ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 379 เคียงสังสรรค์ในศาลา (1)
ตอนที่379 เคียงสังสรรค์ในศาลา (1)
ตอนที่379 เคียงสังสรรค์ในศาลา (1)
เซียถงทอดสายตามองตามที่อีกฝ่ายชี้นิ้ว ลอบฟังเสียงหัวใจเต้นแรงของตนเองที่สั่นไสวไม่เป็นจังหวะ
ไฉนนางถึงใจเต้นแรงปานนี้? จากที่เย็นชาไร้ความรู้สึก ทว่าตอนนี้กลับร้อนรุ่มเสมือนโดนลวก?
“เจ้าหาใช่ตัวหมากบนกระดานของใคร แต่เป็นพระชายาในอนาคตของข้าผู้นี้”
เขาเน้นคำว่า ‘พระชายา’ เป็นพิเศษ เหลียวหลังชำเลืองมองใบหน้าหญิงสาวที่อยู่ด้านหลัง ส่งสายตามองทะลุผ้าคลุมใบหน้าผืนนั้นเข้าไป จะแลเห็นไอความร้อนที่เห่อแดงออกมาจากบนผิวแก้มของนาง
“เจ้าดูนั่นสิ ขบวนแห่ทั้งหมดนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเจ้าแต่เพียงผู้เดียว”
ไป๋หลี่หานยกนิ้วขึ้นชี้อีกครั้ง เป็นเส้นทางพรมแดงอันคดเคี้ยวทอดยาวไปสู่เมืองเฟิงหลี่ที่ทั่งคู่เพิ่งผ่านมา เมื่อมองย้อนกลับไป พวกมันเปรียบเสมือนร่างมังกรสีแดงเพลิงที่เปล่งประกายตลอดเส้นทาง
ระหว่างทางยังมีโคมไฟสีแดงประดับประดาอยู่ทุกระเบียบนิ้ว เพียงเห็นก็พึงทราบ หากไม่ชอบกันจริงไม่มีวันทำเช่นนี้ออกมา
ข้างเคียงไม่ไกลจากกันนัก ปรากฏเป็นศาลาแห่งหนึ่ง ตกแต่งด้วยผ้าไหมสีแดงสดทั่วบริเวณ กระทั่งผืนป่าเคียงข้างยังมีโคมไฟสีแดงประดับประดาด้วยเช่นกัน ไป๋หลี่หานจูงมือเซียถงลงจากอาชาตนนั้น และเดินเข้าไปในศาลา ยกแขนเสื้อคลุมยาวของตนอาสาเช็ดถูเพื่อทำความสะอาดเก้าอี้ก่อนให้นางนั่งลง
สำหรับขบวนแห่พรมแดงยาวสุดลูกหูลูกตานี้ ทำให้เซียถงรู้สึกชั่งใจลังเลมิใช่น้อยเลย การที่อีกฝ่ายทำเพื่อนางถึงขนาดนี้ เพื่อต้องการหลอกใช้ หรือเพราะชอบนางจริงๆ?
“สภาพอากาศในอี้เฉิงค่อนข้างหนาวมาก มือเท้าของเจ้าอาจเป็นถูกแช่แข็งได้ง่ายๆ หากมิสวมสิ่งปกป้อง หลังจากนี้ข้าจะสั่งให้คนมาตัดชุดแบบฮั่นฝูฤดูหนาวให้กับรองเท้าคู่หนาๆ”
ไป๋หลี่หานนั่งลงอยู่ข้างนาง กุมมือเรียวบางของอีกฝ่ายเอาไว้เพื่อมอบความอบอุ่นให้ และแน่นอน ปฏิกิริยาแรกของเซียถงจะต้องขัดขืนพยายามดิ้นหนี แต่ผ่านไปสักพัก นางก็ค่อยๆ สงบลงไปเอง ปล่อยให้ไป๋หลี่หานกุมจับอยู่แบบนั้น
แผ่นมือใหญ่หนาของเขาที่กลัดกุม สามารถทำให้เรียวมือที่เย็นเยียบของนางอบอุ่นได้ในเวลาต่อมา
ด้วยความฝ่ามือไป๋หลี่หานที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ทำให้มือน้อยๆ ของนางถูกดห่อหุ้มปิดคลุมเอาไว้โดยสมบูรณ์ และแรกสัมผัสที่รู้สึกได้คือ ฝ่ามือของชายคนนี้มีผิวหยาบแข็งกระด้าง เต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลน้อยใหญ่ที่แห้งสนิทแข็งตัว แต่กลับแสดงให้เห็นถึงความอบอุ่นและทรงพลังในคราเดียว ชายคนนี้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากขนาดไหนบ้างในชีวิต? คิดได้ดังนั้น จิตใจเซียถงพลันรู้สึกสั่นไหวเช่นกัน
“สำหรับเรื่องสถานที่ท่านแม่ยายถูกลักพาตัวไป ข้าส่งคนออกไปสืบเสาะแล้ว อย่าห่วงไปเลย”
ไป๋หลี่หานกล่าวขึ้นอีกครา
ท่านแม่ยาย? ยังไม่แต่งงานปรองดองกันเสียด้วยซ้ำ กลับเรียกแม่ข้าเป็นท่านแม่ยายแล้ว? เอาจริงสิ? เซียถงขมวดคิ้วถักแน่น แต่ก็ห่ได้ปริปากกล่าวหักล้างขัดแย้งใดๆ สำหรับเรื่องเงื่อนไขที่นางตั้งเอาไว้อย่าง สินสอดทองหมั้นหมื่นกล่อง และขบวนแห่สิบลี้อย่างสมเกียรติ ไป๋หลี่หานก็ทำตามที่กำหนดไว้หมดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น การอภิเษกสมรสในครั้งนี้ยังเป็นพระราชโองการของจักรพรรดิตงหลี่โดยตรง สุดท้ายแล้ว นางจึงไม่มีเหตุผลอันใดให้ต้องปฏิเสธอีก
อย่างไรเสีย การที่นางมิได้ปฏิเสธการอภิเษกสมรสในครั้งนี้ จะไม่ได้หมายความว่า นางจะไม่หนีงานอภิเษก ตราบใดที่ค้นหาท่านแม่จนพบ เมื่อถึงเวลานั้น นางย่อมสามารถโดดงานอภิเษกสมรสหนีออกไปได้ตลอดเวลา และสิ่งที่นางต้องทำให้ขณะนี้คือ ปล่อยให้ไป๋หลี่หานตายใจไปก่อน ให้คิดว่านางยอมตายรังอยู่กับเขาแล้วจริงๆ จากนั้นจะเป็นอย่างไรค่อยว่ากันอีกที
เวลาเลยผ่านไปอย่างเงียบสงัด ไป๋หลี่หานวางแผนจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ในศาลาแห่งนี้แต่แรกแล้ว ดังนั้นไม่นานเกินรอ ก็มีคนรับใช้จำนวนหนึ่งยกอาหารมาจัดเรียงให้บนโต๊ะ ปล่อยให้นางลองลิ้มชิมรสชาติอาหารจานอร่อยเหล่านั้น
สำรับอาหารที่ปรุงออกมาในงานเลี้ยงย่อมๆ คราวนี้ มิได้ใหญ่โตปริมาณมากมายอันใด แต่ทุกจานล้วนแตกเป็นอาการจานหรูหรา หรือที่เรียกว่า สำลับมหาสมบัติทั้งแปดอย่าง ไม่เพียงแต่จะมีรสชาติอร่อย แต่ยังดีต่อสุขภาพและเสริมกำลังวังชาให้แก่ผู้ทาน หลังจากทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยความเรียบร้อยดี ไป๋หลี่หานก็ยกจอกสุราขึ้นริมจิบ หยิบยกเรื่องราวต่างๆ มาพูดคุยสนทนา ในฝั่งเซียถงก็จับตะเกียบชิมโน่นนี่อย่างละนิดละน้อยด้วยความระมัดระวังตัว พลางรับคำต่อบทสนทนาของอีกฝ่ายไป ซึ่งนางเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่า ไป๋หลี่หานจะพาตนมาที่นี่เพื่อรับประทานอาหารด้วยกัน
ผ่านไปครู่ใหญ่ ดวงตะวันใกล้ลับขอบฟ้าลง จานอาหารบนโต๊ะทั้งแปดอย่างถูกผลัดเปลี่ยนเอาออก แทนที่ด้วยจานผลไม้แกะสลักประณีตเป็นของหวานตบท้าย ทั้งสองนั่งพูดคุยกันอย่างสบายๆ ในศาลาแห่งนั้น กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ฟ้ามืดกลายเป็นค่ำคืนไปเสียแล้ว
แต่เริ่มเดิมที เซียถงตั้งใจจะอยู่นั่งฟังเฉยๆ เท่านั้น แต่ต่อมา แลเห็นว่า หลายประโยคคำพูดของอีกฝ่ายค่อนข้างมีแนวคิดและทัศนคติใกล้เคียงกับตน ส่งผลให้นางเริ่มสนใจโดยไม่รู้ตัว และนั่งคุยกันยาวในศาลาจนลืมเรื่องเวลาไปสนิท
จะเพิ่งรู้สึกตัวก็ตอนที่เหล่าคนรับใช้เดินเข้ามาจุดไฟโคมแขวนหน้าศาลาให้ เซียถงตกใจอย่างมากเมื่อตระหนักได้ว่า ยามนี้มันพลบค่ำดึกดื่นปานใดแล้ว ทางฝั่งไป๋หลี่หานยังคงนั่งดื่มสุราในจอกอย่างใจเย็น ตรงกันข้ามกับเซียถงที่เริ่มร้อนรนตกใจกับเวลาที่ไหล่ผ่านดั่งธารน้ำ เขารู้สึกไม่เบื่อเลยสักนิด แต่รู้สึกตัดสินใจถูกต้องอย่างยิ่งที่ตัดสินใจพานางมาที่นี่ แม้จะใช้เวลาโดยส่วนใหญ่หมดไปกับการพูดคุยปากเปล่า ทว่ากลับหาใช่ช่วงเวลาที่น่าเบื่อหน่ายใดๆ
“ท่านราชาหมาป่าสวรรค์ พาข้าที่นี่เพื่อรับประทานอาหารและสนทนาเพียงเท่านี้กระมัง? เช่นนั้น งานเลี้ยงเกรงว่าต้องจบลงแล้ว ข้ายังมีธุระสำคัญที่ต้องทำ คงไม่มีเวลาอยู่พูดคุยกับท่านต่อได้อีกแล้ว”
เซียถงกล่าวขึ้นพลางเงยหน้ามองฟ้าที่ยามนี้แปรเปลี่ยนเป็นคืนราตรี
ไป๋หลี่หานคลี่ยิ้ม ประกายตาภายใต้หน้ากาดสว่างไสว กล่าวอย่างมีความสุขขึ้นว่า
“ไม่เป็นไรเลย ไม่เป็นไร กลับเป็นตัวข้าที่ไม่คิดด้วยซ้ำว่า เจ้าจะอยู่คุยกันได้นานปานนี้ มันนานกว่าที่ข้าคาดหวังเอาไว้มาก”
ได้ฟังไป๋หลี่หานเอ่ยกล่าวออกมาเช่นนี้ เซียถงก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย จะว่าไปพวกเราทั้งคู่ก็อยู่พูดคุยกันนานจริงๆ หากไม่ใช่เพราะนางเหลือบไปเห็นคนรับใช้ที่เดินเข้ามาจุดโคมไฟให้ จวบจนตอนนี้ก็ยังไม่น่าจะรู้ตัวว่ามืดค่ำแล้ว
ภายในใจรู้สึกสับสนเล็กน้อย พยายามจะหาเหตุผลมารองรับเรื่องดังกล่าวที่เกิดขึ้น แต่ทันใดนั้น จู่ๆ ไป๋หลี่หานก็ลุกขึ้นมายืนอยู่ด้านหลังนาง ทั้งยังใช้สองมือมาปิดตาของนางอีก ตามมาด้วยเสียงกระซิบแผ่วอ่อนดังข้างหูขึ้นว่า
“หลับตาแล้วเดินตามมา ข้ามีบางสิ่งที่อยากให้เจ้าดู”
“กำลังเล่นตลกอะไรของท่าน? เอามือออกไป!”
เซียถงลุกขึ้นพรวดพราดขึ้นทันใด แต่ก็มิได้สะบัดมือของอีกฝ่ายทิ้งไปซะทีเดียว เพียงยืนตัวแข็งทื่อปั้นหน้าไม่พอใจเท่านั้น
“หุหุ นับหนึ่งถึงสิบก่อนสิ เดี๋ยวจะเปิดตาให้”
ไป๋หลี่ห่านยิ้มแย้มดูมีความสุขอย่างมาก
“หนึ่ง สอง สาม…”
เซียถงไม่พูดพล่ำไร้สาระอันใดอีก แต่กลับเอ่ยปากนับเลขออกมาตามที่เขาสั่งจริงๆ ทางฝั่งไป๋หลี่หานที่ยืนปิดตาอีกฝ่ายอยู่เบื้องหลัง ถึงกับเผยสีหน้าแววตาประหลาดใจออกมาเช่นกัน ใครจะอยากเชื่อสายตากันว่า เซียถงจะเชื่อฟังเขาและนับถอยหลังหนึ่งถึงสิบออกมาจริงๆ? อันที่จริง เมื่อครู่ ไป๋หลี่หานเกร็งร่างกายเตรียมรับแรงกระแทกจากนางไว้รออยู่แล้ว เพราะเชื่อว่า นางจะต้องขัดขืนและลงมือโจมตีใส่แน่นอน แต่ในตอนนี้ ทุกอย่างกลับไม่ใช่แบบนั้นแล้ว
เห็นเป็นดังนี้ ไป๋หลี่หานก็อดยิ้มกว้างออกมามิได้ สิ่งหนึ่งที่เขาสัมผัสได้อย่างชัดแจ้งเลยก็คือ เซียถงผู้เย็นชานางนี้ค่อยๆ เปลี่ยนไปแล้ว
เดินเข้ามาปิดหน้าปิดตานางเช่นนี้ นับเป็นการกระทำที่เสี่ยงชีวิตมาก แต่ปรากฏว่า ทุกอย่างกลับลงเอยจบได้อย่างดงาม
ระหว่างเซียถงนับถึงสิบ ไป๋หลี่หานก็ค่อยๆ พาร่างของนางเดินออกไปจากศาลา จนกระทั่งนับครบเสร็จสรรพ มือทั้งสองข้างของไป๋หลี่หานที่ปิดป้องดวงตาก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง และเซียถงถึงกับประหลาดใจในทันใด หุบเขาทั้งลูกที่อยู่เบื้องหน้าล้วนถูกปกคลุมไปด้วยโคมไฟสีแดงระยิบ จากผืนป่าบนหุบเขาที่มืดมิด กลายมาเป็นป่าแห่งแสงที่ส่องสว่างวิจิตรสายตา ราวกับเป็นดวงตะวันท่ามกลางค่ำคืนรัตติกาล
“เป็นอย่างไรบ้างกับขบวนแห่ที่ข้าจัดขึ้นตลอดทั้งวันนี้?”
ไป๋หลี่หานก้าวย่างเดินออกมา ยืนเคียงข้างเซียถงอยู่ที่ริมผาชี้ให้เห็นถึงความสวยสดงดงามของหุบเขาลูกตรงหน้า ที่ถูกประดับประดาด้วยโคมไฟสีแดงจำนวนนับไม่ถ้วนตลอดทุกช่วงเขา เซียถงทอดสายตามองติดตามที่อีกฝ่ายชี้นิ้ว เชยชมทัศนีย์แสนงดงามตระการตาเหล่านี้ไว้ในใจ
ขบวนแห่สิบลี้อย่างทรงเกียรติ? สิ่งที่นางได้รับในขณะนี้มันไปไกลกว่านั้นมาก!
ไป๋หลี่หานคงทุ่มเทความคิดและความพยายายามอย่างมหาศาลกับเจ้าสิ่งนี้กระมัง? และเหตุที่พามาถึงที่นี่ ก็เพื่อต้องการให้นางได้รับชมทัศนีย์ภาพอันงดงามฉากนี้?