ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 406 ความเกลียดชังของหลินหว่านเอ๋อร์ (1)
ตอนที่406 ความเกลียดชังของหลินหว่านเอ๋อร์ (1)
ตอนที่406 ความเกลียดชังของหลินหว่านเอ๋อร์ (1)
เซียถงวางใบหูแนบกับบริเวณปากของภาพวาด ทำท่าทำทีรับฟังพลางพยักหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง
“เช่นนั้นเองรึท่านพระมารดาหลวง? หม่อมฉันเข้าใจแล้ว!”
ถอนใบหูออกมาจากภาพวาดหลินหว่านเอ๋อร์ เซียถงกล่าวน้ำเสียงดุกร้าวขึ้นว่า
“หลินหว่านเอ๋อร์กล่าวยืนยันกับข้าจากปากของนางเอง ท่านคือฆาตกรฆ่านางตัวจริงไม่มีผิดเพี้ยน! มิเช่นนั้นแล้ว ภาพวาดใบนี้ สายตาของนางมีหรือจะดูเศร้าหมองอย่างน่าประหลาด? คนที่มีร่างกายแข็งแรง ฝึกปรือวรยุทธ์ตั้งแต่เด็กอย่างนาง มีหรือจะมาป่วยตายโดยง่ายปานนี้? ท่านนั่นแหละคือคนร้ายปลิดชีพนาง! คนที่นางเกลียดชังที่สุดในชีวิตก็คือ ตัวท่านหาใช่ใครอื่นไม่! แท้ที่จริง ท่านนั่นก็แค่คนเห็นแก่ตัว ไม่ให้เกียรติการตัดสินใจของนางเลยแม้แต่น้อย! มันถูกแล้วรึที่หยิบใช้วิธีสกปรกเพื่อร่วมหลับนอน ให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียง!”
“ไม่ใช่! ไม่ใช่แบบนั้น! หว่านเอ๋อร์ฟังข้าก่อนสิ! มันไม่ใช่แบบนั้นเลยหว่านเอ่อร์!”
คณบดีสะกดสายตาหยุดมองไปที่หญิงสาวในภาพวาด รีบส่ายหน้ากล่าวปฏิเสธทันที สีหน้าตื่นตูมรุ่มร้อนใจ
เซียถงแนบใบหูลงไปที่ภาพวาดอีกครั้ง พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม กล่าวกับคณบดีขึ้นอีกว่า
“หลินหว่านเอ๋อร์ นางยังกล่าวกับข้าอีก ตลอดชีวิตที่ผ่านมา นางคิดว่า ท่านคือมิตรสหายคนสำคัญที่ดีต่อนางที่สุดบนผืนพิภพแห่งนี้แล้ว แต่ใครจะไปคิด ท่านกลับทรยศหักล้างต่อความเชื่อใจของนางที่มีให้ ด้วยการทำเรื่องสกปรกเฉกเช่นนี้กับนางได้ลงคอ ความโศกเศร้าที่เก็บงำอยู่ในใจเรื่อยมา มันทรมานยิ่งกว่าความตาย! หากไม่ใช่เพราะตัวท่าน นางคงไม่ต้องตรอมใจตายท่ามกลางความทรมานดั่งขุมนรกเช่นนี้ และไม่ต้องกลายมาเป็นวิญญาณอาฆาตสิ่งสู่อยู่ในภาพวาดใบนี้! ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ดวงวิญญาณอาฆาตของนางสาปแช่งตัวท่านขอให้ไม่ตายดีทั้งวันคืนไม่มีหยุดหย่อน ฝากฝังให้ข้าเป็นตัวแทนของนาง ช่วยสังหารท่านเพื่อชำระความโกรธแค้นในใจให้มลายสิ้น! นางจะได้ไปสู่สุคติเสียที!”
“หว่านเอ๋อร์ มันไม่ใช่แบบนั้น! ฟังข้าก่อนสิ! ขะ-ข้า…ที่ข้าทำไปเพราะรักเจ้าทั้งสิ้น! ข้าไม่รู้…ข้าไม่รู้ว่าทุกอย่างมันจะจบลงเช่นนี้! หว่านเอ๋อร์ ข้าขอโทษ! ข้าขอโทษ…”
คณบดีสืบเท้าก้าวตรงมายังภาพวาด ราวกับถูกมนต์สะกดตกสู่ภวังค์ไปเสียแล้ว ยกมือทั้งสองข้างขึ้นพนมไหว้ เสมือนว่าหลินหว่านเอ๋อร์ตัวจริงกำลังยืนอยู่ต่อหน้าต่อตา
“เดี๋ยวก่อน”
แลเห็นคมกระบี่ยาวของเย่หลีเทียนเตรียมจะแทงทะลุขั้วหัวใจคณบดีจากด้านหลัง เซียถงกล่าวห้ามปรามเอาไว้ชั่วขณะ
“หว่านเอ๋อร์ ข้าผิดไปแล้ว ข้าขอโทษ… ข้าทราบดี…ทราบมาตลอดเลยว่า คนที่ทำร้ายจิตใจเจ้าจนต้องตายเช่นนี้ก็คือข้า หว่านเอ๋อร์ หลายสิบปีที่ผ่านมา ข้าเองก็จมอยู่กับความรู้สึกผิดนี้มาโดยตลอด”
เดินโซซัดโซเซไปมาพร้อมสองมือพนมไหว้ กล่าวขอโทษต่อหน้าภาพวาดหลินหว่านเอ๋อร์ เนื้อตัวสั่นสะท้าน เดินขึ้นหน้าอีกไม่กี่ก้าวก็ทิ้งตัวลงคุกเข่ากระแทกพื้น ทันใดนั้นเอง จู่ๆเขาก็ยกฝ่ามือขึ้นตบกะโหลกศีรษะอย่างแรงอยู่หลายสิบที พูดทั้งน้ำตาขึ้นว่า
“หว่านเอ๋อร์ ยกโทษให้ข้าด้วยเถิด หากเจ้าแค้นเคืองอันใด ก็นำมาลงกับข้าได้เลย ข้ายอมรับผิดทุกอย่างแล้ว…”
เขายังคงหวดฝ่ามือตบใส่กะโหลกศีรษะอยู่แบบนั้นไม่หยุดหย่อน จนสักครู่หนึ่ง ก็เริ่มมีเลือดไหลออกมาจากทางรูหูและรูจมูก
เซียถงยืนจับจ้องอีกฝ่ายที่นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า ในฐานะผู้หญิงที่เคยโดนคนที่ไว้ใจที่สุดทรยศหักหลังมาเหมือนกัน ถึงจะไม่กล้าพูดได้เต็มปากว่า นางเข้าใจหลินหว่านเอ๋อร์ดี แต่ก็พอจะคาดเดาสิ่งที่อยู่ในหัวอีกฝ่ายได้ไม่มากก็น้อยเช่นกัน จึงเลือกที่จะกล่าวออกไปในนามของหลินหว่านเอ๋อร์
มีหรือจะไม่ทราบว่า ความรักที่คณบดีมีให้ต่อหลินหว่านเอ๋อร์มันบริสุทธิ์เพียงใด แต่สิ่งที่อีกฝ่ายเลือกกระทำมันก็ผิดมหันต์เกินกว่าจะให้อภัยได้ ผู้หญิงหาใช่สิ่งของที่มาเติมเต็มความปรารถนาของผู้ชาย คนอย่างพวกนางเองก็มีชีวิตจิตใจ มีความรู้สึกไม่ต่างจากคนอื่นเช่นกัน และหลินหว่านเอ๋อร์เองก็มีสิทธิ์ที่จะใช้ชีวิตกับคนที่รักอย่างมีความสุข แล้วเจ้าเป็นใคร ถึงกล้าดีมาพรากชีวิตในอนาคตแสนสุขไปจากนาง?
คณบดีเองก็คงรู้สึกผิดอยู่แก่ใจมาโดยตลอด จึงทำทุกอย่างเพื่อปกปิดความรู้สึกผิดเหล่านี้ในใจเสมอมา พยายามปรับตัวให้ดีและเหมาะสมอย่างที่ควรจะเป็นมากขึ้น เฝ้าหลอกตัวเองเรื่อยมาว่า หลินหวานเอ๋อร์ยังคงรักเขา และผลักไสความรับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องการตายของนางทั้งหมดให้แก่อดีตจักรพรรดิซีฉินพระองค์ก่อน
ยิ่งผ่านไปนานวันเข้า ภาพลวงตาและเรื่องโกหกเหล่านั้นที่คณบดีสร้างขึ้นมา หวังเพื่อหลีกหนีจากความเป็นจริง ก็ยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้นและมากขึ้น จนท้ายที่สุดมันก็ได้หลอมรวมกับความทรงจำในอดีตจนทุกอย่างผิดเพี้ยนไปเสียหมด เรื่องจริงกลับกลายเป็นสิ่งไม่จริง เรื่องโกหกกลับกลายเป็นถูกต้องไปเสียดื้อๆ
“หลินหว่านเอ๋อร์ยังบอกอีกว่า นางจะไม่มีวันอภัยให้ท่าน”
เซียถงกล่าวขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงวาจาหนักแน่นมั่นคง
“หว่านเอ๋อร์ เจ้าจะไม่ยอมยกโทษให้ข้าคนนี้เลยจริงๆรึ?”
คณบดีเงยหน้ามองภาพวาดทั้งน้ำตา ปลดปล่อยเสียงร้องสะเทือนอารมณ์ สุดแสนสะท้านใจออกมาจากเบื้องลึกของจิตใจ ผ่านไปสักระยะหนึ่ง จู่ๆเขาก็คอตกพับลงไปทั้งแบบนั้น อยู่ในท่าคุกเข่าแน่นิ่งไม่มีเคลื่อนไหวใดๆอีกเลย เสมือนหุ่นเชิดไร้คนควบคุม
เซียถงผงะง้ำตกใจ รีบชูภาพวาดขึ้นปิดป้องต่อหน้าโดยไวตามสัญชาตญาณ ทว่าหลังจากนั้นสักครู่ใหญ่ อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าขยับเขยื้อนใดๆอีกเลย ด้วยความสงสัยใคร่รู้ นางจึงค่อยๆก้มศีรษะลงไปมอง ก่อนค้นพบว่า ดวงตาของอีกฝ่ายเบิกกว้างแข็งค้างอยู่แบบนั้น สีหน้าดูว่างเปล่าปราศจากชีวิตชีวาดั่งคนเป็น
“มันตายแล้ว”
เย่หลีเทียนยืนหยัดอยู่เคียงข้างร่างที่แน่นิ่งไปแล้วของคณบดี เฝ้ามองบทสุดท้ายชีวิต แววตาดูเหนื่อยล้าอยู่หลายส่วน
เซียถงค่อยๆก้าวย่างตรงเข้าไปวางภาพวาดของหลินหว่านเอ๋อร์ในอ้อมแขนของคณบดี ตอนเกิดก็เกิดพร้อมนาง ตอนตายก็ควรตายไปพร้อมกับนาง ทิ้งภาพวาดของหลินหว่านเอ๋อร์ไว้กับเขาที่นี่ มันเป็นอะไรที่ดูเหมาะสมที่สุดแล้ว
“ไปกันเถอะ”
เซียถงชำเลืองหาเย่หลีเทียน พบว่าใบหน้าของเขาตอนนี้ ซีดเผือดไร้เลือดหล่อเลี้ยงราวกับแผ่นกระดาษ หากยังปล่อยผ่านละเลย นางเองก็มิอาจทราบได้ว่า เขายังจะทนไหวอีกสักกี่น้ำกัน
เย่หลีเทียนพยักหน้า ทั้งสองเร่งฝีเท้าเดินไปตามเส้นทางเดิมที่เคยมากัน
ไม่มีเส้นทางอื่นอีกแล้วสำหรับที่แห่งนี้ ในเมื่อมายังไง ตอนกลับก็ควรกลับอย่างนั้น
หลังจากเดินไปได้สักครู่หนึ่ง คล้ายได้ยินเสียงห่าฝนกระหน่ำตกลงมาจากเบื้องหน้า เซียถงรู้สึกตะลึงงันในทันใด ฐานลับใต้ดินแบบนี้จะไปมีฝนตกได้ยังไง? เย่หลีเทียนที่อยู่ด้านข้างคล้ายกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ หน้าถึงกับถอดสีซีดเซียวหนักกว่าเก่า รีบคว้าข้อมือนางและกล่าวขึ้นอย่างร้อนรนว่า
“พวกฝูงตะขาบเมฆาทมิฬกำลังแห่มาที่นี่! ตาแก่คณบดีคงเป็นเจ้าของพวกมันจริงๆ พอสัมผัสได้ว่านายของตัวเองสิ้นใจตายแล้ว จึงกำลังมุ่งหน้ามาหา!”
เซียถงพยายามข่มใจให้สงบ เอ่ยถามขึ้นคำหนึ่งว่า
“เช่นนั้นควรทำเยี่ยงไร? อาศัยขุมพลังความแกร่งกล้าของเจ้ายามนี่ ปราบพวกมันได้หมดหรือไม่?”
“หากหลักร้อยพันยังพอทำเนา แต่นี่กลับมาเป็นฝูงนับไม่ถ้วน เกรงว่าหากพลาดท่าแม้แต่นิดเดียว คงถูกรุมกัดจนตาย พิษของพวกมันจำนวนมากขนาดนี้ ต่อให้เป็นจักรพรรดิหยกยังมิอาจรักษาไว้ชีวิตได้!”
เย่หลีเทียนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
เสียงขาไต่เดินดังกรอบแกรบ มุ่งเข้าใกล้เบื้องหน้าของพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆแล้ว ทั้งยังมีกลิ่นเน่าเหม็นหอบใหญ่ตลบอบอวลพัดผ่านเข้าใส่ จากวิสัยทัศน์ระยะไกล จะเห็นได้ว่าทางเดินเบื้องหน้าถูกบางสิ่งอย่างกลืนกินจนกลายเป็นสีดำสนิท ทั้งพื้นดินและกำแพงขนาบสองข้าง ปรากฏเป็นร่างเกล็ดสีดำขลับยาวเป็นปล้องจำนวนนับไม่ถ้วน ชักดิ้นชักงอบิดตัวไปมาหยุบหยับ ช่างเป็นภาพฉากที่ชวนขนหัวลุกโดยแท้
“เช่นนั้นควรทำเยี่ยงไรดี?”
เซียถงหันศีรษะขวับมองหน้าเย่หลีเทียน นางชักจะเหงื่อตกขึ้นทุกที ฝูงตะขาบเมฆาทมิฬชวนสยองพวกนั้นอยู่ไม่ไกลจากตัวพวกเขามากแล้ว
“เช่นนั้นรีบหนีออกไปกันเถอะ”
เย่หลีเทียนกัดฟันกรอด รีบอุ้มร่างเซียถงขึ้นขี่บนหลังและวิ่งหนีออกไปทันที
เซียถงบังเกิดความประหลาดใจขึ้นทันใด แต่เริ่มเดิมที นางเตรียมใจพร้อมรอให้เย่หลีเทียนทิ้งตนออกไปอยู่แล้ว เพราะอาศัยพลังความแข็งแกร่ง ณ ปัจจุบันของเย่หลีเทียน กับแค่หนีตายจากฝูงตะขาบพวกนี้โดยลำพังกลับหาใช่เรื่องยากเย็น
“ต้องเร็วกว่านี้!”
เย่หลีเทียนโน้มตัวลู่ลมแทบชิดติดพื้น ประคองร่างนางบนหลังจับกระชับให้แน่นยิ่งขึ้น เร่งความเร็วเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี
เซียถงเกาะติดอยู่กลางแผ่นหลังอีกฝ่ายไม่มีคลายอ่อน เย่หลีเทียนระเบิดกระแสลมปราณสุดขั้ว แผดสีสันม่วงเงินสว่างเจิดจรัส กลายมาเป็นสายลมกระโชกหอบหนึ่ง ปราดพุ่งไปข้างหน้า
คลื่นพลังลมปราณที่ปลดปล่อยจากในร่างกายของเย่หลีเทียน เปรียบเสมือนตาข่ายพลังทำลายล้างที่ปกคลุมรอบตัว ทันทีที่ตะขาบเมฆาทมิฬไล่ติดตามมาทัน เมื่อสัมผัสกับคลื่นลมปราณเหล่านี้พวกมันล้วนแหลกละเอียดเป็นผุยผง ด้วยความเร็วการเคลื่อนที่ที่สูงลิบลิ่ว ทำเอาเซียถงรู้สึกเวียนศีรษะขึ้นมาทันควัน คล้ายเกิดอาการลมตีจากท้องขึ้นลำคอ แทบอยากอาเจียนออกมา
ผ่านไปสักครู่ใหญ่ คลื่นพลังลมปราณสีม่วงเริ่มหม่นประกายจางอ่อนลง ฝีเท้าความเร็วของเย่หลีเทียนเริ่มชะลอช้าลงต่อเนื่อง
แย่แล้ว! เขากำลังจะหมดแรง! น่าจะเป็นเพราะศึกสัประยุทธ์กับคณบดีก่อนหน้า ทำให้เขาสิ้นเปลืองพลังไปค่อนข้างมาก!
“เย่หลีเทียน รีบวางข้าลง! เจ้าต้องหนีไปก่อน!”
เซียถงกล่าวอยู่ข้างหูอีกฝ่าย ระหว่างหนีตายฝูงตะขาบพวกนี้ หากเย่หลีเทียนสำแดงใช้พลังลมปราณจนเกลี้ยงไม่เหลือ เกรงว่าอาจไม่รอดทั้งคู่!