ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 393 ภัยคุกคาม (1)
ตอนที่393 ภัยคุกคาม (1)
ตอนที่393 ภัยคุกคาม (1)
“เซียถง คิดว่าข้าโง่เหมือนจักรพรรดิตงหลี่นักกระมัง?”
คณบดีคลี่ยิ้มแย้มใจดี กล่าวต่อว่า
“อีกไม่กี่วัน ข้าจะปล่อยท่านแม่ของเจ้าให้มาพบเจอกับเจ้า บางทีอาจต้องเชือดไก่ให้ลิงดูกันบ้าง เจ้าถึงจะยอมคายความลับออกมา…”
ได้ยินดังนั้น เซียถงใจกระหน่ำเต้นแรง เรียวนิ้วทั้งสิบกำแน่นในทันใด ทว่าอย่างไรสีหน้าการแสดงออกบนพื้นผิวใบหน้ายังคงเดิมไม่แปรเปลี่ยน กล่าวขึ้นอย่างไม่แยแสว่า
“ต่อให้เจ้าตัดแขนท่านแม่ทิ้ง ข้าก็ไม่มีปัญญาไปเสาะหาคัมภีร์วรยุทธ์อะไรนั่นที่เจ้าต้องการได้”
คณบดีได้ยินเช่นนั้นจึงเปลี่ยนหัวข้อ ยิ้มกล่าวขึ้นเอ่ยต่อว่า
“เซียถง รู้หรือไม่ว่า ในสายตาขององค์จักรพรรดิซีฉิน เจ้ามีความสำคัญปานใด? เพียงต้องการพาเจ้าย้ายถิ่นฐานมาอาศัยอยู่ในจักรวรรดิซีฉินมันไม่ดีตรงไหน? บ้านเมืองก็เจริญกว่าที่นี่ไม่รู้เท่าไหร่ แล้วใช่ว่าคนที่นั่นจะปฏิบัติต่อเจ้าเลวร้าย? ข้าว่าชาวเมืองตงหลี่ยังปฏิบัติต่อเจ้าแย่กว่าเยอะ ที่ผ่านมาก็สัมผัสเห็นเองแล้วจริงหรือไม่? ส่วนที่ข้าต้องการก็ง่ายมาก เพียงคัมภีร์วรยุทธ์ต่อสู้ลับเล่มเดียว จากนั้น พวกเราก็ถือเป็นสหายคนหนึ่ง หากต้องการสิ่งใดก็เพียงเอ่ยบอก ข้าล้วนเสาะหามาได้ทั้งนั้น”
“ใช่ว่าข้าเองก็ไม่สน แต่ปัญหาอยู่เพียงว่า ตัวข้าไม่มีคัมภีร์วรยุทธ์อยู่ในมือ แต่นี่ยังพอมีวิธีอยู่บ้าง ปล่อยข้าไปแล้วจะยอมถ่ายทอดสิ่งที่เรียนรู้มาให้ เพราะหากสังหารกันทิ้งตอนนี้ เกรงว่าคงไม่สามารถถ่ายทอดอันใดให้ได้อีกเลย”
ไม่ว่าคณบดีจะกล่าวโน้มน้าวอย่างไร เซียถงก็ยังยืนยันหนักแน่นคำเดิมคือ ตนไม่มีคัมภีร์วรยุทธ์อยู่ในกำมือ
“หึ เช่นนั้นข้าเองก็ไม่รีบร้อน ให้เวลาอีกสี่วัน ลองใช้มันครุ่นพินิจวิเคราะห์ให้จงดี สภาพร่างกายของแม่เจ้าตอนนี้อ่อนแอลงมากกว่าก่อนหน้า ระหว่างคัมภีร์วรยุทธ์กับชีวิตท่านแม่ จะเลือกอย่างไรก็ชั่งใจดู หากล่วงเลยสี่วันแล้วยังตัดสินใจไม่ได้ ก็อย่าได้ตำหนิกันเลยว่าตัวข้าโหดเหี้ยม!”
คณบดีคูบเครายาวสีขาวโพลนของตนเองอย่างแผ่วเบา
ก่อนจากไป เขาเหลียวหลังชำเลืองมองเซียถงเล็กน้อย และยิ้มกล่าวว่า
“หากคิดหนีออกจากห้องลับใต้ดินแห่งนี้ พิษในร่างกายของเจ้าจะไม่มีทางสลายหายไป ถ้าไม่เชื่อและอยากตายนักก็ลองหนีดู”
กำแพงโลหะบานใหญ่ปิดตัวลงอีกครั้ง เซียถงถึงกับทรุดฮวบลงกับพื้น สีหน้าการแสดงออกดูเป็นกังวลอย่างหนัก
ภายในสี่วันนางสามารถทำอะไรได้บ้าง? หากมันลงมือทำร้ายท่านแม่จริงๆ ข้าจะทำเยี่ยงไร?
ภายในห้องลับแห่งนี้ อาศัยแสงสว่างจากเทียนไขจากตะเกียงไฟทองแดงรอบห้องที่ส่องสลัวอยู่ตลอด เซียถงจึงไม่สามารถบอกวันเวลาใดๆ ได้เลย จะมีก็เพียงปรมาจารย์เสวี่ยที่คอยลงมาส่งอาหารให้สองครั้ง หลังกินโอสถขับพิษที่เก็บซ่อนเอาไว้ในใต้แขนเสื้อ อาการชาทั่วร่างกายก็บรรเทาลงอย่างมาก แต่ก็ไม่สามารถขจัดพิษต้นเหตุได้อย่างหมดจด ตลอดอึดใจพ้นผ่าน นางมุ่งจิตสอดส่องเข้าไปในห้วงความคิดของตนเองอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ยังเห็นหลิวซูกับเสี่ยวฮั่วสลบไสลอยู่ในภวังค์นิทราไม่ได้สติ
เมื่อยามนี้ไม่มีสิ่งใดเลยที่นางพอจะทำได้ จึงอดเม้มริมฝีปากด้วยความกังวลมิได้ หวังแค่เพียง ไป๋หลี่หานจะรู้เบาะแสสุดท้ายว่า หลังจากตัวนางลอบเข้ามาสำรวจในเรือนพักของคณบดี จู่ๆ ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หากเป็นในกรณีนั้น เขาจะต้องมุ่งความสงสัยใส่ทางคณบดีแน่นอน และกระทำการบุกเข้ามาช่วยเหลือในอีกไม่ช้า
แต่หวังว่าจะมาถึงก่อนภายในสี่วัน
นางวิตกกังวลยิ่งยวดภายในใจ แต่เปลือกนอกก็ทำได้เพียงเมินเฉยไม่สนใจ เซียถงหลับตาพักผ่อนแทบตลอดเวลา ไม่นานก็ได้ยินฟังเสียงฝีเท้าภายในห้องลับใต้ดินแห่งนี้อีกครั้ง แต่นางก็พลางคิดไปว่า คงถึงรอบที่ปรมาจารย์เสวี่ยเดินทางมาส่งอาหาร จึงมิได้ให้ความสนใจใดๆ อีกเลย จากนั้นก็หลับตาและผล็อยหลับไป
ทว่าอย่างไร เสียงฝีเท้าดังกล่าวตรงมายังตำแหน่งที่นางนอนอยู่ใกล้ขึ้นและใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเสียงฝีเท้าหนักดังกล่าวก็ดูสับสนไร้จังหวะเกินปกติ เมื่อตระหนักทราบว่า มีบางอย่างไม่ถูกต้อง ดวงตาคู่นั้นของนางจึงเปิดขึ้น และสิ่งแรกที่พบเห็นคือ ดวงตาประดุจสัตว์ร้ายกระหายเลือดที่แสนคุ้นเคยท่ามกลางแสงไฟสลัวเบื้องหน้า นัยน์ตาเสมือนชั้นหมอกสีทมิฬขลับเข้มลึกล้ำ กำลังจ้องนางเขม็งไม่เสื่อมคลาย
“เย่หลีเทียน?”
เซียถงลุกขึ้นยืนทันทีด้วยความตกใจ หนังศีรษะลุกซู่วขยายตัวพ่องออกแทบระเบิดทันทีที่เห็น
ชายหนุ่มที่อยู่ต่อหน้าสบสายตาจ้องนางได้ไม่นาน จู่ๆ ร่างกายของเขาก็โซเซแกว่งไกวไปมา ก่อนจะล้มกระแทกพื้นไปอย่างหมดสภาพ
“เย่หลีเทียน! เจ้ามาที่นี่ได้ยังไง?!”
เซียถงรีบพุ่งเข้าไปกระชากคออีกฝ่ายขึ้นจากพื้น ทั้งเขย่าร่างตบหน้าอีกฝ่ายอยู่หลายทีเพื่อปลุกให้ตื่น ทว่าเย่หลีเทียนในเวลานี้สภาพปางตาย ใบหน้าซีดเซียวราวกับแผ่นกระดาษขาว เลือดไหลซิบอยู่มุมปาก เสื้อผ้าบริเวณอกขาดกระจุยพร้อมแผลฉกรรจ์ชุ่มเลือดสีแดงสด ราวกับว่าเพิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสมาหมาดๆ
เซียถงคลายมือปล่อยร่างอีกฝ่ายลง ชำเลืองสายตาช้อนมองไปยังปรมาจารย์เสวี่ยที่ยืนกำกับอยู่ด้านหลัง และกล่าวว่า
“เป็นฝีมือของท่าน?”
“ไม่ใช่ข้า แต่เป็นคณบดี”
ปรมาจารย์เสวี่ยกล่าวตอบเบาๆ ชำเลืองสายตามองเย่หลีเทียนที่นอนมอบกับพื้นแน่นิ่งไปแล้ว ผ่านไปสักครู่ค่อยหมุนตัวเดินจากออกไป ดันอิฐก้อนหนึ่งกลไกลับทำงาน เสียงกำแพงโลหะปิดตัวเสียงดังปัง
เย่หลีเทียนนอนตัวสั่นอยู่กับพื้นเช่นนั้น สภาพราวกับสุนัขใกล้ตายเต็มทน เซียถงเห็นดังนั้นจึงเดินไปใกล้ เว้นระยะห่างจากอีกฝ่ายประมาณสามก้าว เฝ้าจับจ้องอยู่เป็นเวลานาน ก่อนจะนั่งหลับตาพักผ่อนลงอีกครา พลางคิดกับตัวเองใจ เย่หลีเทียนถูกคณบดีลงมือทำร้ายจนเจ็บหนักปางตายขนาดนี้ได้อย่างไร? ตาแก่นั้นแข็งแกร่งปานนั้นเชียว? กระทั่งเย่หลีเทียนยังไม่สามารถเอาชนะได้?
การที่เย่หลีเทียนถูกจับตัวอยู่ที่นี่ ทำให้เซียถงทั้งรู้สึกมีความสุขและหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน ที่มีความสุขก็คือ ยามที่อัครมหาเสนาบดีแห่งจักรวรรดิตงหลี่ผู้เป็นบุคคลสำคัญหายตัวไป นั่นหมายความว่า องค์จักรพรรดิตงหลี่จะต้องรีบตามหาตัวเขาโดยเร็วที่สุดแน่นอน โอกาสได้รับความช่วยเหลือหลังจากนี้ก็จะเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน แต่ที่น่ากลัวก็คือ เย่หลีเทียนคนนี้มีระดับพลังที่ค่อนข้างสูงมาก ตามที่นางคาดการณ์เอาไว้น่าจะสูงถึงขอบเขตราชันย์ม่วงขั้นสุด ไม่ก็ขอบเขตจักรพรรดิครามฟ้าครึ่งขั้น แต่ถึงแบบนั้น…ก็ยังถูกคณบดีจัดการจนหมดสภาพได้…
หลังจากนั้นไม่นาน เย่หลีเทียนที่ซึ่งนอนสิ้นสภาพอยู่บนพื้นก็เริ่มขยับตัว เอ่ยเสียงแผ่วอ่อนกระซิบขึ้นว่า
“น้ำ…น้ำ…”
เซียถงเหลือบหางตามองอีกฝ่ายอย่างเฉยเมย สำหรับเย่หลีเทียนคนนี้ มันเป็นบุคคลที่อันตรายเกินไป และนางก็ไม่ค่อยชอบอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก จึงไม่อยากทำตัวให้ข้องเกี่ยวกับอีกฝ่ายให้มากนัก
“น้ำ…” เย่หลีเทียนพยายามยกศีรษะเงยขึ้นมา แหงนมองไปทางเซียถงพร้อมสายตาอ้อนวอนขอความเมตตา
เซียถงยังคงแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว
“น้ำ…”
กัดฟันแน่นเพื่อถือครองสติมิให้ภาพตัด มุ่งสายตาจับจ้องหน้าเซียถงไม่คลายอ่อน และเค้นเสียงแหบแห้งตะโกนออกไปอีกครั้ง ใบหน้าของเขาในเวลานี้หาใช่ซีดเซียวเป็นแผ่นกระดาษขาวอีกต่อไป ทว่ากลับแดงก่ำดูน่ากลัวกว่าที่คิดไว้มาก
เซียถงปรายหางตามองอีกครั้งอย่างเย็นชา ถึงแม้เย่หลีเทียนจะไม่เคยแสดงทีท่าเกลียดชังต่อนางเลยสักครั้ง แต่กลับเป็นนางที่ไม่ค่อยถูกชะตากับมันมากเท่าไหร่ ก็เลยไม่คิดอยากจะช่วยเหลือ
“นะ-น้ำ…”
ระดับเสียงแหบแห้งของเย่หลีเทียนลดฮวบต่ำลงจนแทบไม่ได้ยินแล้ว ดวงตาคู่นั้นที่พยายามมุ่งจับจ้องใบหน้าเซียถงเริ่มเลื่อนลอย ตัวเขาในตอนนี้กำลังจะหมดสติลงแล้ว
เซียถงชักจะลังเอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนท้ายที่สุด ก็ยอมหยิบชามน้ำใสข้างกายตนขึ้นมา และเดินไปนั่งยองๆ ข้างอีกฝ่ายและยื่นชามน้ำแนบติดริมฝีปากของมัน และค่อยๆ ป้อนน้ำให้ดื่มอย่างระมัดระวัง
กระแสน้ำเย็นจำนวนหนึ่งที่เข้าไป ทำให้ริมฝีปากที่แตกระแหงแห้งค่อยๆ เปลี่ยนกลายเป็นสีแดงสดอีกครั้ง ดูมันเงางามและเป็นประกายแพรวพราวสีแดงอวบอิ่ม ราวกับริมฝีปากสวยของหญิงสาว ไหนเลยที่เซียถงจะเคยสังเกตมองใบหน้าของเย่หลีเทียนในระยะใกล้ชิดขนาดนี้ นางค่อยๆ กวาดสายตาพินิจมองชายตรงหน้าอย่างระมัดระวัง และมีสิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับเลยว่า ถึงแม้นางจะค่อนข้างรังเกียจชายคนนี้ แต่ก็ปฏิเสธมิได้เลยว่า เขาหล่อเหล่าไร้ที่ติเพียงใด
กระดกน้ำไปได้ครึ่งชาม เย่หลีเทียนเริ่มฟื้นคืนสติกลับมา ดูอะไรๆ จะชัดเจนมากยิ่งขึ้น และเริ่มเคลื่อนสายตาจับจ้องไปที่หญิงสาวตรงหน้าที่กำลังป้อนน้ำเข้าปากตนอย่างเงียบงัน
ถูกจับจ้องเช่นนี้มีหรือที่จะไม่ทำให้เซียถงหงุดหงิด แลเห็นอีกฝ่ายมันได้สติขึ้นบ้างแล้ว จึงทิ้งชามน้ำในมือวางไว้กับพื้นและลุกขึ้นพรวดทันที ทว่าชั่วขณะเดียวกัน เย่หลีเทียนกลับยื่นมือขึ้นมาคว้าชายกระโปรงของนางเอาไว้ และกล่าวว่า
“เจ้าจะไปไหนรึ?”
เซียถงยกเท้าสะบัดมืออีกฝ่ายออกทันทีด้วยความรังเกียจ และกล่าวน้ำเสียงเย็นชากล่าวขึ้นว่า
“ไม่ว่าข้าจะทำสิ่งใดกลับหาใช่ธุระของอัครเสนาบดีเย่!”
“ข้า…ข้าอยากดื่มน้ำ”
เย่หลีเทียนเอื้อมมือขึ้นคว้าชายกระโปรงของนางอีกครั้ง ขอร้องอ้อนวอนน้ำเสียงแหบแห้ง
ประกายความรังเกียจอัดแน่นอยู่ในดวงตาเซียถง แต่ก็มิได้ตอบปฏิเสธใดๆ กลับไป เพียงย่อตัวนั่งลงอีกครั้งและเริ่มป้อนน้ำจนหมดชามที่เหลือ คล้อยหลังดื่มเสร็จ เย่หลีเทียนก็ยอมปล่อยชายกระโปรงของนางแต่โดยดี และเริ่มแผ่แขนขาเหยียดกางออก หลับตานอนหลับทั้งแบบนั้นบนพื้นหนาวๆ