ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 404 อดีตของคณบดี (2)
ตอนที่404 อดีตของคณบดี (2)
ตอนที่404 อดีตของคณบดี (2)
“เจ้าไป๋หลี่เฉิง! พวกโกหกคบไม่ได้โดยแท้! ตอนนั้นมันเคยสาบานกับข้า จะไม่นำเรื่องนี้ไปบอกใคร! ส่วนเจ้าก็รู้มากเกินไปแล้ว! เกรงว่าต้องฆ่าปิดปากให้ตายตรงนี้!”
คณบดีสาดประกายตาฉายแววลึกล้ำ ทั่วกายาฉาบคลุมจิตสังหารท่วมท้น สิ้นเสียงกล่าวจบ ก็สะบัดแขนเสื้อชักหอบคลื่นกระแทกลมปราณระลอกใหญ่โจมตี
“หุหุ ข้ายังมีอีกเรื่องที่จำต้องบอกกับท่าน”
เย่หลีเทียน ตบฝ่ามือเข้าปะทะหักล้างการโจมตีลง กล่าวกับคณบดีขึ้นต่อว่า
“ท่านอยากรู้หรือไม่ว่า ใครกันที่หลินหว่านเอ๋อร์จงเกลียดจงชังที่สุด?”
“ผู้ใดกันล่ะ?”
คณบดีเพ่งสายตาจับจ้องอีกฝ่ายเขม็งขึงขัง พร้อมเริ่มสัประยุทธ์เดือดต่อได้ทุกเมื่อ
“ท่านยังไงล่ะ!”
เย่หลีเทียนหรี่ตาเร้นประกายสาดแสง จ่อจ้องประจันหน้ากับคณบดีประดุจคมกระบี่แหลมทิ่มแทง
“ก่อนที่นางจะสิ้นพระชนม์ลง ได้ลั่นวาจาไว้ดังว่า คนที่นางจงเกลียดจงชังสุดหัวใจคือ ตัวท่าน เพราะท่านพลาดเอาพรหมจรรย์และความสุขชั่วชีวิตของนางไป นางพลาดท่าให้กำเนิดเมล็ดพันธุ์ที่ชั่วร้ายที่สุดของท่านออกมา ผลักนางลงสู่ขุมนรกไร้สิ้นสุด และจมลงสู่ความตายอันแสนทรมาน”
“ไม่! ไม่! ไม่จริง! ข้ามิได้ต้องการทำร้ายนางเลยสักนิด! ข้า…ข้าแค่รักนางเกินไปหน่อยเท่านั้น! ข้ารักนางสุดหัวใจ กระทั่งชีวิตนี้ก็ยังมอบให้ได้! แต่นางกลับอยากไปอยู่กับไอ้สุนัขนั่น! ได้ขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิซีฉินแล้วยังไง? มันมีดีอะไรกว่าข้า?! อันที่จริงหว่านเอ๋อร์มิได้รักมันเลยสักนิด เพียงหลงคารมของมันไปชั่วขณะเท่านั้น หว่านเอ๋อร์กับข้า พวกเราแอบมีใจให้กันตั้งแต่เยาว์วัย ดังนั้นนางจะไปปันใจให้คนอื่นได้เยี่ยงไร?!”
สีหน้าของคณบดีเริ่มแสดงอาการซีดเซียวออกมาจนคล้ายแผ่นกระดาษขาว กระแสพลังลมปราณที่โคจรรอบกายเริ่มอ่อนกำลังลง จนสลายหายไปในท้ายที่สุด ท่าทางการแสดงออกดูระสับระส่ายร้อนใจ ส่ายศีรษะไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความไม่เชื่อ
“ถึงแม้นางจะโตมากับท่าน แม้ว่าท่านและนางเคยมีใจให้กันในตอนนั้น แต่…”
มุมปากเย่หลีเทียนกระตุกยิ้มเยาะ เน้นเสียงสะกดคำต่อคำกล่าวว่า
“แต่นางก็ยังหลงรักอดีคจักรพรรดิซีฉินพระองค์ก่อนอยู่ดี”
“ไม่จริง! มันไม่ใช่แบบนั้นเลย! คนที่หว่านเอ๋อร์รักด้วยใจจริงก็คือข้า! นางแค่หลงผิดไปชั่วขณะเท่านั้น! แต่ข้าก็ไม่ถือโทษโกรธนางหรอก เพราะข้าเองก็รักนาง ไม่ว่านางจะทำผิดพลาดสักกี่ครั้ง ข้าคนนี้ย่อมให้อภัยได้เสมอ! ข้ารอได้ รอนางเปลี่ยนใจได้ตลอดนั่นแหละ รอจนกว่าสักวันนางจะตาสว่าง ได้เห็นว่าใครกันที่รักนาง ใครกันที่จริงใจต่อนางที่สุด ดังนั้น…ดังนั้น…ข้าไม่โกรธเลยหว่านเอ๋อร์ ข้าไม่เคยโกรธเจ้าเลยสักครั้ง…”
สีหน้าการแสดงออกของคณบดีดูโศกเศร้าขมขื่นเกินบรรยาย เขาหันหลังไปทางกำแพง เงยหน้ามองภาพวาดที่อยู่เหนือศีรษะ
หญิงสาวในภาพวาดนางนั้นช่างงดงามประดุจเทพธิดา นัยน์ตาสวยบริสุทธิ์ไร้ราคีคู่นั้นของนางราวกับว่ากำลังจ้องมองมาที่เขาด้วยความเศร้าโศกเช่นกัน
คณบดีทิ้งตัวคุกเข่าลงกับพื้น ยกมือสองข้างพิงกับกำแพง ทั้งยังแหงนศีรษะเงยมองหญิงสาวในภาพวาดนั้น จู่ๆ ก็บ่นพึมพำกับตัวเองว่า
“หว่านเอ๋อร์ คนที่เจ้ารักที่สุดคือข้าใช่ไหม? แต่เพราะพิธีอภิเษกสมรสกับไอ้สุนัขนั่น จึงทำให้เจ้าจำต้องตัดใจกับข้าใช่หรือไม่? ยังจำได้ไหม ตอนที่เราเริ่มเรียนศิลปะการต่อสู้ด้วยกันกับท่านอาจารย์ในวัยเด็ก? ไม่มีใครรู้จักเจ้าดีไปกว่าข้าอีกแล้ว สายสัมพันธ์อันดีตลอดมานับหลายสิบปี ไฉนกัน…ถึงถูกไอ้สุขันนั่นเข้ามาแทนที่ได้? มันรู้จักเจ้าเพียงไม่กี่วันด้วยซ้ำ ตัวเจ้า…ตัวเจ้าเพียงหลงคารมของมันชั่วขณะ แต่เมื่อเวลาผ่านไป สักวันเจ้าจะได้รู้เองว่า คนที่จริงใจและปรารถนาดีที่สุดกับเจ้าก็คือตัวข้าเอง หว่านเอ๋อร์ เจ้ากลับมาเถิด ข้าไม่เคยโกรธเกลียดเจ้าเลยสักนิด พวกเราจะทำราวกับว่าเหตุการณ์พวกนั้นไม่เคยเกิดขึ้น และมาใช้บั่นปลายชีวิตที่เหลือ อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขด้วยกันเถอะ…”
“นางตายไปแล้ว นางไม่มีทางกลับมาหาเจ้าอีกแล้ว”
เย่หลีเทียนเน้นเสียงตอบ กล่าวตอกย้ำความจริงให้อีกฝ่ายฟัง
“เจ้ามันพูดไร้สาระ! พูดจาไร้สาระ! หว่านเอ๋อร์ยังไม่ตาย! นางอาศัยอยู่กับข้ามาโดยตลอด! เจ้าเห็นที่นี่หรือไม่? มันยังเหมือนกับบ้านที่เราเคยอยู่ในตอนนั้นทุกประการ! ไม่เคยมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงเลย! ต้นกล้วยไม้ที่หว่านเอ๋อร์ชื่นชอบก็ยังคงอยู่ สวนหน้าบ้านก็ยังมีดอกไม้บ่งบานเป็นปกติ! ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง!!”
คณบดียืนขึ้นทันทีด้วยความโกรธ ชี้นิ้วไปยังสิ่งของต่างๆ รอบกายเพื่อสาธยายถึงทุกสิ่งอย่างที่ยังคงเดิมดั่งในอดีต
เย่หลีเทียนมองหน้าอีกฝ่าย ปิดปากเงียบไม่พูดจาอันใดอีก
“จงฟัง! หว่านเอ๋อร์น่ะ นางชอบภาพอักษรของหวางซีจือเป็นที่สุด! ซึ่งข้าเองก็เก็บสะสมให้นางไว้ตั้งมากมาย!”
คณบดีรีบวิ่งไปเปิดตู้ไม้ใบหนึ่งที่อยู่ชิดผนังด้านข้าง ดวงตาแดงก่ำเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา บรรจงหยิบกองม้วนภาพอักษรจำนวนหลายสิบชุดออกมา คลี่กางออกมาอย่างบรรจงประณีต ราวกับกำลังถือครองมหาสมบัติอยู่ในมือ แหกปากตะโกนลั่นใส่เย่หลีเทียน
หว่านเอ๋อร์ยังจะไปมีใจให้คนอื่นได้เยี่ยงไร ในเมื่อเขาทำทุกอย่างแทบถวายชีวิตให้นาง!
“ดูนี่สิ! ดูนี่สิ!”
หลังจากวางภาพอักษาหลายม้วนกองลงตรงหน้า เขาก็รีบวิ่งไปชี้กาน้ำชากระเบื้องเคลือบสีครามม่วง พร้อมชุดจอกชาบนโต๊ะอีกครา
“นี่เป็นชุดเครื่องชาที่โปรดปรานที่สุดของหว่านเอ๋อร์ ข้ายังเก็บรักษามันไว้เป็นอย่างดีราวกับของใหม่ ข้าดีกับนางขนาดไหน เจ้าเองก็มิใช่ว่าจะไม่เห็น? เช่นนี้แล้วนางหรือยังจะไปรักใครคนอื่นได้? บางที ข้าเองก็คิดว่า นางจะโดนยาเสน่ห์ที่ไอ้สุนัขนั่นลอบวางในอาหารแน่นอน! แล้วก็…แล้วก็…ที่สำคัญที่สุดเลย หากนางมิได้รักข้าจริงๆ แล้วมีหรือจะยอมอุ้มครรภ์ ให้กำเนิดบุตรชายพยานรักของเราสอง?”
“ผิดแล้ว นางมิได้ต้องการเด็กคนนั้นเลย แต่ทั้งหมดเป็นเพราะ นางมีอาการซึมเศร้าขั้นรุนแรงจนป่วยหนัก หมอหลวงในตอนนั้นบอกว่า ด้วยสภาพร่างกายของนางเช่นนี้ จะไม่สามารถมีลูกได้อีกแล้วในชีวิต เช่นนั้น นางจึงต้องจำใจอุ้มครรภ์ และให้กำเนิดบุตรชายของเจ้าออกมา โดยที่เจ้าตัวไม่เต็มใจเลยแม้สักนิด”
เย่หลีเทียนกล่าวอธิบายให้ฟังโดยละเอียด ชัดถ้อยทุกคำพูด
“จะ-เจ้า! หยุดพูดจาโกหกได้แล้ว! พวกคนจากตงหลี่ก็เหมือนกันหมด! ไอ้พวกบัดซบไร้ยางอาย! ทั้งเจ้าทั้งไป๋หลี่เฉิงมันก็สุนข์จรพันธุ์เดียวกันหมด พยายามทำลายความรักระหว่างข้ากับหว่านเอ๋อร์! ลงนรกไปเสียเถอะ!!”
คณบดีดวงตาแดงก่ำแปรเปลี่ยนเป็นสีโลหิตฉาน สะบัดแขนเสื้ออย่างแรง เรียกกระบี่เล่มยาวจากกลางอากาศขึ้นมาในมือ รุกหนักกระหน่ำสะบั้นฟันฟาดใส่เย่หลีเทียนประดุจสายฟ้า
แขนเสื้อคลุมยาวสีม่วงของเย่หลีเทียนโหมกระพือ เรียกอัญเชิญกระบี่เล่มหนึ่งออกมา เข้าปะทะชนก่อเกิดเป็นศึกสัประยุทธ์เดือดในพริบตา
สองคมกระบี่ฟาดประสานเสียดสี ก่อเกิดประกายไฟเสียดสาดกระจายทั่วสารทิศวูบวาบ ห้วงอากาศสั่นกระเพื่อมรุนแรง คณบดีร่ายเพลงกระบี่หลากกระบวนทับซ้อน หลอมระดมลมปราณหอบใหญ่ ฉาบผนึกบนใบกระบี่ในมือเพิ่มพูนอานุภาพทำลายล้างเป็นทวี กระหน่ำโจมตีใส่เย่หลีเทียนไม่หยุดหย่อน ทั้งสองพัลวันห่ำหันกันในกระท่อมไม้หลังนั้น
ทางฝั่งเซียถงที่ทำอะไรไม่ได้มาก จำต้องรีบหาที่หลบภัยป้องกันลูกหลง กรอกเทพลังลมปราณที่มีอันน้อยนิด ผนึกสร้างเป็นเกราะลมปราณคลุมเคลือบร่างกายเป็นปราการกันภัย
หากสองคนนี้ต่อสู้สัประยุทธ์กันด้านนอกยังพอทำเนา แต่นี่กลับระเบิดภูเขาเผากระท่อมกันกลางบ้าน ผนวกกับสภาพร่างกายปัจจุบันของนาง กล่าวได้ว่า หากพลาดโดนลูกหลงแม้แต่นิดเดียว มีหวังได้ตายอนาถ
คลื่นคมกระบี่โหมซัดใส่กันจนกระจายไปทั่วไร้ทิศทาง เครื่องใช้ภายในบ้านทั้งหลายแลระเบิดเป็นเสี่ยง แตกละเอียดเป็นผุยผงเพราะคลื่นคมกระบี่สุดโกลาหลเหล่านั้น อีกทั้งรัศมีแรงกดดันสุดชั่วร้ายที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างของทั้งสอง ทำเอากระท่อมไม้หลังนี้เกิดปรากฏการณ์สั่นไสวรุนแรง เสมือนมีแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ กำแพงไม้ชั้นหนาบังเกิดรอยแตกร้าวแผ่ออกดั่งใยแมงมุม กระจกหน้าต่างแหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ภายใต้สถานการณ์ชุลมุนวุ่นวาย เซียถงนำเศษชิ้นส่วนเตียงไม้ที่ถูกทำลายไปก่อนหน้า ยกขึ้นปิดป้องเป็นโล่ให้ตัวเอง ภายในใจอยากจะหนีออกจากที่นี่ไปอย่างยิ่ง เช่นนั้นแล้ว นางจึงเสาะหาจังหวะเหมาะสม ตั้งใจจะใช้พลังทั้งหมดทะยานหนีออกไปโดยทันที