ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 400 ทางแยก (2)
ตอนที่400 ทางแยก (2)
ตอนที่400 ทางแยก (2)
เย่หลีเทียนลุกขึ้นยืนตรง เซียถงหลับตานิ่งไม่ไหวติงใดๆ เป็นที่ชัดเจนว่านางไม่ได้ยินเสียงกรอบแกรบแสนแปลกประหลาดนี่ กวาดสายตาเพ่งมองไปทางด้านขวาของเซียถง ดวงตาโพล่งกว้างเบิกขึ้น มุ่งสมาธิพยายามเสาะหาต้นตอของเสียงดังกล่าว
ทว่าทันใดนั้น สายตาคตู่นั้นพลันหยุดนิ่งอยู่ ณ จุดหนึ่ง สีหน้าแปรเปลี่ยนทันควัน รีบวิ่งไปหาเซียถงพร้อมเสียงตะโกนว่า
“ระวัง!!”
เร่งเอื้อมมือปัดป้องทางด้านขาขวาของเซียถงดุจสายฟ้าฟาด ทว่ากลับสายเกินไป เย่หลีเทียนได้ยินเพียงเสียงกรีดร้องลั่นจากปากเซียถง ใบหน้ายับย่นเผยแสดงถึงร่องรอยความเจ็บปวด
เย่หลีเทียนชูสองนิ้วสะบัดฟันฟาดฉับหนึ่ง ตัดร่างตะขาบสีดำสนิทขนาดยาวสามนิ้วในพริบตา
เซียถงชำเลืองมองร่างตะขาบสีดำตัวยาวปล้องที่โดนผ่าสองซีกชักดิ้นชักงออยู่บนพื้น รีบหยิบเข็มเงินจากใต้แขนเสื้อออกมาสกัดจุดเส้นเลือดทั้งสามบริเวณสำคัญทั่วขาขวาอย่างรวดเร็ว
“ถูกตะขาบเมฆาทมิฬกัด แค่สกัดจุดฝังเข็มเพื่อหยุดการไหลเวียนโลหิตกลับเปล่าประโยชน์ ตะขาบชนิดนี้เป็นสัตว์อสูรแขนงพิษร้ายแรง แค่นี้กลับไม่เพียงพอ”
เย่หลีเทียนั่งหย่องก้มศีรษะอยู่ต่อหน้า ตรวจอาการบาดแผลที่ได้รับบริเวณเรียวขาขวาที่บวมเปงของเซียถงทันควัน
บริเวณที่อยู่ต่ำกว่าเรียวขาขวาลงไปทั้งหมด เสมือนถูกมดคันไฟนับล้านตัวรุมกัด กระแสความเจ็บปวดที่โฉบแล่นมหาศาลเกินจะบรรยายได้ เซียถงไม่สามารถทานทนความเจ็บปวดทรมานเช่นนี้ได้ไหวอีกแล้ว จึงคว้ามีดสั้นทอประกายเยียบเย็นขึ้นมา และแทงเข้าใส่เรียวขาตัวเองโดยตรง
เย่หลีเทียนคิ้วกระตุกวูบ หน้าเสียตื่นตระหนกสุดขีด รีบแหงนหน้ามองดูเซียถงใช้มีดสั้นเสียบเข้าเรียวขาอย่างไร้ความปราณีใดๆ จากนั้นก็ออกแรงลากกรีดลากเป็นทางยาว ไม่นานก็มีธารเลือดซึมทะลักออกมาตามทางที่กรีดยาว
สีหน้าเซียถงซีดเผือดเหงื่อแตกพลั่ก นางโยนมีดสั้นในมือทิ้งไป และใช้สองมือค่อยๆ บีบเคล้นบริเวณบาดแผลเพื่อรีดเลือดออกมาโดยไม่พูดไม่จาใดๆ สักคำ ปรากฏเป็นธารเลือดสีดำซึมไหลออกมาหยดใส่ถุงเท้ารองเท้าของนาง ไม่นานสิ่งของเหล่านั้นก็เน่าเปื่อยลงและกลายเป็นสีดำสนิทในเวลาต่อมา เย่หลีเทียนเฝ้ามองทุกการกระทำของเซียถงตั้งแต่ตอนถูกกัด ยันใช้มีดกรีดเนื้อตัวเองเพื่อรีดเลือดระบายออกมา ทุกขั้นตอนล้วนเกิดขึ้นจากการตัดสินใจในชั่วพริบตาของนางคนเดียวทั้งสิ้น ภายในใจเย่หลีเทียน เขารู้สึกชื่นชมปฏิกิริยาตอบสนองและการตัดสินใจที่รวดเร็วของเซียถงเป็นอย่างยิ่ง รวมไปถึงความใจเด็ดใจถึงของนาง
ไม่ว่าใครเมื่อโดนตะขาบกัด ต่อให้เป็นพวกมีความอดทนสูงขนาดไหน ล้วนแต่ต้องกรีดร้องลนลานเหมือนกันทั้งสิ้นด้วยความเจ็บปวด ไม่ก็โอดครวญถึงความโชคร้ายที่ต้องพบเจอ แต่หาใช่กับหญิงสาวนางนี้เลยสักนิด นางไม่พูดพล่ามอันใดให้เสียเวลาเปล่า และรีบทำทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตรอดอย่างใจเย็น
ไม่นานธารเลือดที่บีบเค้นให้ไหลรินออกมาจากสีดำก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนกลายเป็นสีแดง อาการบวมเป่งของเรียวขาก่อนหน้าก็ลดลงมากแล้ว จวบจนตอนนี้ เซียถงก็ยังมิได้แสดงสีหน้าท่าทีใดๆ ออกมาเลย เพียงฉีกชายกระโปรงส่วนหนึ่งมากดแผลเอาไว้ให้แน่นเพื่อห้ามเลือดต่อไป แลเห็นเย่หลีเทียนกำลังเฝ้าสังเกตการณ์ตาไม่กะพริบดังนั้น จึงเอ่ยเรียกอย่างใจเย็นขึ้นว่า
“ท่านอัครมหาเสนาบดีเย่ ข้ามีขวดบรรจุผงโอสถขับพิษเหน็บอยู่ที่เอว วานช่วยหยิบมันออกมาให้ที”
เย่หลีเทียนพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง รีบโน้มตัวเข้าใกล้ เพื่อไปหยิบขวดบรรจุผงโอสถขับพิษข้างเอวของเซียถงโดยไว ขณะคลำหาอยู่นั้น ก็เพิ่งนึกได้ว่า ตนกำลังโอบเอวของหญิงสาวเบื้องหน้าตนอยู่ ทันทีทันใด ก็พลันหวนนึกถึงความทรงจำในบ่อน้ำตกวันนั้น เซียถงเพิ่งขึ้นจากน้ำ เสื้อผ้าแพรพรรณเปียกชุ่มจนแนบติดเนื้อ แลเห็นเรือนร่างอันไร้ที่ติสีขาวละเอียดอ่อนดุจหิมะเลือนราง
ทั้งยังตอนนั้นในสถานศึกษาเซิงหลิงอีก ที่ตนเผลอไปกระชากเสื้อของนางจนขาดวิ่น เปลือยเปล่าท่อนบน จนเผยแสดงเรียวแขนและบริเวณกระดูกไหปลาร้าที่ลึกเกือบถึงเนินอกสีขาวผ่อง กระทั่งตอนนี้ ปลายนิ้วทั้งห้าของเขาได้มีโอกาสแตะสัมผัสเอวทรงเพรียวบางของนาง ถึงแม้รอยมีดกรีดเป็นทางยาวบนเรียวขาจะไม่ชวนมองเท่าไหร่นัก แต่กลับปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ตัวนางในเวลาอ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรงเฉกเช่นนี้ กลับดูมีเสน่ห์เกินหักห้ามใจ
หัวใจดวงนี้ของข้าระสับระส่ายเต้นแรงยิ่งขึ้น กลิ่นกายอันเป็นเอกลักษณ์ของอิสตรีช่างหอมหวน ข้าไม่อยากถอนมือออกจากตัวนางเลย
“ช่วยหยิบผงโอสถขับพิษให้ข้าที”
เซียถงพูดกระตุ้นกล่าวเร่ง
ชำเลืองข้างสบมอง สีหน้าการแสดงออกของหญิงสาวนางนี้ยังดูสงบเยือกเย็นดังเดิมก็จริงอยู่ แต่จะสังเกตได้ถึง ร่องรอยความไม่พอใจผ่านคู่คิ้วที่ยับย่นบางๆ ได้ชัดเจน เผยให้เห็นว่า ตัวนางในเวลานี้ค่อนข้างกังวลปานใด ดังนั้นเย่หลีเทียนจึงไม่กล้าอิดออด เม้มปากข่มกลั้นอารมณ์ที่ก่อเกิดภายในใจและเร่งคลำหาขวดบรรจุผงโอสถขับพิษต่อไปจนเจอ และส่งให้ในมือนาง กล่าวขึ้นอย่างไม่ค่อยแน่ใจว่า
“ชวดนี้กระมัง?”
“อืม ช่วนเทใส่แผลข้าที พิษที่เจือผสมอยู่ในเลือดยังไม่หมด วานเค้นแผลรีดเลือดออกมาระหว่างนั้นด้วย”
“หากพิษพวกนั้นยังตกค้างอยู่ในร่างกาย ต่อให้มีผงโอสถขับพิษก็เปล่าประโยชน์”
เห็นเย่หลีเทียนแสดงทีท่าลังเลเล็กน้อย เซียถงจึงกล่าวเร่งเร้ากระตุ้นอีกฝ่าย เขาหันหน้าชำเลืองมองอยู่ทีหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าตอบและเปิดฝ่าขวดออกมา เขย่าผงโอสถสีเหลืองอ่อนเทลงมาบนฝ่ามือ และค่อยๆ นำไปโรยบนบาดแผล พลางใช้อีกมือนวดเค้นรอบบาดแผล รีดเลือดสีแดงจนไหลปรี่ออกมา
ทันทีที่ผงโอสถสีเหลืองสัมผัสลงบนบาดแผลสด เซียถงรู้สึกเจ็บแสบทรมานเจียนตายทั้งเป็น กัดริมฝีปากแน่นจนเลือดซิบไหล วางสองมือคล้ำยันร่างตัวเองกับพื้นดิน จิกนิ้วทั้งสิบฝักลึกลงบนดินเหล่านั้น ไม่นานเกินรอ เลือดสีดำก็เริ่มไหลออกมาจากบาดแผลอีกครั้ง ทั้งยังส่งกลิ่นเหม็นเน่าจางๆ ฟุ้งไปทั่วอากาศ
เย่หลีเทียนเฝ้าสังเกตการณ์เซียถงเป็นระยะ นางเหงื่อแตกพลั่กดูเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส ใบหน้าซีดเซียวไร้เลือดหล่อเลี้ยง สองมือจิกดินหนึ่งปากฉีกกัดเสื้อตัวเองไม่คลายอ่อน เห็นแบบนั้น เขาก็เลยใช้แขนเสื้อปาดเช็ดเม็ดเหงื่อทั่วใบหน้าของนางให้ เนื่องด้วย เซียถงในเวลานี้มุ่งสมาธิทั้งหมดเพื่อข่มกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ จึงไม่ทันสังเกตเห็นอีกฝ่ายช่วยเช็ดเหงื่อให้ตน รวมไปถึงรอยยิ้มชื่นชมที่อีกฝ่ายมีให้
ผ่านไปสักครู่หนึ่ง ธารเลือดที่รินไหลออกจากบาดแผล ก็กลายมาเป็นสีแดงอีกครั้ง ดูเหมือนว่าพิษที่เจือผสมอยู่ภายในนั้นเกือบจะถูกขับออกโดยสมบูรณ์แล้ว เซียถงสูดหายใจเข้าแช่มลึก กล่าวขึ้นอย่างอ่อนแรงขึ้นว่า
“เลือดเปลี่ยนเป็นสีแดงสดอีกคราแล้ว ทำเช่นนี้อีกสักรอบน่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”
สิ้นเสียงลงเท่านั้น เย่หลีเทียนก็ก้มหน้าก้มตาบีบเคล้นบาดแผลต่อไป และทำอย่างเดิมอีกรอบหนึ่ง ธารเลือดสีแดงที่ไหลออกมานั่นเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีดำอีกครั้ง
ซึ่งในเวลานี้เอง อาการปวดบริเวณตั้งแต่เรียวขาไล่ลงมา เซียถงรู้สึกได้ว่ามันบรรเทาลงมากแล้ว หลังจากที่เลือดสีดำในรอบนี้ไหลออกมาจนหมดเกลี้ยง
“ล้างพิษตะขาบเมฆาทมิฬเสร็จ จำต้องได้รับการทำแผลที่เหมาะสมด้วย มิฉะนั้นขาของเจ้าอาจติดเชื้อจนถึงขั้นต้องตัดทิ้งได้”
เย่หลีเทียนกล่าวเตือนนางประโยคหนึ่ง พูดจบก็ฉีกเสื้อคลุมสีม่วงของตนออกมาผืนยาว และโรยผงโอสถสีเหลืองอ่อนชโลมทั่วแผลตบท้าย ก่อนจะนำผืนผ้าสีม่วงมาพันรอบเรียวขาของนาง