ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 401 กระท่อมไม้ในฐานลับใต้ดิน (1)
ตอนที่401 กระท่อมไม้ในฐานลับใต้ดิน (1)
ตอนที่401 กระท่อมไม้ในฐานลับใต้ดิน (1)
เลือดทางยาวตั้งแต่เรียวขาไล่ลงไปเกือบถึงข้อเท้ากลับมาเป็นสีแดงปกติอีกครั้ง จากฝูงมดคันไฟนับล้านยามนี้เสมือนนับพันที่รุมกัดแทะ กระแสความเจ็บปวดที่เซียถงได้รับนับว่าถูกเยียวยาบรรเทาลงมาก เหลือบเห็นเย่หลีเทียนฉีกเสื้อคลุมสีม่วงตนเองมาพันแผลให้ จึงกล่าวขึ้นว่า
“ครั้งนี้ข้าติดหนี้บุญคุณท่านแล้วจริงๆ หากมีโอกาสย่อมชดใช้คืนในภายภาคหน้า”
กล่าวจบ นางก็คว้าเศษเสื้อคลุมผืนนั้นมาพันแผลเองต่อ ทาบลงบนบาดแผลทางยาวที่ยามนี้ฉาบชโลมไปด้วยผงโอสถสีเหลืองอ่อน พันรอบเรียวขาให้กระชับแน่นพอประมาณ แล้วค่อยผูกปมให้แข็งแรงไม่หลุดโดยง่าย
เย่หลีเทียนเฝ้าดูอีกฝ่ายพันแผลด้วยตัวเอง แววตาอ้างว้างว่างเปล่า
คล้อยหลังผปฐมพยาบาลเสร็จสิ้น ทั้งสองก็มุ่งหน้าเดินต่อไปอีกครั้ง คราวนี้ระยะก้าวย่างของเซียถงดูช้าลงกว่าเดิมมาก และดูเหมือนว่าเย่หลีเทียนเองก็มิได้เร่งรีบจากออกไป ชะลอความเร็วลงกึ่งหนึ่งในระดับที่ใกล้เคียงกับนาง เพราะไม่อยากให้ตัวเซียถงรู้สึกแย่ที่เดินช้า แน่นอน นางเองย่อมทราบดีอยู่แก่ใจและรู้สึกขอบคุณอยู่ลึกๆ
ทั้งสองเดินทางอย่างึค่อยเป็นค่อยไป ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม ก็ปรากฏเป็นทางตันที่มีเพียงกำแพงตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า
ไม่มีทางไปต่อแล้ว? แต่ทางแยกทั้งสามสายนี้น่าจะเป็นทางออกไปตามจุดต่างๆ ภายในเมืองเฟิงหลี่แห่งนี้ ดังนั้นแล้ว กำแพงที่ขวางกั้นอยู่เบื้องหน้าจะต้องสามารถเปิดออกได้แน่นอน คิดได้เช่นนั้น เย่หลีเทียนเหลียวหลังมองเซียถงเจือแววสงสัย จากนั้นก็ใช้สองมือไล่คลำไปรอบกำแพงแถวนั้น พยายามเสาะหากลไกลับหรือปุ่มออะไรสักอย่างที่ซ่อนอยู่
เซียถงนั่งรออยู่เคียงข้างไม่ห่างนักเพื่อพักผ่อนเอาแรง ตอนนี้นางทั้งเหนื่อยทั้งหิว ผนวกกับที่เสียเลือดไปมากจากเหตุการณ์ก่อนหน้า ส่งผลให้สภาพร่างกายของนางทรุดโทรมค่อนข้างแย่
เย่หลีเทียนคลำตามกำแพงอยู่สักครู่หนึ่ง ทันใดนั้นกำแพงเบื้องหน้าที่ขวางกั้นเส้นทางเอาไว้ก็เปิดออก พร้อมเสียงกระแทกดังปัง ปรากฏทางเข้าสู่ห้องลับต่อไปมีขนาดเล็กแคบเท่ากับร่างคนหนึ่งคนพอดีต่อหน้าต่อตา เย่หลีเทียนก้าวเท้าเหยียบย่างมุ่งหน้าไปต่อ และเข้าห้องลับแห่งนั้นไป ขณะที่เซียถงฝืนสังขานร่างตัวเองให้ลุกขึ้นพร้อมเดินติดตามเข้าไป
นางเพิ่งย่างเท้าเข้าไปก้าวเดียว แต่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเย่หลีเทียนตะโกนลั่นออกมา พร้อมเหลียวหลังพุ่งออกมาหา ใบหน้าถอดสีดูตื่นตระหนกยิ่งยวด
“หนีไป! ภายในนี้เป็นรังตะขาบเมฆาทมิฬ!”
สิ่งแรกที่เซียถงรู้สึกได้คือ กลิ่นเหม็นสาบรุนแรง ก่อนที่นางจะมีเวลาปริปปากกล่าวเสียด้วยซ้ำ เย่หลีเทียนก็วิ่งเข้ามาโอบอุ้มร่างของนางสวมไว้ในอ้อมแขนแน่น และมุ่งหน้าหนีออกไปจากประตูลับสุดชีวิต ขณะนั้นเซียงได้จังหวะชำเลืองหางตามองสิ่งที่เกิดขึ้นด้านหลัง ก็พบคลื่นของเหลวสีดำที่ราวกับมีชีวิตเคลื่อนไหวได้ มันกำลังไหลบ่าทะลักล้นเข้าใส่ เสียงบรรดาขานับแสนล้านของตะขาบดังหยุบหยับไม่หยุดหย่อน
พอจินตนาการได้ว่า กำลังมีฝูงตะขาบเมฆาทมิฬจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังไล่ตามมาติดๆ อยู่ท้ายหลังของตน เซียถงถึงกับเสียวสันหลังวูบวาบอย่างอดมิได้ สองมือเร่งกระชับกอดรั้งเสื้อของเย่หลีเทียนเอาไว้แน่น อาศัยพลังกายของนางในเวลานี้ ย่อมไม่มีทางวิ่งหนีเหล่าฝูงสิ่งมีชีวิตขยะแขยงปานนี้ที่ไล่หลังได้พ้นแน่นอน
โชคยังดีที่ เย่หลีเทียนมีความเร็วการเคลื่อนไหวที่สูงมาก ในชั่วอึดใจเดียวก็สามารถวิ่งหนีกลับออกมาหน้าปากทางเข้าลับได้ทันท่วงที และรีบผลักกลไกปิดตายกำแพงลงมาโดยไว กลับมายืนอยู่ทางตันที่เดิม เขาขมวดคิ้วแน่นและกล่าวขึ้นว่า
“เหลือจะเชื่อเลย! ใครจะไปคิดว่า ตาแก่คณบดีนั่นจะซุ่มเลี้ยงฝูงสัตว์ประหลาดพวกนี้ไว้ที่นี่ด้วย! ในที่สุดตอนนี้ เราก็พอเข้าใจแล้วว่า ไฉนพวกขุนนางตงฉิน [1] ทั้งหลายในตงหลี่ถึงได้หายตัวไปโดยไม่ทราบสาเหตุ! น่าจะกลายเป็นอาหารของเจ้าบัดซบพวกนี้หมดแล้วกระมัง!”
“ถิ่นฐานใต้ดินของคณบดีกว้างใหญ่เกินกว่าที่คาดการณ์เอาไว้มาก! ไม่รู้เลยว่า องค์จักรพรรดิซีฉินตกรางวัลใดบ้างแก่เขา ถึงได้มีปนิญาณแน่วแน่ ยอมทุ่มแรงกายแรงใจทำทุกอย่างเพื่อองค์จักรพรรดิซีฉินถึงขนาดนี้”
เซียถงกระโดดลงจากอ้อมแขนของเย่หลีเทียน หันซ้ายแลขวาสักครู่หนึ่ง และจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า
“เดี๋ยวก่อน นี่มันไม่ใช่ทางเดิมที่เรามากัน?”
“จริงด้วย… อาจเป็นกลไกอะไรบางอย่างที่ทำให้เส้นทางถูกปรับเปลี่ยนไประหว่างที่หนีฝูงตัวบัดซบพวกนั้นออกมา?”
เย่หลีเทียนอาสาเดินนำอีกครา ทั้งยังกล่าวต่ออีกว่า
“เซียถง เจ้าระวังตัวให้มาก มิอาจทราบได้เลยว่า ยังจะมีสิ่งใดรออยู่เบื้องหน้า”
เซียถงพยักหน้าและเดินตามรอยอีกฝ่ายชนิดก้าวต่อก้าว พร้อมกับอาการวิงเวียนศีรษะที่รุมเร้าต่อเนื่องเป็นระยะ
เมื่อเดินย้อนออกมา คราวนี้เป็นเส้นทางทอดยาวปูทับด้วยแผ่นศิลาสีครามฟ้า รอบกำแพงขนาบสองด้าน มีตะเกียงไฟนกกระเรียนสีทองแดงประดับประดา ติดห่างกันทุกห้าสิบก้าวโดยประมาณ แสงไฟสลัวระหว่างทางเดินค่อนข้างสว่างกว่าที่ผ่านมา
“เจ้าเดินค่อนข้างช้า เกรงว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ทราบเมื่อใดจะออกไปได้”
ระหว่างเดินไปได้สักครู่ เย่หลีเทียนก็หันมากล่าวกับเซียถง สีหน้าการแสดงออกดูค่อนข้างเป็นกังวล
“ท่านอัครมหาเสนาบดีเย่ล่วงหน้าไปก่อนเถอะ ข้าค่อยๆ เดินเช่นนี้อาจช้ากว่าแต่ถึงแน่นอน”
พลางคิดไปว่า เย่หลีเทียนหมดความอดทนที่ต้องรอตนเองแล้ว เซียถงจึงกล่าวตอบเช่นนี้ออกไป
“หากปล่อยให้เจ้าเดินต่อไปอาจไม่ดีต่อบาดแผลที่ขา อย่าลืมไปเสีย เจ้าเพิ่งโดนตะขาบเมฆาทมิฬกัด อันที่จริง เจ้าไม่ควรขยับเขยื้อนไปไหนด้วยซ้ำ”
เย่หลีเทียนกล่าวขึ้นอีกครา
เซียถงมองหน้าอีกฝ่าย แววตาแลดูว่างเปล่า เพราะมิอาจทราบได้เลยว่า เขากำลังหมายถึงอะไรกันแน่ แต่ยังไม่ทันได้ปริถาม จู่ๆ แผ่นหลังของชายหนุ่มเสื้อคลุมม่วงเบื้องหน้าก็จ่อย่อลงมา ราวกับกำลังรอให้นางขึ้นขี่หลัง สุ้มเสียงของเขาดังขึ้นอีกว่า
“เจ้าขี่หลังเราเถอะ หากใช้วิธีนี้น่าจะเร็วกว่าเดิมมาก”
เซียถงตะลึงงันไปชั่วครู่หนึ่ง ท่าทางการแสดงออกของเย่หลีเทียนที่ผ่านมา มักดูจะเป็นปฏิปักษ์ไม่กินเส้นกับนางอยู่ตลอด อย่างมากที่สุด ระหว่างที่ถูกคุมขังด้วยกันก็แค่มีโอกาสได้เห็นแง่มุมเศร้าเสียใจของอีกฝ่ายบ้างบางส่วน แต่ใครจะไปคาดคิด ตั้งแต่ที่สังหารปรมาจารย์เสวี่ยและช่วยกันหนีออกมา ทัศนคติของเย่หลีเทียนที่มีต่อนางก็ดูเหมือนจะแปรเปลี่ยนไป เขาทั้งอ่อนโยนและใจกว้างมากจนน่าประหลาด ทันทีที่เห็นอีกฝ่ายทำเช่นนี้ นางต้องการจะปฏิเสธตอบทันควัน แต่คิดไปคิดมา ตลอดที่ถูกคุมขังด้วยกัน นางก็เคยมอบโอสถขับพิษให้ แถมยังเฝ้าเช็ดตัวดูแลอีกฝ่ายไม่ห่างสายตา ในเมื่อเป็นเช่นนั้น นางจึงปีนขึ้นขี่บนแผ่นหลังของเย่หลีเทียนโดยไม่มีลังเล และกล่าวขึ้นว่า
“ก่อนหน้า ข้าเคยดูแลเฝ้าไข้ท่านมาก่อน แล้วตอนนี้ท่านก็ให้ข้าขี่หลังคอยเป็นเท้าให้แทน เท่านี้หนี้บุญคุณของเราก็เป็นอันเจ๊ากัน”
เย่หลีเทียนชะงักฝีเท้าเล็กน้อย หยุดเดินไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่นานจึงค่อยมุ่งหน้าเดินไปต่อ
ในไม่ช้า จากทางเดินที่ขรุขระเล็กแคบก็กลายมาเป็นพื้นดินที่ถูกปรับราบเรียบเสมอกัน ปรากฏขึ้นอยู่ต่อหน้าพวกเขาทั้งสอง ทั้งยังมีกระท่อมไม้หลังเล็กๆ ซึ่งสถานที่แห่งนี้มีทั้งประตูและบานหน้าต่าง รวมไปถึงสิ่งของเครื่องใช้ภายในที่ได้รับการตกแต่งพร้อมอยู่ สามารถเข้าอาศัยได้ทุกเมื่อ เคียงข้างไม่ห่างมีลำธารสายน้อยๆ ตัดผ่านอยู่สายหนึ่ง ลานหน้ากระท่อมยังเป็นสวนดอกไม้สีชมพู เห็นแล้วรู้สึกชื่นบานจริงใจโดยแท้
แต่บริเวณใต้ดินแห่งนี้ที่อับแสงตะวัน ดอกไม้พวกนี้จะเติบโตได้ยังไง? ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เซียถงจึงเอื้อมมือไปเด็ดดอกไม้สีชมพูแถวนั้นขึ้นมา ก่อนจะพึงทราบว่า ดอกไม้เหล่านี้ทั้งหมดเป็นของปลอม แต่รายละเอียดทุกอย่างมันดูเหมือนของจริงมากจนสามารถตบตาคนภายนอกได้
“ดอกไม้พวกนี้ของปลอม”
เซียถงมิได้จับดอกไม้ปลอมพวกนี้โดยตรง แต่ใช้ผ้าเป็นตัวกลางระหว่างนำจับ จากนั้นก็ส่งให้เย่หลีเทียนดู
เย่หลีเทียนเหลือบมองดอกไม้ปลอมเล็กน้อย ค่อยเหล่มองกระท่อมไม้ที่อยู่เคียงข้าง เอ่ยถามสีหน้าสับสนขึ้นว่า
“ไฉนถึงกระท่อมไม้อยู่ในฐานใต้ดินลับแห่งนี้? หรือมีใครคนอื่นอาศัยอยู่อีก?”
มองผ่านหน้าต่างเปิดโล่งบานนั้นเข้าไป ก็มีเตียงและโต๊ะไม้ พร้อมอุปกรณ์ทำครัวอีกประมาณหนึ่ง ภายในตัวบ้านค่อนข้างสะอาด การตกแต่งค่อนข้างเรียบง่ายราวกับกระท่อมไร่นาทั่วไป
“ลองเข้าไปสำรวจดูเถอะ”
เซียถงโยนดอกไม้ปลอมในมือทิ้งไป และเดินไปทางกระท่อมไม้หลังนั้นทันที ทว่าแขนเสื้อของนางกลับถูกฉุดรั้งกระตุกให้หยุด ฝีเท้าชะงักค้างฉับพลัน ขณะที่กำลังเหลียวหลังมอง ก็เป็นเย่หลีเทียนที่ตรงเข้ามาตบไหล่ ก้าวขึ้นนำหน้านางพร้อมกล่าวว่า
“ให้เรานำเถอะ”
วาจาน้ำเสียงฟังดูเป็นธรรมชาติ กระทั่งการเคลื่อนไหวของเขาเองก็เช่นกัน ราวกับทุกสิ่งอย่างดูสบายๆ ไม่มีอะไรน่าตึงเครียด
เซียถงเฝ้าจับจ้องเย่หลีเทียนอยู่ท้ายหลัง มองดูทีท่าของอีกฝ่ายด้วยความสงสัย
[1] ขุนนางที่ซื่อสัตย์ มีคุณธรรม