆ และก็เป็นบัวหิมะนี่แหละที่เป็นแหล่งรายได้หลักสำหรับดินแดนอี้เฉิง ฝ่าบาทมักจะเป็นกังวลเสมอว่า สักวันข้าจะกลับมาทวงคืนบัลลังก์คืนจากมือของเขา แต่ไม่เลย ข้ามิได้สนใจเรื่องพรรค์นั้น สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวของข้าตอนนี้คือ จะทำอย่างไรให้ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองอี้เฉิงดีขึ้นกว่านี้ เพียงต้องการให้พวกเขามีความสุขก็เท่านั้น”
ไป๋หลี่หานจับจ้องไปที่หย่อมสีขาวบนยอดเขาแห่งนั้น สีหน้าแววตาเปี่ยมล้นไปด้วยแววความปรารถนาจากใจจริง
“ข้าได้ยินมาว่า ตอนนี้ดินแดนอี้เฉินมั่งคั่งอย่างยิ่ง”
เซียถงเอ่ยถามออกไปคำหนึ่ง ทว่าภายในใจกลับรู้สึกสับสนอย่างยิ่ง นี่ไป๋หลี่หานพยายามจะจะซื้อใจนางอยู่หรือไม่? อาศัยวาจาที่สวยหรูของตนเพื่อหลอกใช้นางกำจัดองค์จักรพรรดิตงหลี่อยู่หรือไม่? เพราะไม่ว่าจะดูยังไง งานอภิเษกสมรสในครั้งนี้ก็น่าจะมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงอยู่
ไป๋หลี่หานกล่าวต่อ
“ถูกต้อง ตอนนี้ดีกว่าเมื่อก่อนมากแล้ว ในอดีตอี้เฉิงเป็นเพียงเมืองที่ถูกทิ้งร้าง ข้ายังจดจำได้แม่นยำ ตอนที่ข้ากับท่านแม่เดินทางไปถึงอี้เฉิงครั้งแรก ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังจะอดตายเพราะความยากจน กระทั่งอาหารต่อชีวิตอีกสักมื้อยังไม่มี ตอนนั้นพวกเราเองก็มีชีวิตที่ไม่สู่ดีนัก มีอยู่ครั้งหนึ่ง พวกเราได้รับอาหารพระราชทานที่ส่งตรงจากวังหลวงตงหลี่ ประชาชนทุกคนในอี้เฉิงต่างดีใจกันเป็นอย่างมาก กระทั่งข้าเองก็เช่นกัน แต่ใครจะไปรู้ ภายในอาหารพวกนั้นกลับมีแต่ยาพิษ ทั้งข้าและผู้คนกว่าอีกสามร้อยชีวิตเกือบตายในเหตุการณ์ครั้งนั้น”
ได้ฟังเช่นนั้น เซียถงรู้สึกสะเทือนใจมิใช่น้อย ไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ไป๋หลี่หานจะเคยมีช่วงเวลาวัยเด็กอันแสนน่าหดหู่ปานนี้ พอนางกำลังเหลียวหลังหันไปปลอบประโลมอีกฝ่าย ทันใดนั้นพลันต้องตกใจ
จากชื่อเสียงเรียงนามที่เคยได้ยิน ราชาหมาป่าสวรรค์ผู้นี้มีนิสัยใจคอโหดเหี้ยม กระหายเลือดและการฆ่าฟันเป็นที่สุด ทว่าแท้จริงแล้ว ในเวลานี้ดวงตาทั้งสองข้างภายใต้หน้ากากของเขากำลังแดงก่ำ
ไป๋หลี่หานเงยมองหย่อนสีขาวจุดนั้นบนยอดเขาแสนไกลไม่ห่างเหิน ยังกล่าวอีกว่า
“หลังจากเหตุการณ์ในตอนนั้น เพื่อมิให้ข้าและท่านแม่ต้องอดอยากปากแห้ง ขุนนางฝ่ายซ้ายท่านหนึ่งที่ถูกส่งให้มาประจำในอี้เฉิงก่อนหน้า ได้หักเสบียงอาหารของบุตรชายตัวเอง เพื่อให้ข้ากับท่านแม่ไม่อดตาย ชีวิตพวกเขาทั้งคู่ดีขึ้นมาเล็กน้อย ไม่เพียงแค่นั้น ทั้งที่ชาวเมืองอี้เฉิงอดยากแทบไม่มีจะกินกันอยู่แล้ว แต่เพื่อพวกเรา ทุกคนต่างพร้อมใจแบ่งปันเศษอาหารที่พอจะมีให้แก่พวกเราสม่ำเสมอ ดังนั้นข้าจึงสาบานกับตัวเองว่า สักวันหนึ่ง ข้าจะต้องทำให้อี้เฉิงเจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่ง ทั้งหมดก็เพื่อให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข”
“แล้วท่านก็ทำสำเร็จ ตอนนี้อี้เฉิงหาใช่เมืองที่ถูกทิ้งร้างอีกต่อไป และเป็นดินแดนที่มีระบบเศรษฐีที่ดีเยี่ยม ประชากรทุกคนต่างกินดีมีสุขกว่าเมื่อก่อนไม่รู้กี่สิบร้อยเท่า”
ไม่ว่าทุกคำพูดที่ไป๋หลี่หานกล่าวออกมา จะเป็นเพียงภาพมายาที่ใช้จูงใจนางหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่มิอาจปิดบังได้เลยก็คือ สายตาของเขาในทุกช่วงขณะที่กล่าวเล่าออกมา นั่นคือของจริง มันคือคาวมปีติยินดีที่ตนเองทำให้ชีวิตของทุกคนในอี้เฉิงดีขึ้น ดังนั้นแล้ว ด้วยจรรยาบรรณของตัวนางเอง ก็ควรต้องแสดงความเคารพในคุณงามความดีนี้เช่นกัน
มือข้างนั้นที่โอบกอดเอวของเซียถงเอาไว้กระชับแน่นขึ้นเล็กน้อย ไป๋หลี่หานค่อยๆ เอนหน้าอก กดทับแนบติดแผ่นหลังนางชิดแน่น เสียงกรามกระทบดังอยู่ข้างหู คางของเขาพิงพาดอยู่บนไหล่ขวาของนาง ลมหายใจนุ่มนวลและแผ่วเบาของชายหนุ่มถูกพ่นปะทะอยู่ช่วงลำคอระหงสีขาวผ่อง พร้อมเสียงที่หวานอ่อนนุ่มสุดแสน
“แต่อี้เฉิงยังไร้ซึ่งราชินีผู้ทรงธรรม”
ลมหายใจที่พ่นปะทะทำเอาเซียถงใจสั่นสะท้าน นางชำเลืองหน้าเหลียวเข้าสบสายตากับอีกฝ่ายเล็กน้อย กล่าวว่า
“แต่ข้าเป็นเพียงบุตรสาวของเสนาบดีคนหนึ่งเท่านั้น มิอาจนำพาประโยชน์ใดๆ มาสู่อี้เฉิงได้เพิ่มเติม หากท่านได้อภิเษกสมรสกับองค์หญิงแห่งซีฉิน หรือไม่ก็องค์หญิงแห่งตงหลี่ บางทีอาจนำมาประโยชน์ต่างๆ มากมายมาสู่ดินแดนอี้เฉิงแห่งนี้ได้มากกว่าข้าไม่รู้กี่ร้อยเท่า เช่นนั้นแล้ว เหตุใดท่านยังยืนกรานอภิเษกสมรสกับข้า?”
ดวงตาคู่นั้นของไป๋หลี่หาน สบมองกับหญิงสาวตรงหน้า
“เพราะข้าชอบเจ้าไง”
เสมือนกาลเวลาหยุดนิ่งไปชั่วขณะใหญ่ หัวใจดวงนี้เต้นช้าลงฉับพลัน ลมหายใจระสับระส่ายไม่เป็นจังหวะใดๆ เซียถงเร่งระงับอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดที่มีลง และเอ่ยถามต่อไปว่า
“แล้วท่านไม่กลัวเลยรึว่า บางทีข้าอาจเป็นเพียงตัวหมากที่องค์จักรพรรดิตงหลี่ใช้กำจัดท่าน?”
“ตัวหมาก?”
คนข้างหลังพลันเงียบลง
ผ่านไปสักครู่หนึ่ง พอไม่ได้ยินคำตอบใดๆ จากคนที่อยู่ข้างหลัง เซียถงจึงปรายสายตาหันข้างมอง
“องค์จักรพรรดิตงหลี่กลัวว่าท่าน…”
ทว่าก่อนที่นางจะพูดจบเสียด้วยซ้ำ จู่ๆ ไป๋หลี่หานก็สวมกอดนางจากด้านหลังทีหนึ่ง จากนั้นก็กระโดดลงจากหลังม้า เดินไปหยุดตรงขอบหน้าผา และชี้นิ้วไปที่หย่อมสีขาวบนยอดเขาไกลโพ้นและกล่าวขึ้นว่า
“ไม่สำคัญหรอกว่าเจ้าจะเป็นตัวหมากหรือเครื่องมือของใคร แต่ข้าคิดว่า เจ้าจะต้องตกหลุมรักดินแดนหิมะอย่างอี้เฉิงแน่นอน”