ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 385 สายลับจากซีฉิน (1)
ตอนที่385 สายลับจากซีฉิน (1)
ตอนที่385 สายลับจากซีฉิน (1)
หยุนซีขยับนั่งข้างเซียถงเร่งช่วยค้นหาอีกแรง และในไม่ช้าทั้งสองก็พบตัวอักษรเดียวกันที่อยู่ในทั้งกระดาษแผ่นนั้นและเอกสารสำเนาเก่าใบนี้
ทั้งการลงน้ำหนักและหางเส้นตวัด ล้วนเหมือนกันทุกประการ
“ตาแก่นั่นเป็นสายลับของพวกซีฉินที่แฝงตัวอยู่ในตงหลี่จริงๆ หรือนี่? น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!”
หยุนซีดูมีทีท่าประหลาดใจอย่างมาก ขณะเปียบลายมือชนิดตัวต่อตัว
“ดูท่าจะไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าคณบดีแห่งสถานศึกษาเซิงหลิงอีกแล้วจริงๆ คนที่สามารถเข้าถึงความลับเกือบทุกอย่างในตงหลี่ได้ จำต้องหาใช่คนธรรมดาทั่วไป และท่านคณบดีก็ดูเข้าเค้าที่สุด บรรดาผู้ทรงอิทธิพลในตงหลี่มากมาย ล้วนต้องการส่งลูกหลานตนเองเข้าศึกษาที่นี่ จึงตีสนิทเข้าหาเพื่อติดสินบน ทั้งในด้านทุนทรัพย์ก็ดี ในด้านข้อมูลก็ดี ส่งผลให้ในมือของท่านคณบดีกุมจุดอ่อนและความลับของผู้คนมากมาย”
เซียถงคำรนสบถเย้ยเยาะ
แน่นอน ท่านคณบดีเคราขาวย่อมทราบ จุดอ่อนของนางก็คือท่านแม่ เพราะเช่นนี้จึงดำเนินการลักพาตัวไป
“นี่…ทำให้ข้านึกถึงคดีปริศนาเรื่องหนึ่งได้! ประมาณสองสามปีก่อน มีนักเรียนผู้มากพรสวรรค์คนหนึ่งในสถานศึกษาหายตัวไปอย่างลึกลับ หรือเป็นไปได้ไหม เขาจะถูกตาแก่นั่นสังหารทิ้ง?”
พอนึกถึงคดีการหายตัวไปอย่างปริศนาของนักเรียนคนนั้น หยุนซีเนื้อตัวสั่นเทาขึ้นทันใด
“เคยมีเรื่องลึกลับเช่นนี้เกิดขึ้นในสถานศึกษาด้วย?”
เซียถงเลิกคิ้วประหลาดใจ หากเรื่องเป็นเฉกเช่นนั้นจริง ท่านคณบดีจะใจกล้าเกินไปหน่อยรึไหม?
“ถูกต้อง คงเคยได้ยินใช่หรือไม่ว่า มักจะมีกลุ่มนักเรียนในสถานศึกษา ลอบเข้าไปในเขตต้องห้ามของป่าสนด้านหลัง? บ้างพลาดท่าถูกสัตว์อสูรจับกินก็มี ดังนั้นในช่วงปีก่อน จึงมีนโยบายคุมเข้มเรื่องการเข้าออกป่าสนหลังสถานศึกษามากยิ่งขึ้น จะไปได้ก็ต่อเมื่อมีอาจารย์ประจำวิชาติดตามไปด้วยเท่านั้น ซึ่งประมาณสองสามปีก่อน มีนักเรียนคนหนึ่งหายตัวไปโดยไม่ทราบสาเหตุ จนแล้วจนรอด ก็ไปพบศพที่เหลือครึ่งท่อนของนักเรียนคนนั้นในเขตต้องห้ามของป่าแห่งนั้น ทุกคนจึงลงความเห็นกันว่า น่าจะถูกสัตว์อสูรฆ่าตาย แต่ตอนนั้น ข้ากลับคนเดียวที่สงสัยว่า แท้จริงแล้วเขาอาจจะถูกลอบสังหาร และโดนคนร้ายหั่นร่างออกไปครึ่งหนึ่งเพื่ออำพราง แสร้งทำเหมือนว่าเป็นฝีมือของสัตว์อสูรแถวนั้น”
“แล้วไฉนท่านถึงสงสัยเช่นนั้น?”
เซียถงเอ่ยถาม
“ง่ายมาก เพราะข้ารู้จักนักเรียนคนนั้นดี และคนอย่างเขาไม่มีทางเข้าป่าหลังสถานศึกษาแน่นอน”
หยุนซีเก็บสำเนาเอกสารกลับเข้าซองหนังวัวดังเดิม หันมาเอ่ยถามกับเซียถงต่อว่า
“แล้วเจ้าจะทำยังไงต่อ? บุกไปหาตาแก่นั่น หรือวานให้คนอื่นช่วยเหลืออีกแรง?”
เซียถงส่ายหัว
“น้ำหนักของหลักฐานยังเบาเกินกว่าจะเอาผิดได้ว่า ท่านคณบดีเป็นสายลับของพวกซีฉิน ดังนั้น ศิษย์จะลองลอบติดตามอีกฝ่ายดูก่อนสักระยะ เผื่อว่าจะได้หลักฐานอะไรเพิ่มเติม”
หยุนซีคลี่ยิ้มพลางยกมือตบไหล่เซียถงเบาๆ และกล่าวขึ้นว่า
“อืม คิดได้เช่นนี้ก็ดี ตาแก่นั่นแฝงตัวอยู่ในสถานศึกษาเซิงหลิงมาก็นานหลายปีแล้ว และเราแทบไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายเลย หากรีบเปิดหน้าไพ่ตอนนี้ เกรงว่าโอกาสล้มเหลวสูงมาก จะอย่างไรก็ลองตีเนียนทำเป็นไม่รู้เรื่อง เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ ก่อนจะดีกว่า”
หลังจากเก็บของจัดเอกสารกลับเข้าที่เสร็จสิ้น ทั้งคู่ก็มุ่งหน้าออกไป เรือนพักอาศัยของคณบดีค่อนข้างปลีกวิเวกเงียบสงบ ทั้งยังเป็นเรือนพักเดียวที่อยู่ห่างไกลจากตัวสถานศึกษามากที่สุด บริเวณนั้นมีป่าพุ่มพฤกษาปิดล้อมรอบเรือนพักของคณบดี แลดูคล้ายกับสวนส่วนตัว เซียถงเสาะพบต้นไม้ขนาดใหญ่ต้นหนึ่งที่ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก จึงตัดสินใจใช้ต้นนี้เพื่อปักหลักเฝ้าสังเกตการณ์
ต้นไม้ใหญ่ตนนี้ค่อนข้างสูงใหญ่เสียดฟ้า และก็มิได้ดูโดดเด่นจนเกินไปเมื่อเทียบกับต้นอื่นๆ โดยรอบ นางกับหยุนซีค่อยๆ ใช้สองเท้ากับอีกสองมือปีนป่ายขึ้นไปซ่อนอยู่ในกลางดงพุ่มใบไม้สีเขียวขจี เล็งหาตำแหน่งปักหลักนั่งเฝ้าที่สังเกตการณ์ได้ง่ายที่สุด จากนั้นจึงค่อยๆ นั่งหย่องปัดกวาดพุ่มไม้ลง และทอดสายตาซุ่มมองทุกการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นภายในตัวเรือนพักแห่งนั้น ด้านหน้าเรือนพักเป็นสนามหญ้า อิฐสีแสดถูกจัดเรียงยาวเป็นทางเดิน ขนาบสองด้านเต็มไปด้วยกระถางสมุนไพรนานาชนิด หลายหลากสีสันละลานตา ให้ความรู้สึกทั้งสงบใจและสวยงามในเวลาเดียวกัน
มองผ่านหน้าต่างบานน้อยทะลุตัวเรือน เซียถงเห็นคณบดีเคราขาวในเสื้อคลุมสีขาวล้วน กำลังนั่งฝึกเขียนลายมือ คัดอักษรพู่กันลงบนผ้าใบกระดาษแผ่นใหญ่อย่างสงบนิ่ง
เซียถงเห็นดังนั้นรู้สึกทึ่งมิใช่น้อย และจู่ ๆ นางก็ได้ยินเสียงกระซิบข้างหูแสนแผ่วเบาจากเคียงข้าง เมื่อชำเลืองมองกลับไป ปรากฏว่าเป็นหยุนซีที่นั่งหย่องอยู่ไม่ห่าง เอ่ยเสียงทุ้มต่ำพร้อมรอยยิ้มขึ้นว่า
“เซียถง ข้าเคยเห็นนักเรียนที่รู้จักตายต่อหน้าก็หลายคราแล้ว เกรงว่าครั้งนี้เอง หากตาแก่นั่นจับได้ เจ้าต้องตายอีกคนเป็นแน่ เช่นนั้นข้าจะคอยอยู่เฝ้าอีกแรง”
ได้ยินเช่นนั้น เซียถงรู้สึกซาบซึ้งใจมิใช่น้อย ยิ้มตอบอย่างอบอุ่นว่า
“ขอบพระคุณท่าน…”
“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อน มิใช่ว่าข้าอาสาช่วยเหลือโดยไม่คิดสักแดง เห็นแก่ที่สนิทกัน คิดเงินเจ้าแค่หนึ่งหมื่นเหรียญทองพอ ถือซะเป็นค่าล่วงเวลาการสอน”
แบฝ่ามือสีขาวผ่องยื่นเหยียดออกไป หยุนซีเอ่ยขัดจังหวะเซียถงในทันใด ทั้งยังกระดิกนิ้วต่อเนื่องเรียกรายเงิน
หนึ่งหมื่นเหรียญทอง? แพงเกินไปไหม!? ในที่สุดหยุนซีคนดีคนเดิมที่สุดแสนจะขี้เหนียวและบ้าเงินก็กลับมา โชคยังดีที่ตอนนี้ เซียถงมิได้ขาดแคลนเรื่องเงินทองเท่าไหร่แล้ว เช่นนั้นจึงขมวดคิ้ว จำใจพยักหน้าตอบช่วยไม่ได้
“อย่าทำหน้าเศร้าปานนั้นสิ สินสอดทองหมั้นที่ราชาหมาป่าสวรรค์มอบแก่เจ้าก็ตั้งหมื่นกล่อง ตีเป็นมูลค่าไม่รู้กี่สิบล้านเหรียญทอง! มากเกินพอแล้วสำหรับให้เจ้ากินหรูอยู่สบายไปชั่วชีวิต! กับแค่เศษเงินหมื่นเหรียญอย่าได้ขี้เหนียวไปหน่อยเลย!”
หยุนซีหัวเราะยิ้มเยาะ พลางตบไหล่เซียถงเบาๆ ทีหนึ่งปลอบใจอีกฝ่าย จากนั้นค่อยยกมือกวาดพุ่มไม้เบื้องหน้า ชะโงกศีรษะเล็กน้อยเพื่อเฝ้าสังเกตการณ์ต่อไป
“อาจารย์หยุนซี เคยเห็นเขาทำอะไรแปลกๆ บ้างหรือไม่? แล้วระดับพลังลมปราณของเขาอยู่ในขอบเขตใดกัน?”
เซียถปริปากถามขึ้นคำหนึ่ง ขณะที่สายตาก็ยังมุ่งจับจ้องสังเกตการณ์
“ข้าอยู่สถานศึกษาเซิงหลิงมาก็หลายปีแล้ว แต่ก็ไม่เคยเห็นคตาแก่นั่นมีท่าทีผิดแปลกใดๆ เลย นอกจากมีหน้าที่ตรวจสอบคุณสมบัติของบรรดานักเรียนใหม่ในแต่ละปี ก็เห็นเอาแต่อยู่ติดบ้านติดเรือน นั่งฝึกคัดลายมือ ไม่ก็รดน้ำต้นไม้อย่างเดียว”
จงใจปลีกวิเวกหาความสงบ ทำตัวไม่ให้โดดเด่นสะดุดตา? เพราะแบบนี้เอง ตลอดหลายปีที่แฝงตัวอยู่ในตงหลี่จึงไม่มีใครจัดตัวเขาได้?
ซึ่งมันเป็นอย่างที่หยุนซีบอกไว้จริงๆ คณบดีอยู่ติดบ้านทั้งวันไม่ได้ออกไปไหนเลย ไม่ฝึกคัดลายมือก็ออกมารดน้ำต้นไม้ใบหญ้าในสวน เป็นพวกมีทัศนคติไม่สนโลกใดๆ เสมือนตัดขาดโดยสิ้นเชิง เซียถงและหยุนซีต่างนั่งเฝ้าอยู่แบบนั้นทั้งวัน แต่ก็ไม่เห็นคณบดีเคราขาวมีพฤติกรรมผิดปกติใดๆ เลย
เห็นว่าดวงตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว คณบดีเคราขาวจึงดับเทียนและเข้านอนไป หยุนซีนั่งขบเคี้ยวใบไม้แถวนั้นเล่นไปพลางแก้เบื่อ หันมาเอ่ยถามเซียถงว่า
“เซียถง หรือเราจะสันนิษฐานอะไรผิดไป? ก็เฝ้าดูพฤติกรรมของตาแก่นี่มาทั้งวันแล้ว ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติเลย หากแม่ของเจ้าถูกขังอยู่ที่นี่จริงๆ เขาน่าจะต้องหาอาหารเย็นให้นางทานแล้วสิ?”
“แต่เบาะแสเดียวที่ข้ามีในตอนนี้ก็คือท่านคณบดี ยังไงก็ต้องเฝ้าสังเกตการณ์ต่อไป ศิษย์ไม่เชื่อว่า อีกฝ่ายจะทำตัวปกติเช่นนี้ได้ตลอด”
เซียถงกล่าวตอบน้ำเสียงหนักแน่น เฝ้าสังเกตการณ์ต่อไปอย่างใจเย็นไม่รีบร้อนใดๆ
“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นคอยดูไปก่อน ข้าจะไปหาอะไรให้กิน” หยุนซีกระโดดลงจากต้นไม้ออกไปทันที
ตกดึกค่ำคืนนั้น หยุนซีกลับขึ้นมาที่ต้นไม้พร้อมกับถุงซาลาเปาใบหนึ่ง เซียถงเฝ้าสังเกตการณ์อยู่บนกิ่งไม้ เคี้ยวซาลาเปาในมือไปพลาง หลังจากกินไปสักลูกสองลูก นางรู้สึกอิ่มท้องขึ้นมาก โยนซาลาเปาชิ้นที่เหลือส่งคืนให้หยุนซี และกล่าวขึ้นว่า
“น่าจะต้องมีห้องลับในเรือนพักของท่านคณบดีแน่นอน พอรุ่งสาง อาจารย์หยุนซีลองคิดหาวิธีชวนอีกฝ่ายออกไปดู แล้วศิษย์จะลอบเข้าไปตรวจสอบภายในเรือนหลังนั้นเอง”
หยุนซีพยักหน้าตอบ เอาตัวพิงพักบนลำต้นในมือถือซาลาเปา หยิบขึ้นขบเคี้ยวบ้างเป็นระยะพลางแก้เซ็ง ส่วนด้านเซียถงก็ยังพยายามกวาดสายตาสำรวจทั่วห้องนอนของคณบดี
ทว่าตอนนี้เทียนไขทุกเล่มถูกดับจนหมดแล้ว ภายในห้องมืดมิดหน้าต่างยังถูกปิดอีกด้วย ต่อให้มีห้องลับซ่อนอยู่จริง นางก็ไม่มีทางมองเห็นได้เลยว่า คณบดีเคราขาวในเวลานี้กำลังทำอะไรอยู่