ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 395 เรื่องราวน่าสะเทือนใจ (1)
ตอนที่395 เรื่องราวน่าสะเทือนใจ (1)
ตอนที่395 เรื่องราวน่าสะเทือนใจ (1)
เซียถงนำเสื้อผ้าเปียกชุ่มเหงื่อร้อนของเย่หลีเทียนออกไปแผ่กางตากบนพื้นด้านหนึ่ง และเมื่อถอนสายตากลับมาจับจ้องร่างกายอันเปลือยเปล่าของเขา นางถึงกับเบิกตาโตด้วยความตกใจยิ่งยวด แววความตกตะลึงเกินบรรยายสะท้อนอยู่ในดวงตา
ร่างกายอันเปลือยเปล่าของเย่หลีเทียนเต็มไปด้วยบาดแผลน้อยใหญ่มากมายนับไม่ถ้วน ทั้งแผลเป็นฉกรรจ์น่ากลัว รอยไหม้จากการโดนทรมานนานาวิธี ทั้งยังรอยแผลเย็บขนาดใหญ่คล้ายกับตะขาบกลางหน้าอก ท่อนแขน และต้นขา… บาดแผลใหม่ที่เพิ่งได้บริเวณแผ่นอกดูน่ากลัวมากแล้ว ทว่าบาดแผลที่ดูน่ากลัวที่สุดคือ รอยโดนฟันที่ถูกลากยาวตั้งแต่กระดูกไหปลาร้าผ่านหน้าท้อง ไล่จนไปถึงที่เอวของเขา ราวกับว่า เขาเคยโดนฉีกร่างเกือบขาดออกมาเป็นสองส่วน
ชายผู้มากบาดแผลคนนี้ต้องเคยผ่านขุมนรกแบบใดมาบ้างในชั่วชีวิต?
เซียถงมองอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ ผ่านไปสักครู่หนึ่ง ยิ่งมองบาดแผลที่น่าสยดสยองเหล่านั้นมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งรู้สึกตกใจมากขึ้นเท่านั้น และหากลองนำมาผนวกเข้ากับ ตอนอีกฝ่ายละเมอก่อนหน้าที่ทั้งดูขมขื่นและแค้นอาฆาตเกินจะพรรณนาได้ เสมือนหัวใจดวงนี้ของเซียถงรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวแทน
เห็นแม่สุดที่รักของตัวเองถูกคนอื่นฆ่าทิ้งต่อหน้าต่อตา เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ว่าเกิดขึ้นกับใคร ย่อมสามารถเปลี่ยนให้คนๆ นั้นกลายเป็นปีศาจที่เปี่ยมล้นความแค้นได้ทั้งนั้น
เหม่อมองบาดแผลฉกรรจ์สาหัสนับไม่ถ้วนบนเรือนร่าง เซียถงอดรู้สึกเห็นใจชายตรงหน้านางมิได้จริงๆ
คล้อยหลังจากที่นั่งมองเรือนร่างของเย่หลีเทียนอยู่นาน นางก็ลุกขึ้นไปซักเศษเสื้อผ้าสกปรกชุ่มเหงื่อให้สะอาด ตากให้แห้งสักครู่หนึ่ง จึงค่อยฉีกบางส่วนออกมาเช็ดเหงื่อเฝ้าระวังอาการอยู่ไม่ห่าง
หลังมือของชายหนุ่มผู้นี้มีเส้นเลือดแกร่งหนาปูดโปนอย่างเด่นชัด ผิวพรรณทั่วเรือนร่างขาวสว่างใสดุจหิมะ อันที่จริงเขาควรจะได้ครอบครองเรือนร่างอันงดงามไร้ที่ติ แต่ด้วยรอยแผลฉกรรจ์แสนน่าสยดสยองเหล่านี้ ส่งผลให้เขาดูน่ากลัวเสมือนองค์ชายปีศาจไปแทน
“ท่านแม่…ท่านแม่…อย่าไป…”
เย่หลีเทียนที่ซึ่งเวลานี้อยู่ในอาการวิกฤตสาหัส จู่ๆ เขาก็คว้ามือเซียถงที่เฝ้าดูอาการอยู่ข้างเคียงขึ้นมา ออกแรงบีบแน่น
เซียถงขมวดคิ้วถักหนา พยายามจะแกะมืออีกฝ่ายออกไป
“ท่านแม่ อย่าไป! ข้า…ข้าคิดถึงท่านแม่ ข้าสัญญา…ขอสัญญาจะฆ่าพวกมันทุกคนที่รุมรังแกท่านแม่! ไม่ต้องกลัว จะไม่มีใครกล้ารังแกพวกเราอีกแล้วในอนาคต!”
อาการใจสั่นส่งผ่านไปยังฝ่ามือจนเซียถงสัมผัสได้ชัดเจน สักครู่มือไม้ของเย่หลีเทียนเริ่มสั่นเทิ้มรุนแรง ก่นเสียงร้องอ้อนวอนสุดแสนเวทนาดังก้องอยู่ในลำคอเขา สิ่งเหล่านี้ได้ไปกระตุ้นแววความสงสัยที่อยู่ส่วนลึกที่สุดในใจเซียถง
ที่เมื่อครู่มีท่าทีพยายามจะแกะมืออีกฝ่ายออก ยามนี้นางได้หยุดทุกอย่างลง
ขยับตัวเข้าใกล้อีกฝ่ายขึ้นอีกเล็กน้อย ใช้มืออีกข้างที่วางคว้าเศษผ้าชุ่มน้ำสะอาดมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ และทันใดนั้น จู่ๆ เย่หลีเทียนก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา ลืมตาโพล่งมองเซียถงด้วยความตกใจ สายตาคู่นั้นดูว่างเปล่าและอ้างว้าง เหม่อมองอยู่สักครู่จึงกล่าวว่า
“เจ้านี่เอง!”
เซียถงพยักหน้าพ่นเสียงตอบรับเบาๆ แล้วค่อยชักมือเก็บกลับดังเดิม
เย่หลีเทียนชำเลืองมองนางเล็กน้อย จึงค่อยหลับตาลงอีกครั้งด้วยความอ่อนล้าเหน็ดเหนื่อย อาการไข้สูงของเจ้าตัวยังไม่ลดต่ำลงเลย เซียถงก็ทำได้แค่เฝ้าดูแลอยู่เคียงข้าง พลางเช็ดตัวให้เป็นระยะ
เมื่อถึงเวลาที่ปรมาจารย์เสวี่ยเดินทางมาส่งอาหาร แลเห็นอาการไม่ค่อยสู้ดีนักของเย่หลีเทียน แววความประหลาดใจพลันฉายปรากฏขึ้นในดวงตาอันแสนเมินเฉยคู่นั้น เวลาเดียวกัน เซียถงก็หันไปถามเขาเช่นกันว่า
“เย่หลีเทียนเข้ามาที่นี่นานแค่ไหนแล้ว?”
เพราะหากเย่หลีเทียนอยู่ที่นี่ในสภาพแบบนี้เกินกว่าสองถึงสามวัน นี่อาจเกินขีดจำกัดที่ร่างกายของเขาจะรับไหวแล้ว สิ่งที่เซียถงกลัวที่สุดคือ ตัวเขาจะเกิดสภาวะระบบร่างกายล้มเหลวฉับพลัน ซึ่งนั่นหมายถึง เย่หลีเทียนจะตายทันที
“หนึ่งวันหนึ่งคืนเท่านั้น”
ปรมาจารย์เสวี่ยกล่าวตอบ
ปรากฏว่าเพียงหนึ่งวันหนึ่งคืนเท่านั้น ทีแรกนางก็คาดคะเนไปไกลว่า น่าจะอยู่ที่นี่อย่างต่ำสองวันขึ้นไป แต่ถือเป็นเรื่องดีเช่นกัน เซียถงครุ่นพินิจกับตัวเองอยู่หลายอึดใจ ก่อนเงยหน้ากล่าวกับปรมาจารย์เสวี่ยว่า
“เขามีอาการไข้สูง ต้องการโอสถมารักษาโดยด่วน”
คล้อยหลังร้องอุทานประโยคนี้ออกไป นางพึ่งคิดได้ว่า พูดอะไรออกไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่ปรมาจารย์เสวี่ยจะให้ความช่วยเหลือ ดังนั้นลืมเรื่องโอสถไปได้เลย
ปรมาจารย์เสวี่ยก้มศีรษะมองเย่หลีเทียนที่นอนราบอยู่บนพื้น ไม่มีปริปากพูดแม้สักคำ เพียงวางถาดอาหารที่นำมาให้ในมือลง และเดินจากออกไปโดยตรง เซียถงคิดไว้อยู่แล้วว่า ในฐานะศัตรู อีกฝ่ายไม่มีทางยอมให้ความช่วยเหลืออะไรใดๆ แน่นอน จึงพยายามคิดหาวิธีอื่นทันที ทว่าไม่นานหลังจากนั้น กำแพงโลหะก็เปิดขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับปรมาจารย์เสวี่ยที่เดินถือกล่องโอสถใบหนึ่งมอบให้แก่เซียถง เอ่ยเสียงต่ำกระซิบเพียงไม่กี่คำว่า
“อย่าปล่อยให้เขาตาย”
“ปรากฏว่าท่านยังมีหัวใจ”
เซียถงเปิดกล่องรับโอสถเม็ดนั้น ตอบกลับสั้นๆ อย่างซาบซึ้งใจ
ปรมาจารย์เสวี่ยไม่พูดพล่ำใดๆ อีกต่อไป เพียงหมุนตัวถอยกลับและปิดกำแพงโลหะดังเดิม
โอสถเม็ดนั้นที่ปรมาจารย์เสวี่ยให้มาเป็นโอสถฟื้นฟูระดับชั้นไม่สูงนัก แต่สรรพคุณโดดเด่นของมันคือการลดไข้ นางนำมันมาป้อนเข้าปากของเย่หลีเทียนโดยตรง และพยายามป้อนข้าวให้อีกสองสามคำ เพราะตอนนี้ร่างกายของเขายังต้องการสารอาหารที่จำเป็นเพื่อรับมือกับอาการไข้สูง
หลังจากทานโอสถทานข้าวเสร็จสรรพ อาการไข้สูงของเย่หลีเทียนก็ลดลงอย่างรวดเร็ว เซียถงกลัวว่า อีกฝ่ายอาจจะเป็นหวัดได้ จึงนำเสื้อผ้าที่ตากจนแห้งแล้ว มาสวมใส่ให้ดังเดิม แต่ขณะที่กำลังสวมใส่อยู่นั่นเอง จู่ๆ นางก็รู้สึกได้ถึงไอร้อนจากใบหน้าอีกฝ่ายที่ส่งผ่านมายังหลังมือตนเอง
เซียถงเป็นกังวลทันใด กลัวว่าอาการไข้สูงของอีกฝ่ายจะย้อนกลับมาอีกครั้ง จึงรีบเงยหน้ามองอีกฝ่ายเพื่อตรวจเช็คอาการเพิ่มเติมทันที ทว่าสายตาของนางกลับสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างเสียก่อน เคลื่อนสายตาลอดผ่านใต้ช่วงเอวลงไป นางกลับพบว่า บริเวณกางเกงในของอีกฝ่ายคล้ายกลับมีบางสิ่งคล้ายแท่นเหล็กตั้งตระหง่านอยู่…
เอ่อ….
เซียถงแหงนศีรษะขวับขึ้นมาทันใด และสิ่งที่เห็นคือ เย่หลีเทียนหน้าแดงระเรื่อ ทั้งยังเบี่ยงหน้าหนีราวกับว่าพยายามหลบสายตาของนางอยู่ นางเห็นแบบนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือก และลองยกมือขึ้นแตะหน้าผากอีกฝ่ายดู ปรากฏว่าอุณหภูมิปกติดี ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว
เซียถงก้มศีรษะช่วยเย่หลีเทียนแต่งตัวต่อไป ทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น จึงค่อยแยกย้ายกลับไปนั่งบนฟูกสำลี เอนแผ่นหลังพิงกำแพงหลับตาพักผ่อนดังเดิม
เพราะนางในขณะนี้เองก็ถูกวางยาพิษเช่นกัน ลำพังแค่ทำหน้าที่ดูแลเฝ้าไข้ให้เย่หลีเทียนมันก็กินแรงของนางจนแทบไม่เหลือแล้ว จึงต้องแบ่งเวลาพักผ่อนร่างกายของตัวเองบ้าง แต่ในระหว่างนั้นเอง นางกลับรู้สึกได้ถึงสายตาอันร้อนแรงคู่หนึ่งที่จับจ้องมาทางตนอย่างไม่ลดละ แทบจะแผดเผาเรือนร่างของนางให้เป็นจุณก็มิปาน
ผ่านไปนานก็ยังเป็นรู้สึกดังเดิม จนท้ายที่สุดเซียถงชักจะเบื่อหน่ายกับสายตาคู่ร้อนแรงนี่เต็มที จึงลืมตาหันเข้าสบปะทะใส่โดยตรง ดุจดั่งทะเลเปลวเพลิงชนปะทะหุบเหวเหมันต์พันปี
เย่หลีเทียนคาดไม่ถึงว่า นางจะกล้าหันมาสบสายตาปะทะโดยตรงแบบนี้ ดวงตาของเขาเป็นประกายสดใส พร้อมส่งยิ้มให้แก่นาง ซึ่งรอยยิ้มของเขาในครั้งนี้กลับมิได้ดูน่ากลัวดั่งทุกครั้งที่ผ่านมา ทว่ามีความจริงใจเจือผสมอยู่หนึ่งส่วน
“อัครมหาเสนาบดีเย่ ไฉนถึงมองข้าเช่นนั้น?”
เซียถงก่นเสียงเย็นชายิงคำถามออกไป แต่เย่หลีเทียนก็ยังมองนางเช่นนั้นไม่แปรเปลี่ยน
“เจ้าคิดว่า…ใครเก่งกว่ากันระหว่างข้ากับไป๋หลี่หาน?”
จู่ๆ เย่หลีเทียนก็เอ่ยถามออกมา
เซียถงสับสนไปชั่วขณะหนึ่งเมื่อได้ยินคำถามนี้ และไม่เข้าใจเลยว่าอีกฝ่ายกำลังหมายถึงอะไร จึงกล่าวตอบกลับไปเพียงว่า
“ขออภัยที่สายตาของข้ามิได้เฉียบแหลมนัก จึงมองไม่ออกว่าใครเก่งกว่ากัน”
“เซียถง ข้าช่วยเจ้าถอดถอนสัญญาหมั้นหมายกับเขาได้”
เย่หลีเทียนถอนสายตาออกห่างจากตัวนางไป ก่อนจะหลับตาลงและเอ่ยขึ้นประโยคนี้อย่างแผ่วเบา
เซียถงมองหน้าอีกฝ่ายอยู่สักครู่จากขั้นค่อยส่ายหัว และก้มศีรษะวางแผ่นคางซุกบนหัวเข่าพร้อมหลับตาลงตกสู่ห้วงนิทรา แต่จากนั้นระยะใหญ่ คล้ายได้ยินเสียงดังกึกกักดังขึ้นเป็นเวลานาน ดูเหมือนว่าเย่หลีเทียนกำลังขยับตัวควานหาบางสิ่งบางอย่างอยู่
“เจ้ากำลังมองหาสิ่งนี้อยู่กระมัง?”
เซียถงยังคงหลับตาไม่แปรเปลี่ยน เพียงเหยียดฝ่ามือกางออกไปตรงหน้า ซึ่งบนฝ่ามือสีขาวผ่องของนางปรากฏเป็นสร้อยข้อมือเส้นบางอยู่ มันเผลอร่วงออกมาในระหว่างที่เปลื้องผ้าเย่หลีเทียน ในตอนนั้น เนื่องจากเสื้อผ้าอีกฝ่ายมีแต่เหงื่อสกปรกเปียกชุ่ม นางจึงเก็บมันไว้กับตนเองชั่วคราวก่อน