ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 387 ห้องลับ (1)
ตอนที่387 ห้องลับ (1)
ตอนที่387 ห้องลับ (1)
ไป๋หลี่หานพยักหน้าตกลง สิบเท้าขึ้นหน้าก้าวใหญ่ เอนตัวเข้าโอบเอวเซียถงราวกับงูเลื่อย กระซิบเสียงแผ่วเบาข้างหูว่า
“กลัวคนได้ยินกระมัง? เช่นนั้นระยะนี้เพียงพอหรือไม่?”
เซียถงหยุดชะงักแข็งทื่อเป็นหิน มือขวาชูขึ้นสูงพร้อมกางนิ้วทั้งห้าเข้าตะปบใส่หน้าอกของอีกฝ่ายทั้งแรงและเร็วประดุจสายฟ้า หวังตบฝ่ามือฟาดใส่ให้กระอักเลือดสดคำโต พร้อมสบถเสียงเย็นขึ้นว่า
“ประทานโทษท่านราชาหมาป่าสวรรค์ มือไม้กลับไร้ตา เผลอลั่นใส่กลางอกของท่านเสียได้”
“หุหุ เจตนาฆ่าสามีตนเองทิ้ง มีโทษถึงขั้นประหารเชียว เจ้าพึงทราบ?”
ไป๋หลี่หานระเบิดหัวเราะคิกคัก ถอยกรูออกห่างหลบเลี่ยงฝ่ามือเพชฌฆาตของเซียถงได้อย่างหวุดหวิด
ถูกอีกฝ่ายเย้าหยอกกลั่นแกล้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ เซียถงย่อมหัวเสียเกินระงับเป็นธรรมดา นางเลิกคิ้วกระตุกขึ้นเล็กน้อย ปรากฏว่า ราชาหมาป่าสวรรค์ผู้นี้โหดเหี้ยมอำมหิตดั่งที่ร่ำลือ หรือเพราะมีนิสัยกวนบาทาเท่านั้น?
“มีสิ่งใดบ้างที่ข้าผู้นี้ช่วยเหลือเจ้าได้?”
ไป๋หลี่หานตัดเข้าเนื้อหาหลักเปลี่ยนอารมณ์ในทันใด เพราะกลัวว่าเซียถงจะหัวเสียจนเลิกพึ่งเขาไปเสียก่อน
“ข้ากำลังสงสัยว่า ท่านคณบดีเคราขาวของสถานศึกษาเซิงหลิงเป็นคนลักพาตัวท่านแม่ข้าไป ตอนนี้จึงต้องการลอบเร้นเข้าไปสำรวจภายในเรือนพักอาศัยของเขาดูสักตั้ง ท่านแม่ข้าอาจถูกกักขังอยู่สักที่ภายในนั้น อยากให้ท่านเบี่ยงความสนใจ พาเขาออกห่างจากเรือนพักให้ได้มากที่สุด”
เซียถงกล่าวเข้าเรื่องกล่าวอธิบายทันที ซึ่งแผนการตีเนียนมิให้นางหัวเสียของไป๋หลี่หานดูท่าจะสำเร็จด้วยดี เจ้าตัวพยักหน้าทำเนียน ค่อยๆ เอื้อมมือไปโอบเอวของนางอีกครา แต่เสี้ยวพริบตานั้นเอง ครั้งนี้หาใช่เพียงฝ่ามือ แต่เป็นคมมีดมาทั้งแท่งที่ลุจ่ออยู่ที่กลางอกของเขา มาพร้อมกับรัศมีแรงดันสุดน่าสะพรึงขุมใหญ่ที่เข้ากดขี่
คมมีดสีเย็นสาดสะท้อนเป็นประกายเย็นเยียบ เซียถงค่อยๆ เพิ่มแรงกดเข้าชิดจ่อที่กลางอกของไป๋หลี่หาน ยามนี้ชักจะหงุดหงิดกันทีท่ากวนประสาท นางจึงปริปากกล่าวขึ้นวาจาหนึ่ง
“ท่านราชาหมาป่า อยากลองชิมเลือดตัวเองดูหรือไม่?”
ไป๋หลี่หานตาเป็นประกายระยิบระยับ มิเพียงจะไม่ถอยห่างแต่ยังขยับตัวเข้าชิดใกล้เซียถงมากขึ้น ปลายคมมีดเสียบแทงกินผิวเนื้อหน้าอกเข้าไปเล็กน้อย หยาดเลือดสีแดงสดไหลเอ่อล้น ซึมซาบเนื้อผ้าพริบานกลายเป็นลวดลายดอกโบตั๋นสีแดงเบ่งบานสวยงาม
ปฏิกิริยาตอบสนองของเขาหลังจากได้ยินคำกล่าวของเซียถง ค่อนข้างเรียบเฉยมาก ราวกับว่ารู้เรื่องนี้มาก่อนอยู่แล้ว โดยไม่สนคมมีดเลยว่าจะแทงทะลุคอหอยของตนหรือไม่ เขากล่าวขึ้นว่า
“คณบดีแห่งสถานศึกษาเซิงหลิงเป็นคนลักพาตัวท่านแม่ยายไป?”
น้ำเสียงของเขาฟังดูไม่แปลกใจใดๆ เลย ดูท่าเขาเองก็น่าจะสงสัยคณบดีอยู่แล้วเช่นกัน
เซียถงเหลือบมอง รอยเลือดที่ผุดซึมเสื้อคลุมออกมา ในเวลานี้ มันได้เบ่งบานกลายเป็น ‘ลวดลายดอกโบตั๋น’ บนหน้าอกของเขา และยังเริ่มบานสะพรั่งสวยงามกว้างขึ้นยิ่งเรื่อยๆ เห็นดังนั้นนางขมวดคิ้วเล็กน้อย และค่อยๆ ถอนคมมีดออกมาโดยมิรู้ตัว
ไป๋หลี่หานยังคงเพิกเฉยต่อคมมีดที่ปักอยู่กลางอก เขายิ้มกล่าวต่อว่า
“ข้าเองก็ค่อนข้างสงสัยเช่นกัน ดังนั้นจะหาวิธีหลอกล่อให้คณบดีออกเรือนไปดู ระหว่างนั้น เจ้าก็รีบเข้าไปสืบค้นข้อมูลหลักฐานให้ได้มากที่สุด”
“เพื่อช่วยเหลือท่านแม่ยาย ข้าไม่มีวันลามือยอมแพ้!”
ยามนี้ค่อยชำเลืองมองมีดสั้นที่ค่อยๆ ถูกถอนออกมา ไป๋หลี่หานระบายยิ้มบางพึงพอใจ ลอบชำเลืองมองหญิงสาวตรงหน้าที่ใบหน้าแดงระเรื่อ แอบคิดกันตัวเองในใจ หากตัวเขาปรารถนาจะจุมพิตนาง กลับไม่รู้เลยว่า ริมฝีปากของเขาจะลุถึงนาง หรือจะเป็นคมมีดที่เสียบทะลุถึงขั้วหัวใจของเขาก่อนกัน?
พอคิดได้ดังนั้นก็นึกภาพออกในทันใด ไป๋หลี่หานก้าวถอยหลังออกมา ปฏิเสธความคิดที่จะรุกเข้าจูบเซียถงในทันใด ตีระยะออกห่างนางเล็กน้อย
ท่านแม่ยาย? เซียถงยืนตัวด้านชาอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน มองค้อนใส่ไป๋หลี่หานส่งสายตาหงุดหงิดใส่ อยากจะลงมือโจมตีสักกระบวนให้สาแก่ใจ แต่กลับฉุกคิดได้ว่า ตัวนางในเวลานี้ยังจำเป็นต้องพึ่งพาเขา
บรรลุเป้าหมายที่มาหา เซียถงไม่คิดจะอยู่ที่นี่ต่อนานนัก อีกทั้งไม่อยากกลับทางประตูทางเข้าหลัก จึงหมุนตัวกระโดดกำแพงลอบหนีออกไปโดยตรง
“นายท่าน! มีนักฆ่าลอบเข้ามารึ!?”
โม่ซวนที่เดินตรวจตราอยู่รินทางเดิมพอดิบพอดี บังเอิญเห็นเงาดำพุ่งไสวกระโดดกำแพงออกไป จึงรีบคำรามเสียงดังลั่นและชักกระบี่เตรียมไล่ติดตามทันที
“ใช่นักฆ่าที่ไหนกัน? แต่เป็นพระชายาของข้าในอนาคตต่างหาก! นางแอบมาดูข้าแช่น้ำ!”
ไป๋หลี่หานร่วนหัวเราะ จงใจหยิบใช้พลังลมปราณหนึ่งส่วน กระจายเสียงดังลั่นแผ่ออกไปไกล
เซียถงที่กำลังมุ่งหน้าจากออกไป ถึงกับหันศีรษะขวับมองค้อนกลับมา ได้ยินหมอนั่นกล่าวใส่ร้ายเช่นนี้ ยิ่งทำให้นางหงุดหงิดใจเหลือเกิน
แอบดูเจ้าแช่น้ำ? พูดมาได้ไม่อายปาก!
มุ่งหน้ากลับไปเฝ้าระวังดังเดิมบนต้นไม้ใหญ่ นี่ก็เป็นเวลาเช้าอรุณพอดี คณบดีตื่นจากเตียงลุกไปรดน้ำต้นไม้ในสวนหน้าเรือนพักอย่างขยันขันแข็ง
คณบดีในยามนี้ก็ดูไม่ต่างอะไรจากคนแก่วัยชราธรรมดาทั่วไปเลย รอยยิ้มที่ดูความสุขและแสนเป็นมิตร ประดับอยู่ทั่วทั้งใบหน้าของเขา ไม่ว่าจะมองยังไงก็แค่คนแก่ใจดีคนหนึ่งเท่านั้น ยากเกินกว่าจะมองว่าเป็นสาบลับทรชนจากซีฉินที่แฝงตัวอยู่ในตงหลี่มานานนับสิบกว่าปี
รดน้ำต้นไม้ไปได้ครึ่งทาง คณบดีลอบคลี่กระดาษแผ่นนั้นที่เก็บขึ้นมาจากใต้ประตูมาดูแวบหนึ่ง รอยยิ้มที่แขวนค้างบนใบหน้าเพิ่มทวีความเปี่ยมสุขยิ่งขึ้นเท่าตัว เค้นเสียงหัวเราะอยู่สองคำ ก่อนฉีกกระดาษแผ่นนั้นทิ้งลงแปลงต้นไม้ทั้งหลายและรดน้ำทับไปอีกรอบ ทำราวกับว่าทุกอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น เสร็จกิจตรงนี้ เขาก็ค่อยเดินกลับเข้าไปในครัวเพื่อทำอาหารเช้า
หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จสรรพ คณบดีเคราขาวก็เริ่มฝึกคัดลายมือเขียนอักษรเหมือนกับเมื่อวานไม่มีผิด
เซียถงเฝ้าจับตามองทุกการเคลื่อนไหวของเขาจวบจนเที่ยงวัน แต่ก็ยังไร้ซึ่งวี่แววของไป๋หลี่หาน เช่นนั้นนางจึงอดเป็นกังวลมิได้ หาใช่ว่า เจ้าหมอนั่นมันหลอกนางกระมัง?
ขณะที่ภายในใจของเซียถงกำลังร้อนรุ่มอยู่นั้น ไม่นานเกินรอ ในที่สุดนางก็เห็นไป๋หลี่หานปรากฏตัวออกมาเสียที กำลังเดินตรงเข้ามาทางเรือนพักของคณบดี โดยมีโม่ซวนเดินติดตามอยู่ท้ายหลัง
ไป๋หลี่หานชำเลืองสายตากวาดมองโดยรอบบริเวณหน้าเรือนพัก ราวกับกำลังตรวจค้นว่า เซียถงซ่อนตัวอยู่ที่ไหน พินิจมองหาอยู่สักพักใหญ่ กว่าจะสังเกตเห็นว่า นางกำลังซ่อนตัยอยู่บนต้นไม้ใหญ่ห่างออกไปประมาณสามฉื่อเห็นจะได้ หากลองเพ่งสายตามองให้จงดี จะเสาพบเงาร่างอรชรเพลียวบางซ่อนตัยอยู่ท่ามกลางพุ่มไม้ใบหญ้าสีเขียวชอุ่ม เห็นนางจึงส่งยิ้มให้เล็กน้อยคล้ายพยายามจะสื่อว่า ‘ข้ามาแล้วนะ’
เซียถงเขย่ากิ่งไม้ให้เบาๆ ตอบกลับ ส่งสัญญาณว่า ให้รีบพาคณบดีออกไปเสียที
ไป๋หลี่หานถอนสายตาออกมา หันไปพยักหน้าให้โม่ซวนเพื่อเตรียมความพร้อม และโม่ซวนก็เดินหน้าตรงออกไปเคาะประตูทันที
เมื่อคณบดีได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น พู่กันน้ำหมึกในมือพลันชะงักครึ่งจังหวะ แล้วเก็บวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มุ่งหน้าเดินตรงไปเปิดประตู แรกเห็นว่าเป็นโม่ซวน เจ้าตัวก็ดูตกใจเล็กน้อย แลเห็นว่าไป๋หลี่หานยืนอยู่ด้านหลัง คคณบดีก็รีบโค้งคำนับให้โดยไว กล่าวน้ำเสียงสุภาพนอบน้อมขึ้นว่า
“ทำความเคารพท่านราชาหมาป่าสวรรค์!”
ไป๋หลี่หานเอื้อมมือขึ้นคว้าแขนอีกฝ่าย ห้ามไม่ให้ก้มศีรษะโค้งคำนับตน เขายิ้มกล่าวอย่างเป็นมิตรว่า
“ท่านคณบดี อย่าได้สุภาพเกินไปเลย ข้าผู้นี้มาเยี่ยมเยือนกะทันหัน รบกวนเวลางานท่านคณบดี ต้องขอโทษในความไม่สะดวกล่วงหน้าแล้ว”
“ที่ไหนกัน ที่ไหนกัน! ไม่เลยสักนิด กลับเป็นเกียรติแก่เราชายชราผู้ต่ำต้อยแล้ว”
คณบดีรีบโบกมือปฏิเสธ
“เหตุที่มาหาในวันนี้ เพราะข้าเพิ่งได้รับภาพอักษรโบราณชิ้นหนึ่งมาเมื่อวาน แต่กลับแยกแยะไม่ออกว่าจริงปลอม ฟังว่า ท่านคณบดีมีงานอดิเรกทางด้านคัดลายมือและอักษรจิตรกรรม จึงต้องเดือดร้อนท่าน ช่วยเหลือตรวจสอบภาพอักษรโบราณดังกล่าวที”
กล่าวจบ ไป๋หลี่หานจึงค่อยหยิบม้วนกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากใต้แขนเสื้อ