ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 39 เค้นความลับ (1)
ตอนที่39 เค้นความลับ (1)
“ก็จากไปทั้งเช่นนี้เลยรึ?”
ชายสวมหน้ากากคลื่นลายเมฆาปริปากหยุดนางไว้ น้ำเสียงฟังดูประหลาดใจมิใช่น้อย ก็พลันคิดไปว่า นางจะเข้าเปิดฉากโจมตีตนอย่างครั้งที่แล้วอีก
“อะไร?”
เซียถงหันศีรษะเหลือบมองอีกฝ่าย เชิดคางเงยสูงขึ้นเล็กน้อย ประกายตาคู่เยียบเย็นของนางสะท้อนแววหนาวเหน็บ หรือชายคนนี้มีเจตนาจะเข้าสัประยุทธ์ต่อสู้กับนาง?
“เจ้าพอมีเวลาว่างหรือไม่? ข้าต้องการจะจับสัตว์อสูรปราณวิญญาณตนหนึ่ง แต่กำลังคนกลับไม่เพียงพอ”
ชายสวมหน้ากากเงยหน้ามองอีกฝ่าย จับจ้องอย่างรู้ทันกล่าวว่า
“นี่หาได้เสียแรงเปล่าแน่นอน หากเจ้าช่วยข้าจับสัตว์อสูรปราณวิญญาณตนนั้น ย่อมตอบแทนอย่างไม่ตระหนี่แน่นอน”
ท่าทางการแสดงออกของชายคนนี้ดูหยิ่งยโสมิใช่น้อย ขนาดกำลังขอความช่วยเหลือจากนาง ยังดูห่างเหินไม่ค่อยมีมิตรสัมพันธ์เสียเท่าไหร่
เซียถงพ่นลมหายใจเสียงหนัก ขณะกำลังจะหันหลังกลับและจากไป แต่ทันใดนั้นก็ได้ยิน สุ้มเสียงของเสี่ยวฮั่วดังขึ้นผ่านห้วงความคิดว่า
“นายท่าน ข้าสัมผัสได้ถึงสัตว์อสูรปราณวิญญาณลึกลับตนนั้น! และดูเหมือนว่าพลังในเขาของมันจะช่วยให้ร่างกายของข้าสามารถฟื้นตัวได้อีกครั้ง!”
เซียถงชะงักหยุดเล็กน้อย ก่อนจะหันมองไปทางชายคนนั้นอีกครั้ง
“ได้ แต่ข้าขอเขาของสัตว์อสูรปราณวิญญาณตนนั้น”
สัตว์อสูรปราณวิญญาณ กล่าวได้ว่าเป็น สัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ชนชั้นสูง ซึ่งหาได้ยากยิ่ง จุดเด่นของพวกมันคือเขาบนศีรษะของมัน ทั้งนี้เองก็ยังเป็นส่วนที่มีค่ามากที่สุดของพวกมันเช่นกัน ทุกคนโดยส่วนใหญ่ที่ออกตามล่าสัตว์อสูรปราณวิญญาณ ล้วนแล้วแต่ต้องการเขาบนศีรษะของพวกมันทั้งสิ้น ซึ่งเซียถงเองก็วางแผนที่จะจับสัตว์อสูรปราณวิญญาณตนนั้นด้วยตัวเองเช่นกัน หากอีกฝ่ายปฏิเสธข้อเสนอนี้
“ได้เลย”
ชายสวมหน้ากากพยักหน้าตอบโดยไม่มีท่าทีลังเลใดๆ
“เช่นนั้นข้าจะไปล่าเอง…”
เซียถงมั่นใจสิบในสิบส่วนว่า ชายสวมหน้ากากต้องปฏิเสธจึงเตรียมบทพูดตอบโต้ไว้อยู่แล้ว แต่คล้อยหลังผ่านไปได้ครึ่งประโยค นางก็เพิ่งตระหนักได้และรีบหุบปากลงโดยไว ก่อนจะปริปากกล่าวอีกครั้งว่า
“เข้าใจแล้ว”
ทั้งสองหรี่ตาแคบใส่กันและกัน นางเองก็กลัวว่าอีกฝ่ายจ้องจะจับผิดที่หลุดปากกล่าวออกไปสักครู่
“เอาล่ะ ช่วยข้าตามล่าสัตว์อสูรปราณวิญญาณ เขาอสูรจะเป็นของเจ้า”
ชายสวมหน้ากากเหลือบสายตามองไปทีหนึ่ง กล่าวย้ำข้อตกลงระหว่างกัน ภายใต้หน้ากาก มุมปากของเขาเชิดสูงขึ้นเล็กน้อยกลายมาเป็นรอยยิ้มอบอุ่น และสายตาคู่นั้นก็ดูอบอุ่นไม่แพ้กันเลย
เซียถงมองผ่านจับจ้องสายตาดังกล่าว อดรู้สึกเนื้อตัวสั่นมิได้ สายตาของชายคนนั้นแม้จะดูอบอุ่นไร้ผิดภัย แต่นางกลับรู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก ราวกับสิ่งเหล่านี้คือภาพลวงตา หรือนางจะถูกชายคนนี้ลอบลักพาตัวไป?
ลักพาตัวงั้นเหรอ? นางดูประมาทขนาดนั้น? และที่สำคัญ รูปโฉมของนางอัปลักษณ์เกินเยียวยา คนปกติที่ไหนจะกล้าลักพาตัวนางไปทำเรื่องเช่นนั้น? กลับเป็นอีกฝ่ายเสียมากกว่าที่ต้องกลัวนาง
หรือว่า…มันจะรู้แล้วว่า ภายในตัวนางมีคัมภีร์วรยุทธ์ลับอยู่?
เมื่อนึกขึ้นได้เช่นนี้ เซียถงก็หรี่ตาแคบเพิ่มเสริมความระมัดระวังตัวขึ้นเป็นทวีเท่า คมมีดสั้นโผล่ปลายปรากฏขึ้นอีกครั้งภายใต้แขนเสื้อยาวอย่างเงียบงัน
“ก่อนหน้านี้ มีลูกน้องของข้าประมาณสองถึงสามคน ค้นพบสัตว์อสูรปราณวิญญาณตนนี้โดยบังเอิญ พอกำลังจะเข้าล้อมจับ ดันถูกชายสวมหน้ากากไม่ทราบฝ่ายเข้ารบกวน จนปล่อยให้มันหลุดเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขาลูกนี้”
ชายคนนั้นเหมือนจะมิได้สังเกตเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของนางเลย แต่กลับหันไปอีกทางและก้าวเดินตรงออกไป
เซียถงยังมีทีท่าลังเลอยู่บ้าง แต่ในท้ายที่สุดก็ตัดสินใจเดินติดตามไป สัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ชนชั้นสูงค่อนข้างหายากมาก และลำพังตัวนางคนเดียว ก็หาใช่เรื่องง่ายเลยสักนิดที่จะจับมัน ดังนั้นแล้ว โอกาสมาถึงขนาดนี้ มีหรือที่นางจะทนต่อเสน่ห์เย้ายวนของเขาอสูรระดับชั้นนี้ได้ไหว? แผนการแปรเปลี่ยน นางเฝ้าติดตามชายสวมหน้ากากคลื่นลายเมฆาคนนี้ไปก่อนชั่วคราว เมื่อใดที่รู้ว่าเขามีเจตนาอื่นแอบแฝง อาศัยขุมพลังขอบเขตเสาหลักฟ้าชั้นกลาง นางมิเชื่อว่า ตนจะไม่มีปัญญาหนีรอดออกจากเงื้อมมือของอีกฝ่ายพ้น
เดินติดตามชายสวมหน้ากากคลื่นลายเมฆาได้สักพักใหญ่ เดินวนเดินเวียนอยู่บนหุบเขาเป็นเวลานาน แต่กลับไม่พบสิ่งใดเลยนอกจากรอยเท้าของสัตว์อสูรปราณวิญญาณคนนั้น น่านฟ้าท้องนภาเริ่มส่องสว่าง เซียถงตัดสินใจจะขอแยกตัวกลับจวนก่อน ไม่พรุ่งนี้หรือมะรืนค่อยติดตามเข้าสมทบใหม่ นางมิอาจมาเสียเวลาอยู่บนหุบเขาเช่นนี้ได้อีกแล้วจริงๆ หากคู่ต่อสู้คนสุดท้ายที่เซียถงต้องเผชิญเป็น หลัวซีจริงๆ นางกลับไม่มั่นใจเช่นกันว่า สามารถเอาชนะได้
ดังนั้นแล้ว เซียถงจำต้องแบ่งเวลาส่วนใหญ่นำใช้ไปกับการศึกษาคัมภีร์วรยุทธ์ลับเล่มนี้
แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้เอ่ยกล่าวอันใด ชายสวมหน้ากากคลื่นลายเมฆากลับชิงพูดแทรกขึ้นก่อนว่า
“ข้ายังมีธุระที่ต้องทำ ค่อยกลับกลับมาค้นหาสัตว์อสูรปราณวิญญาณใหม่ในวันมะรืน หากเจ้ายังต้องการเขาอสูรของมัน จงกลับมาที่นี่ใหม่ในวันมะรืนเสีย”
กล่าวจบ อีกฝ่ายมิได้รอคำตอบกลับจากเซียถง เหาะเหินทะยานหายวับลับสายตาไปในทันใด
เจ้านี่มิได้ปั่นประสาทข้ากระมัง?
เซียถงเฝ้ามองแผ่นหลังของชายคนนั้นที่หายลับไปต่อหน้าต่อตา ใจหนึ่งพลันสังหรณ์ใจคล้ายว่า มีบางสิ่งอย่างผิดปกติ
เพราะระหว่างทางที่กำลังเดินตามหาสัตว์อสูรปราณวิญญาณบนหุบเขาลูกนี้ นางคอยเฝ้าสังเกตอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเขานั้นปราศจากท่าทีกระตือรือร้นอันใด เดินแช่มหันซ้ายทีขวาทีราวกับกำลังออกมาเดินชมแสงจันทร์ยามค่ำคืนอย่างใดอย่างนั้น ตรงกันข้ามกับนางที่เผยสีหน้าท่าทางระมัดระวัง มองหาสัตว์อสูรปราณวิญญาณอยู่ตลอดเวลา
หรือชายคนนี้จะมีเจตนาอื่นแอบแฝงอยู่จริงๆ?
ช่างมันเถอะ สิ่งที่เขาต้องการบางทีอาจมิได้ข้องเกี่ยวกับนางก็เป็นได้ อีกไม่นานการประลองรอบสุดท้ายใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว นางส่ายหัว สะบัดละทิ้งความคิดอื่นใดออกไป และเดินทางกลับเข้าจวนเสนาบดีโดยตรง
กลับมาจวนคราวนี้ เซียถงสั่งการให้อิ๋งเอ๋อร์คอยเฝ้ายามหน้าประตูเรือนพักของนางเอาไว้ ห้ามให้ใครรบกวนเด็ดขาด ปิดประตูแน่นหนา และคลี่คัมภีร์วรยุทธ์ลับออกมาอ่านศึกษา
เซียถงทำความเข้าใจในเคล็ดวิชาส่วนเริ่มต้น ซึ่งเป็นระดับชั้นเหลืองก่อน ข้างต้น เป็นการสอนอาศาท่าทางของกระบวนโจมตีและทักษะเสริมต่างๆ ซึ่งกล่าวตามตรง ลักษณะการฝึกปรือมันคล้ายกับ ตอนที่นางเข้าเทรนในฐานฝึกของชีวิตก่อนหน้ามาก ลองเคลื่อนไหวตามคำอธิบายสักสองสามประโยค นางก็สามารถเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
อาศัยพลังลมปราณในร่างกายที่โคจรไหลเวียน เซียชกอากาศชักนำกระแสลมสายใหญ่ฉีกสะบั้น เคลื่อนไหวตามท่าร่างในประโยคที่คัมภีร์เขียนอธิบายไว้ ทันใดนั้น กำแพงเบื้องหน้าพลันก่อเกิดเป็นหลุมบ่อขนาดใหญ่ เจียนทะลุออกไปข้างนอก!
ภายในใจเซียถงรู้สึกทึ่งตะลึงงันไม่น้อย คล้อยหลังที่หยิบนำวรยุทธมาจับคู่กับลมปราณ ผลลัพธ์ที่ได้กลับเป็นอานุภาพทำลายล้างที่เพิ่มพูนถึงสองเท่าทวี!
“คุณหนู!”
จู่ๆ อิ๋งเอ๋อร์ก็เปิดประตูเลื่อนมาชะโงกมอง ก่อนปรบมือกล่าวชื่นชมด้วยความตื่นอกตื่นเต้น
เซียถงโบกมือไล่ให้อีกฝ่ายกลับไปทำหน้าที่ และเข้าเก็บตัวศึกษาวรยยุทธลับต่อเกือบทั้งวัน พอรู้ตัวอีกฝ่ายฟ้าก็ใกล้มืดแล้ว
“คุณหนูแย่แล้ว!”
ครั้งนี้อิ๋งเอ๋อร์เปิดประตูโพล่งเข้ามา สีหน้าเป็นกังวลอย่างยิ่ง
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก?”
เซียถงหันหน้ามองอีกฝ่าย เอ่ยปากถามขึ้นคำหนึ่ง
ทว่าอิ๋งเอ๋อร์กลับเงียบนิ่งมิได้ตอบคำถามนางกลับไป ผ่านไปสักครู่ใหญ่ เซียถงอดเลิกคิ้วมองติดตามไปยังทิศทางที่อีกฝ่ายมองอยู่มิได้ ก่อนจะเห็นนางกำลังยืนเหม่อ ดูร่องรอยหลุมบ่อขนาดใหญ่น้อยมากมายทั่วทั้งกำแพงเรือนพัก
อิ๋งเอ๋อร์ค่อยๆ หันศีรษะเคลื่อนมาหาเซียถง แววตาฉายแววประหลาดใจอัดแน่นจนล้น เอ่ยปากตะกุกตะกักกล่าวว่า
“นี่…นี่เป็นฝีมือของคุณหนูทั้งหมด…?”
“ใช่”
เซียถงพยักหน้า
“คุณหนู ท่านแข็งแกร่งเกินมนุษย์แล้ว!”
ประกายสายตาคู่นั้นของอิ๋งเอ๋อร์ยิ่งทวีความศรัทธาชื่นชม
“อิ๋งเอ๋อร์ ฝากหาดินมาโปะหลุมบ่อทั่วกำแพงพวกนี้ด้วย”
เซียถึงยิ้มพร้อมเอ่ยสั่งการหน้าที่ไป
“อ๊ะ…ข้าลืมสนิท! แย่แล้วคุณหนู! ฮูหยินหลี่ถูกฮูหยินเฉิงทุบตีจนเจียนตายแล้ว!”
ทันทีทันใด อิ๋งเอ๋อร์ก็พลันนึกถึงจุดประสงค์ที่วิ่งมาหาได้ รีบคว้าแขนเซียถง กล่าวขึ้นด้วยความกังวลใจยิ่ง
ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าการแสดงออกของเซียถงพลันเปลี่ยนไปทันที สะบัดมืออิ๋งเอ๋อร์ออกจากแขนตน และรีบมุ่งหน้าไปยังกระท่อมดน้าในสุดของจวน
เมื่อพวกนางมาถึงโรงฝืน ก็ได้ยินเสียงฮูหยินเฉิงดุด่ามาแต่ไกล จึงรีบเร่งตีฝีเท้าวิ่งเข้าไปยังที่เกิดเหตุ ก่อนจะพบเห็น ฮูหยินเฉิงกำลังถือแส้หางเหล็กกระหน่ำฟาดแม่ของนางไม่หยุด จนดิ้นพล่านอยู่บนพื้นแบบนั้น
หัวใจแสมือนถูกคมมีดกรีดแทง เพลิงโทสะโหมปะทุเดือดคลั่งในทันใด คู่เท้ากระตุกวูบ เซียถงทิ้งตัวพวยพุ่งตัวเข้าไป ทวนทิ้งเป็นเงาสายหนึ่ง ยื่นมือกระชากแส้หางเหล็กออกจากมือของฮูหยินเฉิงอย่างรวดเร็ว