ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 41 ปะทะหลัวซี (1)
ตอนที่41 ปะทะหลัวซี (1)
สาวน้อยเชิดแผ่นอกยกสูง ไหล่ทั้งสองข้างเปิดกว้างดูสง่าราศี ระเบิดพลังขุมหนึ่งแผ่ซ่านกลายเป็นรัศมีลมปราณสีครามฟ้าแผ่ไพศาล ชายแขนเสื้อยาวยังคงหยุดนิ่งปราศจาก การเคลื่อนไหว อาศัยเพียงรัศมีลมปราณสีครามฟ้าดังกล่าว ก็แผดจิตสังหารระลอกยักษ์ข้นคลั่กปกคลุมทั่วทั้งกระท่อมไม้ในพริบตา
บรรดาทหารยามทั้งหลาย ถึงกับเหงื่อเย็นตก ลอบกลืนน้ำลายแห้งเหือดลงคออย่างยากลำบาก ก่อนเก็บคมดาบเข้าฝักไปอย่างเงียบๆ เซี่ยอี้เฉินจ้องมองไปทางเซียถง เหงื่อเย็นแตกพลั่กเช่นกันจนชุ่มไปทั่วแผ่นหลัง ก้าวย่างร่นถอยออกไปอีกหลายขั้น
ทุกคนในกระท่อมแห่งนี้ต่างตื่นตกใจต่อรัศมีลมปราณของเซียถงอย่างยิ่งยวด และไม่มีใครแม้สักคนที่กล้าปริปากกล่าวออกมาเลยในเวลานี้ แต่ละคนล้วนปิดปากเงียบกริบ
ฮูหยินเฉิงลอบสายตาจับจ้องไปที่แส้หางเหล็กยาวในมือเซียถง ยามนั้นอดผวาใจสั่นมิได้ รีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นกุมศีรษะ เนื้อตัวสั่นเทาไม่หยุดราวกับจักจั่นในฤดูหนาว
เซียถงที่เห็นแบบนั้นถึงกับแสยะยิ้มฉีกกว้าง สะบัดข้อมือฟาดแส้หางเหล็กกระแทกพื้นขึ้นอีกครา สุ้มเสียงดังฟังชัดลั่นสนั่น ทำเอาฮูหยินเฉิงกรีดร้องคร่ำครวญดั่งคนเสียสติขึ้นอีกครั้ง สีหน้าการแสดงออกของเซี่ยอี้เฉินซีดเซียวหนักข้อไปใหญ่ แต่ยามนี้กลับไม่กล้าเคลื่อนไหวอะไรใดๆ
“ถงเอ๋อร์ หยุดเถอะ! แม่ไม่เป็นไรแล้วจริงๆ แผลบนร่างกายไม่เจ็บแล้ว อย่าทำนางอีกเลย จะอย่างไรนางก็มีศักดิ์เปรียบเสมือนท่านแม่คนที่สองของเจ้า”
เมื่อเห็นว่าเสียงแส้ยาวฟาดพื้นดังกล่าวได้ไปกระตุ้นความกลัวของฮูหยินเฉิงจนขวัญเสีย ฮูหยินหลี่จึงรีบโถมตัวเข้ามากอดเซียถงอีกครั้ง
พอเห็นว่าท่านแม่ตัวเองกลับต่อต้านตนถึงเพียงนี้ ภายในใจของเซียถงพลันรู้สึกเสมือนโดนกรีดแทง เจ็บปวดลึกลงไปในร่างกาย
“ท่านแม่”
เซียถงกำแส้หางเหล็กในมือแน่น จับจ้องไปที่ท่านแม่ของตนด้วยสายตาสุดจะไม่เต็มใจ ยิ่งกว่านั้นยังทอประกายส่อแววไม่พอใจเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน
ฮูหยินหลี่จับจ้องลงไปในก้นบึ้งของจิตใจของเซียถงผ่านสายตาคู่นั้น และส่ายหัวให้อย่างแช้มช้าราวกับว่ากำลังบอกให้ เซียุถงพอได้แล้ว ดวงตาของฮูหยินหลี่ยามนี้บวมแดงเนื่องจากร้องไห้ต่อเนื่องไม่หยุด เซียถงมองมาทางนางอยู่สักครู่ ก่อนจะกัดฟันเสียงดังกรอด กระชับแส้หางเหล็กในมือแน่น เร้าระดมพลังปราณสีครามฟ้าขุมใหญ่เคลือบลงบนตัวแส้หางเหล็ก ก่อนจะหวดฟาดลงใส่ร่างของฮูหยินเฉิงอย่างแรงเป็นครั้งสุดท้าย!
จากนั้นเซียถงจึงค่อยถอนหายใจและโยนแส้ดังกล่าวทิ้งไป
ในรอบนี้ฮูหยินเฉิงปวดร้าวเกินทานทนได้ไหว ถึงกับหมดสติล้มไปทั้งแบบนั้น บรรดาบ่าวไพร่โดยรอบที่เหลือบมองบาดแผลน้อยใหญ่และเนื้อหนังที่เละเหวอะหวะบนกายของนาง แต่ละคนพลันสะพรึงขวัญสุดขีด เสียวสั่นหลังวูบวาบ
“อย่ากลัวที่จะถูกฆ่าเฆี่ยนตี หากในอนาคตเจ้ายังจะมีปัญญาทำร้ายท่านแม่ของข้า”
เซียถงปริปากเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา ดวงตาไร้แววเมตตาคู่นั้นกวาดสายตาสาดใส่ทุกคนไปรอบหนึ่ง สุดท้ายเคลื่อนหยุดลงบนร่างอันสุดแสนน่าสังเวชของฮูหยินเฉิงที่สิ้นสติสลบไป
เห็นแบบนั้นเซียถงพลันขมวดคิ้วถักแน่น คล้ายจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก จึงคว้าถังน้ำละแวกนั้นขึ้นมาสาดใส่หน้าของฮูหยินเฉิงให้ตื่นฟื้นสติขึ้นมา
เสมือนสุนัขขี้เรื้อนถูกน้ำเย็นสาดใส่ ฮูหยินเฉิงสะดุ้งเฮือกลุกขึ้นนั่งโดยไม่สนอาการบาดเจ็บใดๆ ด้วยความตื่นตระหนก สายตาคู่นั้นของนางฉายแววความกลัวสุดขีด รีบคลานไปหาบ่าวรับใช้คนหนึ่งที่ชื่อเสี่ยวฉุย พักพิงกอดอีกฝ่ายแน่น
“ข้าพูดอยู่ อย่าหลับ”
เซียถงกล่าวจบ ก็ช่วยฮูหยินหลี่พยุงตัวขึ้นมาและเดินจากกระท่อมไม้หลังนั้นออกไป
“ฝากบอกฝ่าบาทด้วย หากต้องการอะไร อย่ามายุ่งกับท่านแม่ของข้าอีก”
ชั่วขณะอึดใจที่นางเดินผ่านหน้าเซี่ยอี้เฉิน เซียถงชะงักหยุดอยู่สักครู่ เงยหน้าหันมากล่าวกับอีกฝ่าย น้ำเสียงฟังดูน่าภาคภูมินัก
ประคองร่างฮูหยินหลี่กลับมาที่เรือนพักตนเอง และเรียกอิ๋งเอ๋อร์ให้ไปนำผงยารักษาแผลออกมา จากนั้นก็นำมาทาลงบนแผลรอบตัวอย่างเบามือระมัดระวัง ราวกับกลัวว่าแม่คนนี้จะรู้สึกเจ็บ
“ถงเอ๋อร์ อย่าปริปากบอกความลับนี้ให้ใครฟังเด็ดขาด ยามที่ฝ่าบาทเสด็จมาพบเจ้า จงบอกไปว่า เจ้าไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ที่เหลือปล่อยเป็นหน้าที่แม่จัดการเอง”
นางคว้ามือเซียถงเข้ามากุมแน่น กล่าวขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ท่านแม่ไม่ต้องกังวล ตอนนนี้ข้าเองก็เป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตเสาหลักฟ้าคนหนึ่ง แถมยังสำเร็จวรยุทธลับขั้นพื้นฐานที่เป็นระดับชั้นเหลืองแล้ว ผนวกสองสิ่งเข้าด้วยกัน ข้ามั่นใจอยู่หลายส่วน จะไม่มีใครสามารถทำอันตรายข้าได้โดยง่าย”
เซี่ยถงกล่าวปลอบโยนนาง น้ำเสียงนุ่มนวลแผ่วเบา
“หรือเจ้าสำเร็จกระบวนท่าแรกที่เป็นระดับชั้นเหลืองได้แล้ว?”
ประกายตาคู่นั้นของฮูหยินหลี่สั่นไสวขึ้นวูบหนึ่ง นี่เพิ่งผ่านไปแค่คืนเดียวเองมิใช่รึ? แต่เซียถงฝึกกระบวนท่าแรกที่เป็นระดับชั้นเหลืองในคัมภีร์วรยุทธลับสำเร็จแล้วจริงๆ? กล่าวว่า หากเป็นคนธรรมดาทั่วไป จะต้องใช้เวลาฝึกฝนอย่างน้อยครึ่งปีเพื่อให้บรรลุ!
เซียถงคลี่ยิ้มพร้อมพยักหน้าตอบ
รอยยิ้มอันแสนภาคภูมิใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮูหยินหลี่ทันใด เอื้อมมือออกไปลูบศีรษะของเซียถง กล่าวชื่นชมขึ้นว่า
“ถงเอ๋อร์ เจ้าคืออัจฉริยะตัวจริงเสียงจริง!”
คล้อยหลังทายาผงให้ฮูหยินหลี่เสร็จสรรพ เซียถงก็จากออกไป นางต้องการจะออกไปข้างนอกสักระยะ ก่อนหน้านั้นเอ่ยปากเรียกอาจูให้มาหา พร้อมกล่าวสั่งการน้ำเสียงเย็นยะเยือกขึ้นว่า
“ต่อไป หากฮูหยินเฉิงมาหาท่านแม่ข้าอีก เจ้ารีบมาแจ้งข้าโดยทันที”
อาจูผงกศีรษะรัวแรงเป็นไก่จิก
จากนั้นเซียถงก็พาอิ๋งเอ๋อร์ออกไปยังลานกว้างหน้าจวนเสนาบดี เตรียมจะเดินทางไปข้างนอก ขณะที่เดินผ่านสวนกอไผ่สีเขียว นางก็เห็นชายหนุ่มชุดขาวสะอาดยืนอยู่พิงกำแพงอยู่มุมหนึ่ง ราวกับกำลังรอใครบางคนอยู่แล้ว ปรากฏว่าเป็น เซี่ยหลู่เฟิง เซียถงตระหนักได้ทันที เขาจะต้องมีอะไรสักอย่างพูดกับนางแน่ จึงสาวเท้าก้าวตรงไปหา
“ถงถง”
เซี่ยหลู่เฟินเอ่ยปากเรียกนางจริงๆ
เซียถงเงยหน้ามองอีกฝ่าย ท่ามกลางกอไผ่เขียวขจี คล้ายมีบางอย่างไม่เข้าพวกอยู่ ซึ่งนั่นก็คือใบหน้าอันหล่อเหลาของเซี่ยหลู่เฟิง
“ข้าขอโทษ”
เปิดประเดิมคำแรก เซี่ยหลู่เฟิงก็เอ่ยปากขอโทษเซียถงก่อนทันที ทั้งเรื่องที่เซี่ยเสวี่ยเหลียน น้องสาวแท้ๆ ของตนวางยาพิษในอาหารเช้า และเรื่องที่ฮูหยินเฉิงแม่แท้ๆ ของตนเฆี่ยนตีฮูหยินหลี่จนเจียนตายอีก
อันที่จริง เขาเคยเกลี้ยกล่อมทั้งแม่ทั้งน้องสาวตัวเองแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่พวกนางก็ยังพยายาสร้างปัญหาให้เซียถงสองแม่ลูกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“อย่ากล่าวขอโทษเลย ผู้ใดไม่ทำให้ข้าขุ่นเคือง ผู้นั้นข้าย่อมไม่รุกรานทำให้ขุ่นเคืองเช่นกัน แต่หากผู้ใดกล้ารุกล้ำ ข้าจะบ่อนทำลายชีวิตพวกมันให้สิ้นสูญ”
เซียถงมองหน้าอีกฝ่าย เอ่ยขานออกมาประโยคหนึ่ง
รอยความละอายแก่ใจที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเซี่ยหลู่เฟินจางหายไป เขาส่งยิ้มให้เซียถงอีกครั้ง
“ข้ามาที่นี่เพื่อรอเจ้าอยู่แล้ว เกี่ยวกับเรื่องการประลองวันพรุ่งนี้ คู่ต่อสู้ที่เจ้าต้องเจือคือหลัวซี”
เซียถงพยักหน้าตอบ ต่อให้เซี่ยหลู่เฟิงไม่มาบอกเช่นนี้ นางเองก็คาดเดาได้อยู่แล้วว่า คู่ต่อสู้ที่จะต้องพบเผชิญในรอบชิงชนะเลิศคือใคร หากมิใช่หลัวซีก็เหลือจะเชื่อแล้ว
“สำหรับหลัวซี จวบจนตอนนี้ยังไม่มีใครเคยเห็นเขาเอาจริงสักครั้ง ทุกคราที่เขาโบกสะบัดกุหลาบในมือ ก็สามารถกำราบคู่ต่อสู้ทุกคนได้อย่างง่ายดาย ขุมพลังความแข็งแกร่งของชายคนนั้นเกินหยั่งรู้ เจ้าควรระมัดระวังตัวให้ดีในวันพรุ่งนี้”
เซียหลู่เฟินเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง ดูท่าจะเป็นห่วงมากจริงๆ
“ข้าทราบ ข้าจะระวังตัว”
นางเพิ่งไล่เฆี่ยนแม่ของเซี่ยหลู่เฟิงมาหมาดๆ แต่เขาดันวิ่งมาหาเพื่อบอกกับตัวนางเองว่า ให้ระวังในการประลองวันพรุ่งนี้
เซียถงนึกฉงนอดขำอยู่ภายในใจมิได้
แต่ก็อย่างที่นางว่าไป ใครล้ำเส้นนาง นางล้ำเส้นกลับ ถึงแม้แม่กับน้องสาวของเซี่ยหลู่เฟิงจะสันดานเสียเพียงใด แต่นางกลับไม่มีความรู้สึกขุ่นเคืองกับเขาเลย
“กุหลาบที่หลัวซีชอบถือทำมาจากเหล็กไหลเย็นอายุพันปี นับเป็นยุทธภัณฑ์ชนิดหนึ่งที่ทรงพลังอย่างยิ่ง เจ้ามียุทธภัณฑ์ใดที่ทรงพลังเทียบเคียงอีกฝ่ายบ้างหรือไม่?”
เซี่ยหลู่เฟิงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
ยุทธภัณฑ์ที่ทรงพลัง? เซี่ยถงส่ายหัวตอบทันที นอกจากมีดสั้นสุดแสนจะธรรมดาในมือแล้ว ก็ยังไม่มีอาวุธใดที่เหมาะสมไปมากกว่านี้แล้ว
“กุหลาบของหลัวซีถูกตีหลอมขึ้นจากเหล็กไหลเย็นอายุพันปีคุณภาพสูง นับเป็นยุทธภัณฑ์อาวุธที่กล้าแกร่งนัก มีดสั้นของเจ้าคงหักครึ่งในเสี้ยวพริบตา”
เซี่ยหลู่เฟิงพอจะรู้อยู่แล้วว่า ในมือของเซียถงปราศจากอาวุธยุทธภัณฑ์คุณภาพดีแม้สักชิ้น แต่ทั้งที่ใช้เพียงมีดสั้นธรรมดาทั่วไป ก็ยังสร้างคลื่นความตื่นตระหนกให้แก่ผู้คนปานนี้ แล้วหากนางได้ครอบครองอาวุธดีๆ สักชิ้นจะขนาดไหน?
พอนึกมาถึงจุดนี้ เซี่ยหลู่เฟิงจึงตัดสินใจบื่นกระบี่เล่มหนึ่งออกมาต่อหน้านาง
เซี่ยถงต้องการปฏิเสธทันทีในคราแรก แต่พอเงยหน้าหันขึ้นมอง ก็จะเห็นได้ทันทีว่าท่าทางการแสดงออกของเซี่ยหลู่เฟิง มันจริงใจสักเพียงใด เห็นแบบนั้นใครยังกล้าปฏิเสธลง? เซียถงยิ้มบางส่งไปมอบไปให้ และหยิบกระบี่เล่มนั้นออกจากมืออีกฝ่ายโดยตรง