ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 381 ขัดขวางเส้นทาง (1)
ตอนที่381 ขัดขวางเส้นทาง (1)
ตอนที่381 ขัดขวางเส้นทาง (1)
“ปรมาจารย์เสวี่ย! ไม่ได้ยินที่ข้าสั่งรึไง?!”
เห็นปฏิกิริยาแสนเมินเฉยเช่นนั้นของปรมาจารย์เสวี่ย ไป๋หลี่อวี๋อิงเริ่มมีน้ำโหเดือดดาลขึ้นบัดดล
“ตัวข้านั้นมีหน้าที่เพียงพิทักษ์ปกป้องความปลอดภัยของพวกท่านเท่านั้น ส่วนที่เหลือกลับไม่เกี่ยวข้องแล้ว”
ปรมาจารย์เสวี่ยนตอบกลับสั้นๆ โดยไม่แม้แต่เหลียวหลังกลับมอง
“เจ้า…”
ไป๋หลี่อวี๋อิงโกรธจัด พุ่งพรวดออกไปหวังใช้แส้เฆี่ยนใส่ปรมาจารย์เสวี่ยเป็นการสั่งสอน ทว่ากลับถูกไป๋หลี่เย่ห้ามปรามจับตัวไว้ได้ทัน ความหมายผ่านการกระทำของเขาค่อนข้างชัดเจน เขาไม่อยากให้ไป๋หลี่อวี๋อิงล้ำเส้นจนทำให้ปรมาจารย์เสวี่ยต้องขุ่นเคือง เห็นว่า ความหวังที่จะหยิบยืมความช่วยเหลือจากปรมาจารย์เสวี่ยกลับไร้ประโยชน์ เช่นนั้นไป๋หลี่อวี๋อิงจึงเงยหน้ามองไปยังระเบียงโรงเตี้ยมข้างเคียงไม่ไกลจากกันมาก บนนั้นมีชายหนุ่มผู้หนึ่งเฝ้ามองจากที่สูง แลเห็นว่านางมองมา จึงคลี่ยิ้มบางตอบกลับเบาๆ และนี่นก็ไม่ใช่ใครอื่น เย่หลีเทียนนั่นเอง
อาศัยแรงสนับสนุนจากเย่หลีเทียน ความมั่นใจของไป๋หลี่อวี๋อิงฟื้นคืนกลับมาอีกครั้งทันที นางหันไปชี้หน้าตะโคกใส่เซียถงเป็นคำรบสองอย่างหยิ่งผยองขึ้นว่า
“เซียถง! หากเจ้าแน่จริงก็จงเปิดผ้าคลุมออกมา! หมู่นี้มีข่าวลือจากนอกจักรวรรดิว่า เจ้าคือสตรีรูปงามอันดับหนึ่งแห่งทวีปเทียนหลาง เช่นนั้นแล้ว ข้า องค์หญิงผู้นี้อยากจะเชยชมโฉมหน้าของเจ้าเสียเหลือเกิน!”
“รูปโฉมของเซียถงคนนี้อัปลักษณ์น่ารังเกียจ กลัวว่าจะไม่เป็นที่ต้องตาขององค์หญิงเท่าไหร่นัก แทนที่จะมาหาเรื่องกันให้เสียเวลา สู้แยกย้ายกลับไปนอนเถอะ นี่ก็ดึกมากแล้ว”
“สาวหาว! ไอ้สวะเซียถง! ใครๆ ต่างก็ทราบ เจ้าคือหญิงอัปลักษณ์ หน้าตาก็ทั้งบัดซบและทุเรศ! แต่ทำตัวไร้ยางอาย เที่ยวไปหลอกลวงผู้คนทั่วผืนพิภพว่า ตัวเจ้านั้นงดงาม โทษของการหลอกลวงนับว่าร้ายแรง สมควรถูกประหารชีวิต!”
อาศัยแรงสนับสนุนของเย่หลีเทียน และปรมาจารย์เสวี่ยที่คอยเฝ้าปกป้องอยู่อย่างเงียบๆ ไป๋หลี่เย่ยิ่งได้ใจหนัก ตีตนสูงส่งทำดั่งว่าตัวเองเป็นผู้ชอบธรรม ใช้แขนซ้ายเพียงข้างเดียวที่เหลืออยู่ชักกระบี่ขึ้นมา กดคมหันเข้าใส่เซียถง
ทว่าอย่างไร เพียงเซียถงหรี่ตาลงเท่านั้น เสมือนมีไอเย็นยะเยือกพวยพุ่งออกมาจากดวงตาของนาง เข้าปะทะชนกับคมกระบี่ที่ไป๋หลี่เย่ลุจ่อเข้าใส่โดยตรง เมื่อเผชิญหน้ากับเย็นยะเยือกสุดหนาวเหน็บนี้ จู่ๆ มือซ้ายของเขาที่ถือจับกระบี่พลันเกิดอากาศสั่นเทาโดยมิรู้ตัว
ตอนนี้นางชักจะอารมณ์ไม่ดีจริงๆ แล้ว ต่อให้เป็นปรมาจารย์เสวี่ยก็เถอะ หากมีปัญญาหยุดได้ ก็จงหยุดนางให้ได้ก่อนจะลงมือสะบั้นศีรษะไป๋หลี่เย่ให้ทัน!
คลื่นพลังลมปราณอันทรงพลังระเบิดคลั่งปะทุออกมาจากร่างเซียถง กวาดล้างซัดพาสรรพสิ่งโดยรอบจนปลิวว่อนกระเด็นไปไกล อุณหภูมิโดยรอบรัศมีสี่ก้าวเสมือนถูกแช่แข็งในเสี้ยวพริบตา กระตุกเชือกคลุมบังเหียนอาชาแกร่งสีแดงอย่างแรง ควบฝุ่นตลบพุ่งเข้าใส่ทางไป๋หลี่อวี๋อิงและไป๋หลี่เย่ประดุจอัสนีบาด
กีบม้าตีฝุ่นตลบอบอวล เซียถงโน้มตัวไปข้างหน้า สองมือเกาะกุมบังเหียนเอาไว้แน่น ยิ่งพุ่งเข้าใกล้สองคนนั้นมากเท่าไหร่ ความเร็วฝีเท้าของอาชาก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นมากเท่านั้น ราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่ที่ถูกยิงออกมา
“เซียถง!! เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง!?”
ทั้งไป๋หลี่เย่และไป๋หลี่อวี๋อิงต่างหน้าถอดสีซีดเซียว เผชิญหน้ากับอาชาแกร่งกล้าตนนี้ที่พุ่งใส่ เป็นหรือตายกลับไม่กล้ารับประกัน
เม็ดฝุ่นตลบปะทะใบหน้าของพวกเขา มาพร้อมกับรัศมีแรงกดดันขุมใหญ่ที่กดร่างทั้งคู่เอาไว้มิให้ขยับเขยื้อนไปไหนได้
ไป๋หลี่เย่กัดฟันกรอด เม็ดเหงื่อเปียกชุ่มไปทั่วหน้าผาก เสี้ยวพริบตานั้น รีบชำเลืองหางตา เหลือบมองไปทางปรมาจารย์เสวี่ย แลเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังชักกระบี่ขึ้นจากฟัก ไป๋หลี่เย่ก็ค่อยอุ่นใจ พร้อมรอยยิ้มแสยะกว้างบนมุมปาก
ทางด้านไป๋หลี่อวี๋อิงเองก็เช่นกัน นางรีบหันขวับไปหาเย่หลีเทียนที่ยืนอยู่บนระเบียง หวังให้อีกฝ่ายออกโรงจัดการอะไรสักอย่างกับเซียถง และทันใดนั้น ก็สังเกตเห็นประกายคมสีเขียวสาดกะพริบแพรวพราวอยู่ในมืออีกฝ่าย ภายในใจของนางรู้สึกเป็นสุขไม่รู้จบ อาศัยความช่วยเหลือของอัครเสนาบดีเย่คนนี้ เซียถงก็เป็นเพียงเศษฝุ่นข้างทางเม็ดหนึ่งเท่านั้น
เหม่อมองอาชาคลั่งที่ควบเข้าใกล้เบื้องหน้า สองพี่น้องคู่นี้จับจ้องอย่างไม่เกรงกลัวใดๆ อีก
สังเกตเห็นทั้งเย่หลีเทียนและปรมาจารย์เสวี่ยที่เริ่มเคลื่อนไหว เซียถงยกมุมปากแสยะยิ้มออกมาเช่นกัน มีหรือนางจะไม่ทราบถึงความแข็งแกร่งของสองคนนี้? ถึงแม้พวกมันจะไม่สามารถสังหารนางได้ แต่กลับสร้างปัญหาให้ได้ไม่น้อยเลย การจะต้องสัประยุทธ์รับมือกับสองคนนี้ในเวลาเดียว นับเป็นเรื่องที่สาหัสเอาการ และอย่าลืมไปเสีย ทั้งเย่หลีเทียนกับปรมาจารย์เสวี่ยต่างเป็นยอดฝีมือขอบเขตราชันย์ม่วงด้วยกันทั้งคู่ ยิ่งไปกว่านั้น ระดับชั้นย่อยก็ยังอยู่สูงกว่านาง
อาชาแกร่งตีฝีเท้าเข้าใกล้เข้ามาทุกที ในเวลานี้ ปรมาจารย์เสวี่ยปรากฏกายขึ้นปิดกั้นอยู่ตรงหน้าแล้ว พร้อมตั้งท่าปราการกระบี่เตรียมรับมือ ในขณะที่จากทางไกล เย่หลีเทียนก็กำลังเล็งเข็มพิษไปที่ศีรษะของอาชาตนนั้นแล้วเช่นกัน
ทั้งไป๋หลี่เย่และไป๋หลี่อวี๋อิงต่างแสยะยิ้มมุมปากดูมีความสุขยิ่งยวด ตราบใดที่ปรมาจารย์เสวี่ยและเย่หลีเทียนมีโอกาสลงมือ พวกเขาย่อมต้องสำแดงใช้กระบวนโจมตีที่รุนแรงและเด็ดขาดที่สุด เพื่อปลิดชีพเซียถงในคราเดียว
อาชาแกร่งสีแดงคลั่งตนนั้นที่วิ่งเข้ามาใกล้เต็มทน จู่ๆ มันก็ชะงักหยุดฝีเท้าฉับพลันโดยไม่ทราบสาเหตุ พร้อมยกกีบเท้าหน้าขึ้นสูงชูขึ้นฟ้า เนื่องด้วยมันหยุดวิ่งกะทันหัน ทำให้ร่างเซียถงบนนั้นเสียศูนย์ชั่วขณะ ร่างปลิวกระเด็นออกมาจากบนหลังม้าโดยตรง
ชั่วขณะที่เซียถงตัวปลิวออกจากหลังม้า ทันใดนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาฉกฉวยกลางอากาศ มือข้างหนึ่งโอบเอวของนางไว้แน่น และใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่เอื้อมคว้าจับบังเหียน ใช้ประโยชน์จากแรงเหวี่ยงพลิกตัวกลับมานั่งประทับลงหลังม้า โดยในอ้อมแขนกำลังกอดกุมเซียถงเอาไว้อยู่
นางปรับท่าทางขยับไปมาเล็กน้อย เพื่อให้นั่งสะดวกเข้าที่ขึ้น ขยำอกเสื้อของชายหนุ่มที่โผล่มาช่วยไว้แน่นจนยับยู่ยี่ กระจ่างแจ้งดีว่าใครเสนอหน้ามาช่วยเหลือ เซียถงเงยศีรษะมองค้อนใส่ไป๋หลี่หาน เอ่ยถามประชดประชันขึ้นคำหนึ่งว่า
“นี่แกล้งให้ข้าดูโง่รึเยี่ยงไร?”
“ไยถึงกล่าวเช่นนี้?”
ไป๋หลี่หานเปลี่ยนไปคุมบังเหียนม้าด้วยสองมือ
“ก็จริงไหมล่ะ? ไฉนจู่ๆ ถึงหยุดม้า?”
เสี้ยวพริบตาที่นางกระเด็นออกจากหลังม้า นางกลั้นหายใจลุ้นแทบตาย
ไป๋หลี่หานระหัวเราะคิกคักเบาๆ กล่าวว่า
“นี่เจ้าโกรธเพราะคิดว่า ข้ากำลังเข้าช่วยพวกนั้นกระมัง?”
“ไม่ว่าจะช่วยใคร มันก็หาใช่เรื่องของเจ้าที่ต้องยุ่ง!”
เซียถงสะบัดหน้าหนีด้วยความไม่พอใจ
เหม่อมองไปที่หญิงสาวตรงหน้า ปรากฏเป็น รอยยิ้มแจ่มใสพราวประกายอัดแน่นอยู่ในดวงตาของไป๋หลี่หาน แต่เพียงเสี้ยวอึดใจเท่านั้น กลับเหลือแค่แววความหนาวเหน็บและเย็นชา เมื่อมองผ่านจับจ้องไปทางไป๋หลี่อวี๋อิงและไป๋หลี่เย่ที่ยืนอยู่ตรงนั้น ปริปากเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า
“ข้าผู้นี้กำลังส่งพระชายากลับจวน องค์รัชทยาทและองค์หญิงเชิญหลีกทาง”
ถึงแม้ระดับน้ำเสียงจะแผ่วอ่อนระเมียดหูบางเบา ทว่ารัศมีความน่าเกรงขามที่ปลดปล่อยออกมา ช่างทรงพลังมิอาจต้านทาน
ไป๋หลี่อวี๋อิงและไป๋หลี่เย่มองหน้าสบตากันครู่หนึ่ง ก่อนจะหดคอห่อไหล่ แทบจะขอยอมแพ้ในทันที
แต่ก็เป็นไป๋หลี่อวี๋อิงที่ยังหัวรั้นไม่ยอม นางจ้องหน้าไป๋หลี่หานตาเขม็งด้วยความโกรธและกล่าวว่า
“เสด็จอา! ตอนนี้หลานเชื่อแล้วว่า นางคือพระชายาในอนาคตที่ท่านรักจากใจจริง แต่จะให้ปิดบังใบหน้าเฉกเช่นนี้ไปถึงเมื่อใด? ทั้งหลานของท่านคนนี้และประชาชนทุกคนล้วนกังขาสงสัยเกี่ยวกับโฉมหน้าที่แท้จริงของนาง!”
อาศัยฐานะที่ตนเองเป็นถึงราชาโอสถ ไป๋หลี่อวี๋อิงไม่หาได้กลัวเกรงไป๋หลี่หานจนหัวหดอย่างไป๋หลี่เย่
เพราะนางทราบดี แม่ของเสด็จอากำลังป่วยหนัก ดังนั้นเขาจำเป็นจะต้องพึ่งพาความสามารถด้านการหลอมกลั่นโอสถของนาง!
“ชะ-ใช่แล้วเสร็จอา! ใครที่ไหนก็ย่อมทราบ เซียถงเป็นหญิงอัปลักณ์อันดับหนึ่งแห่งตงหลี่ แล้วนางก็ไม่คู่ควรกับท่านเลยแม้สักนิด มีครั้งหนึ่งเคยได้ยินมาว่า หากสามารถรักษาจุดด่างดำบนใบหน้าของนางได้ทั้งหมด นางจะกลายมาเป็นสตรีรูปงามถล่มเมือง กระทั่งเสด็จพ่อของพวกเราเองก็เชื่อเช่นนั้น แต่เพราะเป็นเช่นนี้แหละ พวกเราจึงยิ่งรู้สึกสงสัยเข้าไปใหญ่ ถือเสียว่าช่วยคลายข้อสงสัยให้พวกเราและบรรดาปวงชนทั้งหลาย โปรดถอดผ้าคลุมหน้าของนางให้ดูทีเถิด”
ไป๋หลี่เย่รีบหยิบยกชื่อองค์จักรพรรดิตงหลี่ออกมาบังหน้าทันที แต่ถึงแบบนั้น เขาก็ยังไม่ความมั่นใจเท่าที่ควรระหว่างเอ่ยอธิบายออกมา ทั้งยังดูขี้ขลาดกว่าน้องสาวตัวเองเสียด้วยซ้ำ