ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 390 ห้องลับ (4)
ตอนที่390 ห้องลับ (4)
ตอนที่390 ห้องลับ (4)
ไอความหนาวเหน็บที่ส่งผ่านจากคำกล่าวของเซียถง ทำเอาหวานหลีซุนเสียวสั่นหลังวาบ สั่นสะท้านจับขั้วหัวใจ บรรยากาศกลายสู่ความเงียบสงัดเป็นเวลาเนิ่นนาน ราวกับไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะมีชีวิตอยู่ต่อ เขาคอตกก้มศีรษะลงห่อเหี่ยวด้วยความสิ้นหวัง ปวดระทมเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ ส่งผลให้เขาตกสู่สภาวะกึ่งหมดสติอีกครั้ง
ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ ทั้งบนผนังและพื้น เซียถงกวาดสายตาหันไปมองบรรดาโคมไฟสีทองแดงที่ทอดยาวทั่วทั้งทางเดินลงมาและรอบห้องใต้ดินแห่งนี้ ก่อนจะมุ่งหน้าตรงไปสำรวจ
“กำแพงด้านหลังข้า…มีอิฐก้อนหนึ่งสามารถดันเข้าได้ เป็น…เป็นกลไกลับไปสู่ห้องใต้ดินส่วนอื่น”
ขณะก้มศีรษะคอตกด้วยความสิ้นหวัง หวานหลีซุนได้ยินเสียงลูบคลำของเซียถงอยู่นาน จึงเอ่ยขึ้นประโยคหนึ่งน้ำเสียงคลุมเครือไร้เรี่ยวแรง
เซียถงได้ยินเช่นนั้นก็ตาเป็นประกาย รีบเดินไปทางฝั่งกำแพงที่อยู่ด้านหลังของหวานหลีซุนและใช้สองมือไล่คลำหา จนท้ายที่สุดไปพบอิฐก้อนหนึ่งที่ค่อนข้างกรวงผิดแปลก จึงออกแรงดันมันอย่างแรง ทันใดนั้นเองกำแพงด้านดังกล่าวงก็เปิดออก ปรากฏทางเข้าลับอันแสนมืดมิดอีกแห่งที่ทำจากหินสีน้ำเงินปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตา แต่ชั่วอึดใจที่นางกำลังจะยกเท้าก้าวเข้าไปสำรวจต่อ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงวิงวอนจากเบื้องหลังของนาง
“ได้โปรด…ช่วยข้าด้วย”
สุ้มเสียงของเขายามนี้ราวกับชีวิตที่กำลังแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ เนื้อในอัดแน่นไปด้วยความกลัวและความกระหายที่จะมีชีวิต
พอสุ้มเสียงนี้กระทบถึงหู เซียถงพลันรู้สึกใจอ่อนเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ถูกเช่นกัน ฝีเท้าของนางชะงักหยุดลง ทอดสายตามองไปที่เส้นทางยาวที่ทำจากหินสีน้ำเงินเบื้องหน้าไร้สิ้นสุด เงียบนิ่งอยู่สักครู่ และในท้ายที่สุดก็ยอมหมุนตัวหันกลับมา จับจ้องไปยังชายคนนั้นที่ถูกโซ่ตรวนตระหง่านติดกับเสาเหล็กตัน
หวานหลีซุนในตอนนี้อยู่ในสภาวะกึ่งมีสติ ดวงตาของเขาเหม่อลอยไร้จุดหมาย อ้าปากค้างเติ่งน้ำลายไหลย้อยลงมาราวกับคนปัญญาอ่อน สภาพของชายคนนี้เลวร้ายเกินบรรยายจริงๆ
คล้ายกับว่ารู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาของเซียถง เขาพยายามคงสติเอาไว้ให้ได้นานที่สุด ฝืนบังคับริมฝีปากสะกดคำอย่างยากลำบาก เอ่ยขึ้นว่า
“ช่วย…ช่วยข้า จากนี้ต่อไป…ชีวิตนี้ขอ…ขอมอบแก่ท่าน ขะ-ข้า…ข้าขอเป็นทาสท่านชั่วชีวิต…”
นัยน์ตาสีเย็นเยียบของเซียถงสาดกะพริบปราดหนึ่ง จับจ้องไปที่หวานหลีซุนเบื้องหน้าและกล่าวน้ำเสียงเชิงเสียดสีขึ้นว่า
“หวังว่าจะจดจำคำพูดในวันนี้ได้!”
หวานหลีซุนพยายามเงยศีรษะขึ้นมอง ดวงตาปิดไปแล้วครึ่งหนึ่ง พยักหน้าตอบอย่างว่างเปล่า
“ข้าจะตัดโซ่ตรวนเจ้าออก จากนี้ก็รีบหาทางออกไปเองเสียแล้วกัน ส่วนพิษจากผงละลายกล้ามเนื้อบนร่างกายเจ้า ข้ารักษาให้เรียบร้อยแล้ว”
เซียถงโบกมือขวาชูขึ้นเพื่อเรียกกระบี่ทัณฑ์ฟ้าออกมา แต่ทว่ากระบี่ทัณฑ์ฟ้ากลับไม่ปรากฏกาย นางถึงกับตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็ลองโบกมือขวาชูชันขึ้นอีกครั้ง ทว่ากระบี่ทัณฑ์ฟ้าก็ยังไม่ปรากฏออกมา อย่างไร กลับเป็นท่อนแขนของนางที่จู่ๆ ก็รู้สึกหนักอึ้งเป็นทวี
มีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นกับร่างกายของนาง และเมื่อชำเลืองสายตามองไปที่มือข้างขวา ทั่วทั้งฝ่ามือของนางเปื่อยเน่ากลายเป็นสีม่วงดำ ราวกับเชื้อโรคที่กำลังลุกลาม มีเส้นใยคล้ายรากไซร้สีม่วงดำค่อยๆ แผดขยายขึ้นมายังข้อศอกของนางด้วยความเร็วที่เห็นได้ตาเปล่า
เซียถงตกตะลึงยิ่งยวด หน้าถึงกับเปลี่ยนสีในบัดดล เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้ยังไง? ข้าโดนวางยาพิษตั้งแต่เมื่อไหร่!?
เพียงนางสะบัดแขนเสื้อ กุญแจที่เก็บอยู่ในนั้นก็กระเด็นร่วงลงมา ซึ่งแต่เดิมกุญแจดอกนี้มีสีไม้ ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นสีม่วงดำไปทั้งอันแล้ว
กุญแจดอกนี้มีพิษฉาบอยู่! เพื่งรู้ตัวได้เช่นนี้ เซียถงกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บแค้น รีบใช้แขนข้างซ้ายที่ยังดีอยู่คว้าเข็มเงินที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อขวาออกมา และเร่งสกัดจุดบนฝ่ามือขวา ทำให้เลือดที่ไหลเวียนบริเวณนี้ช้าลง
เส้นใยคล้ายรากไซร้สีม่วงดำที่ลุกลามอย่างบ้าคลั่งหยุดชะงักลงในทันใด การแพร่กระจายถูกสกัดไว้ได้ทันท่วงที
จากนั้นค่อยฉีกชายเสื้อแพรพรรณเพื่อพันรอบฝ่ามือและเรียวนิ้วเอาไว้ เซี่ยถงย่อตัวลงไปหยิบกุญแจดอกนั้นขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ดูเหมือนว่ากุญแจดังกล่าวจะไม่ได้ทำขึ้นจากไม้ธรรมดาทั่วไป เมื่อนำขึ้นมาพิสูจน์กลิ่นสูดดมเล็กน้อย ก็รู้ได้ทันทีว่า กุญแจนี้ทำมาจากไม้เถียนมู่ ซึ่งมีฤทธิ์เป็นพิษขนานอ่อน ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่หากมันอยู่ใกล้กับผิวหนังมนุษย์เป็นเวลานานเกินไป พิษขนานอ่อนที่ว่าจะค่อยๆ ทวีคว่ามรุนแรงมากขึ้นและมากขึ้น จนเข้าซึมซาบเข้าสู่ภายในร่างกาย และเมื่อถึงระยะนี้เมื่อใด นับว่าเป็นอัตรายถึงตายได้เลย!
แต่สิ่งที่น่าแปลกคือ กระบวนการกว่าที่ตัวพิษจากไม้เถียนมู่จะซึมซาบเข้าสู่ร่างกายน่าจะใช้เวลาประมาณเจ็ดถึงแปดวัน แล้วทำไมนางถึงติดเชื้อได้เร็วขนาดนี้?
กลอุบายช่างลึกซึ้งโดยแท้ ถึงไม่รู้กลวิธีเร่งความเป็นพิษให้ทวีความรุนแรงได้ภายในเวลาอันสั้น แต่คงไม่มีใครคาดคิดแน่นอนว่า กุญแจจะเป็นกับดักชิ้นหนึ่งที่ใช้จัดการกับผู้ลักลอบ เพราะโดยส่วนมาก ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับกุญแจมากที่สุดก็คือเจ้าของมัน โดยส่วนใหญ่จึงไม่มีใครพิสดาร นำกุญแจมาดัดแปลงให้เป็นกับดักชิ้นหนึ่ง
กว่าจะรู้ตัวอีกที….ก็สายเกินแก้เสียแล้ว เนื่องจากพิษจากไม้เถียนมู่เข้าสู่ร่างกายเซียถงเป็นที่เรียบร้อย ถึงจะหยุดยั้งการแพร่กระจายของพิษได้ก็จริง ทว่ามันก็ยังส่งผลเสียขนานหนัก แขนขาของนางในตอนนี้เกิดอาการชารุนแรงชั่วขณะ แทบจะไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายใดๆ ได้เลย
“เจ้าโดนวางยาพิษงั้นรึ?”
หวานหลีซุนเงยหน้าจับจ้องนางด้วยความตกใจ เอ่ยถามน้ำเสียงแผวอ่อนไร้เรี่ยวแรง
เซียถงพยักหน้าตอบ รีบหมุนตัวกลับไปทางขั้นบันไดที่ลงมาตอนแรกทันที และกล่าวว่า
“ข้าจะรีบออกไปตามคนมาช่วยก่อน!”
ทว่ายังไม่ทันจะได้ย่างก้าวสักขั้น ร่างของนางพลันแข็งค้างไปชั่วขณะ เงยหน้ามองเบื้องหน้าด้วยความตกใจสุดขีด
“คุณหนูเซีย ไม่คิดเลยว่าจะได้พบหน้าท่านในที่แห่งนี้”
ทันใดนั้นเอง ก็มีเงาร่างหนึ่งค่อยๆ ก้าวย่างเดินลงมาจากบันไดอย่างแช่มช้า ปรากฏว่าเป็นปรมาจารย์เสวี่ยที่มาเจอเข้า พร้อมกับกระบี่เล่มยาวในมือ
เซียถงแสร้งทำตัวสงบนิ่งและเอ่ยขึ้นว่า
“ปรมาจารย์เสวี่ย? ไยท่านมาอยู่ที่นี่ได้?”
สายตาคู่นั้นของนางพยายามชำเลืองมองไปยังด้านหลังปรมาจารย์เสวี่ยอีกที โดยหวังเพียงว่า หยุนซีจะรีบปรากฏตัวขึ้นเพื่อช่วยเหลือนาง
“เลิกมองหาหยุนซีเสีย นางถูกข้ากำจัดทิ้งไปแล้ว”
ปรมาจารย์เสวี่ยกล่าวดักทันทีราวกับรู้ว่าเซียถงกำลังคิดอะไรอยู่
เซียถงแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม กล่าวว่า
“ปรมาจารย์เสวี่ยกำจัดอาจารย์หยุนซีทิ้งได้นับว่าไม่เลว”
ปรมาจารย์เสวี่ยนกล่าวขึ้นอย่างแช่มช้าว่า
“เซียถง ข้าเคารพในตัวเจ้าในฐานะผู้แกร่งกล้าด้วยกัน ไม่เคยคิดชั่วหรือมีจิตปองร้ายใดๆ ต่อเจ้า ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้กลับบีบบังคับข้าให้ต้องทำ ในเมื่อพบเจอกับเจ้าที่นี่ ด้วยหน้าที่แล้วมิอาจปล่อยไปได้!”
พร้อมลงมือสังหารแล้ว? เซียถงก้าวถอยหลังตีระยะห่างออกไปอย่างสงบนิ่ง พยายามพูดจาเกลี้ยกล่อมปรมาจารย์เสวี่ยขึ้นว่า
“ปรมาจารย์เสวี่ย ยอดฝีมือแกร่งกล้าเฉกท่านไยต้องร่วมวงทำเรื่องใต้ดินเช่นนี้ให้มือแปดเปื้อน? ตราบเท่าที่ท่านยอมกลับตัวกลับใจ ย่อมสามารถกลายมาเป็นวีรบุรุษให้ทุกคนเคารพสรรเสริญได้ไม่ยาก ช่วยเหลือข้าและท่านแม่ออกไป แล้วข้าจะเสด็จเข้าเฝ้าทูลเรื่องวีรกรรมอันกล้าหาญของท่านในครั้งนี้แก่ฝ่าบาทฟัง”