ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 407 ฟันฝ่าทุกข์ยากมาด้วยกัน (1)
ตอนที่407 ฟันฝ่าทุกข์ยากมาด้วยกัน (1)
ตอนที่407 ฟันฝ่าทุกข์ยากมาด้วยกัน (1)
เย่หลีเทียนเพิกเฉยไม่สนใจฟังคำกล่าวเหล่านั้นของนาง บีบอัดรัศมีลมปราณให้เล็กลงจนเหลือเท่าขนาดคนนึง กลายร่างเป็นอสนีสายหนึ่ง เร่งความเร็วพุ่งหนีออกไปสุดชีวิต
จากด้านหลัง เซียถงได้ยินเพียงเสียงกรอบแกรบถาโถมทะลักล้นเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน นี่เป็นเสียงฝีเท้าของเหล่าตะขาบนับไม่ถ้วน บัดนี้เอง เนื่องด้วยม่านพลังลมปราณสีม่วงของเย่หลีเทียนหดขนาดอ่อนตัวลง ส่งผลให้มันไม่สามารถป้องกันพวกตะขาบเหล่านั้นได้อีกต่อไป
ทันใดนั้นเอง หนังศีรษะเซียถงถึงกับลุกซู่วซ่า ด้วยความตกใจสุดขีด นางรีบคว้ามีดสั้นขึ้นฟันกลางอากาศ สะบั้นตัดร่างตะขาบตัวหนึ่งที่กระโจนเข้าใส่จนขาดเป็นสองท่อน
เสียงฝีเท้าไต่ดัง ‘กรอบแกรบ’ ปรากฏว่ามีตะขาบเมฆาทมิฬอยู่สองสามตัวคลานขึ้นมาบนศีรษะของเย่หลีเทียน เซียถงไม่มีลังเลใช้มือกระชากพวกมันโยนทิ้งออกไปโดยไว สะบัดคมมีดสั้นเชือดเฉือน สับลำตัวปล่องยาวของพวกมันเป็นเสี่ยงๆในพริบตา
แต่เสียงฝีเท้าตะขาบที่ไต่เต้าเข้าถึงตัวก็ยังได้ยินเป็นระยะไม่จางหาย เสียงดัง‘กรอบแกรบ’บังเกิดขึ้นจุดใด เซียถงรีบสับมีดสั้นสะบั้นพวกมันสิ้นในจุดนั้น เศษซากตะขาบมากมายที่โดนคมมีดสั้นของนางสะบั้นเฉือดกระจัดกระจายตามทาง กระเด็นกระดอนไปทั่ว
รัศมีลมปราณที่คาบคลุมบนกายาของเย่หลีเทียนตอนนี้อ่อนแอมาก แม้แต่จะสร้างปราการเกราะไว้ป้องกันตัวเองยังไม่มีปัญญา ตะขาบตัวแล้วตัวเล่าที่ร่วงโรยลงมา เกาะแกะอยู่บนศีรษะของเขา ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆที่เข้าถึงเนื้อถึงตัวพวกเขา ทุกครั้งที่เซียถงเหวี่ยงแขนสะบัดคมมีดโจมตี นางรู้สึกได้ชัดแจ้ง ปฏิกิริยายาตอบสนองของตนเองเริ่มเชื่องช้าลงเรื่อยๆ สักครู่คล้ายสัมผัสได้ถึง แรงเฉื่อยชาที่เลื่อยรัดอยู่รอบแขน
จวนจะถึงทางออกแล้ว! อดทนอีกแค่นิดเดียว!
ทว่าทันใดนั้น จู่ๆร่างของเย่หลีเทียนก็เริ่มโครงเครงไปมา เสมือนหมดเรี่ยวแรงฉับพลันอีกฝ่ายทรุดฮวบลงกับพื้นโดยตรง ถูกหยุดกะทันหันเช่นนี้ ทำให้ร่างเซียถงที่ขี่หลังเกาะอีกฝ่ายอยู่ไถลหน้ากระเด็นออกไปตาม
เสร็จกัน! หากไม่รีบลุกขึ้นมีหวังถูกตะขาบรุมกินโต๊ะแน่นอน!
กวาดมองฝูงตะขาบดั่งเงามืดสีดำทมิฬ พวกมันอยู่ทั่วพื้นและกำแพงกำลังไต่หยุกหยิกเข้าใกล้ เซียถงรีบตรงเข้าไปพยุงร่างของชายตรงหน้าที่นอนแน่นิ่งไปกับพื้น พยายามฝืนลากอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น
‘ติ๋ง!’
เสียงหยาดน้ำไหลหยดกระทบแขนเสื้อของนาง ปรากฏเป็นวงเปียกชื้นอยู่ดวงหนึ่ง
เมื่อพลิกร่างอีกฝ่ายขึ้นมาแช่มมองก็ถึงกับตกใจ เย่หลีเทียนน้ำลายไหลยืดออกมาเต็มปาก
“เย่หลีเทียน! เจ้าไม่เป็นอะไรกระมัง!?”
เซียถงยกแขนอีกฝ่ายขึ้นพาดคอ รีดเร้นพลังทั้งหมดที่เหลือในร่างกายพาหนีตายสุดชีวิต
ทว่ายามนี้มีตะขาบกว่าหลายสิบตัวเกาะอยู่บนแผ่นหลังเย่หลีเทียน พวกมันกำลังรอมลิ้มคราบเลือดสดที่เปรอะเปื้อนบนเสื้อผ้าของเขาอยู่
เซียถงกระชากพวกมันโยนทิ้งตัวแล้วตัวเล่า เลื่อนมีดสั้นขึ้นมือสะบั้นผ่าพวกมันสิ้นซาก สักครู่ต่อมา คล้ายว่าเย่หลีเทียนเริ่มประคองสติกลับมาได้อีกครั้ง รีบคว้าข้อมือของนางและเร่งตีฝีเท้า เพิ่มความเร็วเท่าตัวเพื่อหนีออกไป
“เร็วเข้า! อย่าปล่อยให้พวกมันไต่ขึ้นแข้งขาของเจ้าได้!”
เขาวิ่งเร็วมากซะจนเซียถงเกือบจะถูกลากไปทั้งแบบนั้น
ฝูงตะขาบยังมีร่วงหล่นลงมาจากทั้งบนเพดานเหนือศีรษะ และตามกำแพงที่กระโดดเข้าใส่ ระหว่างหนีตายสุดชีวิต เย่หลีเทียนโบกแขนเสื้อสะบัดเบี่ยงพวกมันทิ้งเป็นครั้งคราว ภายใต้สถานการณ์เฉกเช่นนี้ ถูกกัดที่ใดไม่สำคัญ ขอเพียงอย่าถูกกัดที่ขาหรือข้อเท้าแป็นพอ เพราะเมื่อใดที่โดนตะขาบพวกนี้กัดเข้าที่จุดดังกล่าว เกรงว่าทุกอย่างคงจบสิ้นแล้ว
กระโปรงฝั่งขวาของเซียถงถูกฉีกเป็นชิ้นๆไม่เหลือตั้งแต่ถูกตะขาบกัดในตอนแรกแล้ว ดังนั้นจึงไม่เหลือสิ่งป้องกันใดแถวบริเวณนั้น กล่าวคือ นางจำเป็นระวังอย่าให้ฝูงตะขาบไต่ขึ้นมายังขาขวาอีกเด็ดขาด มิฉะนั้นละก็…
อย่างไรเสีย ผ่านไปสักครู่หนึ่ง นางเพิ่งจะค้นพบอะไรได้ว่า ดูเหมือนฝูงตะขาบพวกนี้จะหาได้สนใจนางเท่าไหร่นัก พวกมันพยายามคลานไต่ขึ้นไปบนขาของเย่หลีเทียนเสียมากกว่า
เนื้อตัวเย่หลีเทียนมีแต่คราบเลือด ตะขาบพวกนั้นน่าจะได้กลิ่นก็เลยหิวกระหายอยากดูดเลือดบนร่างกายของเขา
มือข้างซ้ายโบกสะบัดนไม่หยุดหย่อน พยายามปัดป้องพวกตะขาบเหล่านั้นที่ร่วงเกาะเกะบนศีรษะของเขาทิ้งไป แต่สถานการณ์ก็ยิ่งเลวร้ายขึ้น ไม่นานนัก พวกมันก็เริ่มไต่เต้าขึ้นมาตามแข้งขา ทว่าสองมือกลับกำลังพัลวันยุ่งเหยิงอยู่ ไม่เหลือมือที่ไหนค่อยช่วยปัดกวาดพวกมันทิ้งได้แล้ว
“เย่หลีเทียน! เจ้าปล่อยมือข้าแล้วหนีไปก่อนเลย! ตะขาบพวกนี้มันมุ่งความสนใจไปที่เจ้า หากยังอยู่ตรงนี้เกรงว่าจะยิ่งเป็นอันตราย! อาการชาจากพิษในกายข้ายิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มัวช่วยข้าอยู่แบบนี้ เกรงว่าอาจจะดึงเจ้ามาตายด้วยอีกคน”
ก่อนหน้านี้ ทั้งที่อาการชาตามแขนขามันดีขึ้นแล้วแท้ๆ แต่จู่ๆก็กลับแย่ลงอีกครั้งโดยไม่ทราบสาเหตุ
“เป็นไปได้ยังไง? หาใช่ว่าพิษในกายเจ้ามันทุเลาลงแล้วหลายส่วน? ไม่น่าจะกลับมาอาการแย่เช่นนี้ได้?”
เย่หลีเทียนยังคงกุมข้อมืออีกฝ่ายแน่น และพาวิ่งหนีต่อไปโดยไม่มีทีท่าจะทิ้งกันเลย
“ทั้งหมดอาจเป็นเพราะกลิ่นเน่าเหม็นจากพวกตะขาบเมฆาทมิฬ คงไปกระตุ้นพิษเถียนมู่ในกายข้าให้กำเริบอีกครา”
เซียถงกล่าวตอบพร้อมแข้งขาที่เริ่มแข็งทื่อเป็นหิน เนื่องจากอาการชาที่แผ่ซ่านรุนแรงยิ่งขึ้น
ไม่น่าแปลกใจเลย เหตุไฉนคณบดีกล่าวกับนางในตอนแรกที่โดนกุมขัง ณ สถานที่แห่งนี้ว่า พิษจากไม้เถียนมู่ในกายของนางจะไม่มีทางถูกสลายหายไปไหน ตราบใดที่ยังอยู่ที่นี่
เย่หลีเทียนชำเลืองมองมือข้างนั้นที่กำลังจับเซียถงไว้แน่น ก่อนจะออกแรงฉุดร่างของนางให้ขึ้นนำหน้าตน ผลักไสบังคับอีกฝ่ายให้รีบเร่งฝีเท้าวิ่ง ตะโกนอยู่ด้านหลังนางว่า
“อีกนิดเดียว! อีกนิดเดียวก็จะถึงทางออกแล้ว! แข็งใจหน่อย!”
อาศัยแรงผลักของอีกฝ่ายที่หนุนหลังตนเองไว้อยู่ เซียถงกัดฟันกรอดฝืนร่างกายถึงขีดจำกัด วิ่งหนีตายออกไป
ไม่ว่าจะมีตะขาบสักกี่ตัวที่เริ่มไต่ขึ้นขาเย่หลีเทียนขึ้นมา ทว่าเขากลับหาได้สนใจไม่ และยังคงออกแรงผลักไสแผ่นหลังของหญิงสาวตรงหน้าให้วิ่งออกไป ในขณะเดียวกัน เซียถงรู้สึกราวกับ ขาทั้งสองข้างคู่นี้หาใช่ของนางอีกต่อไป ถึงจะมีตะขาบบางตัวร่วงตกลงบนนั้น ทว่านางกลับไม่มีความรู้สึกใดๆอีกต่อไปแล้ว แต่ด้วยแรงผลักไสจากด้านหลัง จึงยังสามารถให้คู่ขาเคลื่อนออกไปข้างหน้าได้อยู่
ปากทางออกอยู่ไม่ไกลแล้ว แต่ก็ยังต้องอาศัยอีกสักสามสิบก้าวกว่าจะไปถึง
หลังจากนั้น ประมาณสิบก้าวแรกพ้นผ่าน เซียถงรู้สึกได้ถึงจำกัดสูงสุดของร่างกายนางแล้ว ทั่วทั้งตัวด้านชาไร้ความรู้สึก ไม่สามารถขยับเขยื้อนใดๆได้อีกแม้แต่ปลายนิ้ว เย่หลีเทียนสังเกตเห็นดังนั้น จึงรีบเปลี่ยนท่าช้อนร่างของนางขึ้นโอบอุ้มไว้ในอ้อมแขนโดยไว และเค้นพลังเฮือกสุดท้ายเพื่อวิ่งไปที่ปากทางออก!
ทว่าก่อนจะถึงปากทางออก กลับมีฝูงตะขาบจากเส้นทางอื่นๆตามเข้ามาสมทบ ไหลบ่าเทลงมาจากทั้งบนผนังและกำแพงสองข้างทางมากขึ้นและมากขึ้น
เซียถงเหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะเหลียวกลับหันมอง ศีรษะจมปลักซบอยู่บนหน้าอกของเย่หลีเทียน แค่พยายามจะลืมตาตื่นมิให้ปิดมอดลงก็เป็นอะไรที่ยากเย็นยิ่งแล้ว
“มีคนกำลังมา!”
ทันใดนั้นเอง เย่หลีเทียนโพล่งตะโกนลือลั่น มุ่งสายตาจับจ้องที่ปากทางออกเบื้องหน้า กระชับกอดนางในอ้อมแขนแนบชิดยิ่งขึ้น
เซียถงพยายามเหลือบเหลียวศีรษะแสนยากลำบาก มองติดตามสายตาของอีกฝ่ายไปเช่นกัน ไม่ว่าเป็นใครในเวลานี้ ย่อมสามารถลงมือสังหารนางได้โดยง่ายทั้งสิ้น
“ตุบตุบ!”
เสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามาจากปากทางออก พินิจจากเนื้อเสียงน่าจะมีมากกว่าหนึ่งคน
เย่หลีเทียนเรียกอัญเชิญกระบี่เล่มยาวขึ้นมือในทันใด ยกขึ้นขวางหน้าเซียถงเพื่อเข้าปกป้อง
เซียถงมุ่งจิตสมาธิตั้งใจฟังเสียงฝีเท้าที่ว่าอย่างใจจดใจจ่อ จากนั้นไม่นานก็เบิกตากว้างเป็นประกาย ยิ้มให้เย่หลีเทียนพร้อมกล่าวว่า
“เรารอดแล้ว! อีกฝ่ายเป็นมิตร!”
เย่หลีเทียนเลิกคิ้วฉงนใจ เอ่ยถามขึ้นทันทีด้วยความสงสัย
“เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”
“เสียงฝีเท้ายังไงล่ะ เสียงฝีเท้าแบบนี้เป็นของราชาหมาป่าสวรรค์!”
เซียถงยิ้มตอบ
เย่หลีเทียนไม่ปริปากพูดใดๆอีก ทันทีทันใด สีหน้าการแสดงออกของเขามืดทมิฬลง