ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 410 คฤหาสน์อัครมหาเสนาบดีเย่ (2)
ตอนที่410 คฤหาสน์อัครมหาเสนาบดีเย่ (2)
ตอนที่410 คฤหาสน์อัครมหาเสนาบดีเย่ (2)
“เสนาบดีเซี่ยกับข้าต่างมีสายสัมพันธ์อันดีตลอดมา เรื่องช่วยเหลือศรีภรรยาของเขาหาใช่สิ่งใดที่ต้องพยายาม แต่กลับเป็นสิ่งสำคัญที่มิอาจมองข้าม ดังนั้นอย่าได้เกรงใจอีกเลย แต่จะว่าไปแล้ว ข้าเองเคยได้ยินจากเสนาบดีเซี่ย เกี่ยวกับเรื่องทักษะการทำอาหารที่เป็นเลิศของท่านอยู่ไม่ขาดสาย ฟังว่ารสมือของท่านนั้นเยี่ยมยอดไร้ที่ติ เห็นทีชีวิตนี้ต้องได้ชิมสักครั้ง”
เย่หลีเทียนส่งยิ้มให้ฮูหยินหลี่ พลางเหลือบมองเซียถงเป็นระยะ
“ท่านพี่เคยพูดถึงข้าด้วยรึ?”
ร้องอุทานขึ้นคำหนึ่ง ฮูหยินหลี่รู้สึกประหลาดใจไม่น้อยพอได้ยินเช่นนั้น ลึกลงไปในแววตาเผยถึงความปีติยินดีออกมาหลายส่วน
“มีหลายต่อหลายครั้งระหว่างที่พวกเรานั่งดื่มกันอยู่ เขามักจะบอกกับข้าเสมอว่า ต้มปลากะพงผักกาดดองที่ท่านทำให้อร่อยยิ่งกว่าใดๆ ยิ่งฟังนานเข้า ข้าคนนี้ถึงกับน้ำลายสอ ตั้งตารอหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้ลิ้มลองฝีมือของท่าน”
เย่หลีเทียนกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
“ต้มปลากะพงผักกาดดองหาใช่อาหารที่ทำได้ง่ายเท่าไหร่นัก เนื่องจากกลวิธีการปรุงที่ค่อนข้างซับซ้อน แต่หากท่านอัครมหาเสนาบดีเย่อยากกินมันจริงๆ เช่นนั้นขออนุญาตยืมใช้ครัวในคฤหาสน์ แล้วข้าจะทำให้เดี๋ยวนี้เลย”
ฮูหยินหลี่ที่รู้สึกเกรงใจอยู่เป็นทุนเดิม และไม่รู้ว่าจะตอบแทนบุญคุณครั้งนี้ยังไง พอได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเปรยออกมาเช่นนั้น จึงรีบพับแขนเสื้ออาสาเข้าครัวทันที
เย่หลีเทียนเองก็หาได้ปฏิเสธเช่นกัน สั่งคนให้นำทางนางเข้าโรงครัวไปโดยทันที
“หากอัครมหาเสนาบดีเย่ต้องการจะพูดสิ่งใด ขอแค่เอ่ยกล่าวออกมาได้เลยตามตรง”
เซียถงเหลือบไปทางเย่หลีเทียนอยู่วาบหนึ่ง เอ่ยปากถามขึ้นมา พลางเหม่อมองแผ่นหลังที่จากออกไปของฮูหยินหลี่
“เราไม่มีสิ่งใดที่ต้องการจะพูดเสียหน่อย เพียงอยากลองชิมฝีมือของแม่เจ้าสักคราเท่านั้น”
เย่หลีเทียนแหงนมองฟ้า เฝ้ามองหมู่เมฆ
เซียถงถึงกับยืนงงไปชั่วครู่ หมอนี่แห่งอยากกินต้มปลากะพงผักกาดดองเท่านั้นจริงๆ?
“เมื่อก่อน ท่านแม่ข้าทำต้มปลากะพงผักกาดดองอร่อยที่สุดแล้ว ตั้งแต่ท่านแม่ตายไป…เราก็ไม่เคยกินมันอีกเลย ก็ฟังว่า ต้มปลากะพงผักกาดดองฝีมือแม่เจ้าอร่อยมาก ก็เลยอยากลองชิมดูสักครั้ง”
น้ำเสียงของเขาแผ่วอ่อนลงไปหลายส่วน สีหน้าแววตาดูเปลี่ยวเหงาเกินบรรยาย
กลับกลายเป็นเซียถงเองที่ไม่กล้าพูดอันใดต่ออีก
“ตอนที่เรายังเด็ก พวกเรายากจนข้นแค้นมาก วันๆได้แต่กินหัวไชเท้าไม่ก็ผักกาดดองเพื่อประทังชีวิต ซึ่งบางวัน เราที่ยังเด็กเอาแต่ใจไปบ้าง ก็รบเร้าขอให้แม่ไปจับปลากะพงในลำธาร เพื่อมาทำต้มปลากะพงผักกาดดองให้กินนี่แหละ กระทั่งตอนนี้ก็ยังจำได้ดี มีอยู่วันหนึ่ง เราดันอยากกินต้มปลากะพงผักกาดดองในฤดูหนาว วันนั้นหิมะกระหน่ำตกหนักมาก แต่ท่านแม่ก็ยังอุตส่าห์เดินเท้าเปล่า ลุยหิมะออกไปพร้อมกับเสื้อกระสอบบางๆตัวหนึ่ง ตอนที่เห็นท่านแม่กลับมา เท้าเปล่าของนางโดนหิมะกัดรุนแรง แต่ก็ยังแบกปลากลับมาทำอาหารจนได้ พวกเรานั่งกินมันด้วยกันพร้อมรอยยิ้ม ถึงจะเป็นวันที่ยากลำบากที่สุด แต่นั่นก็คือวันที่เรามีความสุขที่สุดในชีวิตเช่นกัน”
เย่หลีเทียนแหงนหน้ามองฟ้าไกล ดวงตาคู่นั้นเริ่มเห่อร้อนพร่ามัวจางๆ
“ท่านแม่ของท่านคงจะกำลังมีความสุขอยู่บนสรวงสวรรค์ เมื่อมองลงมาเห็นท่านในยามนี้”
เซียถงกล่าวปลอบโยน
“มีความสุข? ไม่เลย หากพ่อยังไม่ตายดี ท่านแม่ของเราจะไม่มีวันมีความสุข ท่านแม่เราน่ะ…รักพ่อยิ่งกว่าอะไร ดังนั้นเราจะฆ่ามัน! กระชากมันลงไปอยู่ในขุมนรกกับนาง! หากไอ้พ่อไม่ได้เรื่องนั่น ไม่ทอดทิ้งเรากับท่านแม่ไป มีหรือที่ชีวิตของพวกเราจะเป็นเช่นนี้? ท่านแม่หรือจะต้องมาตายอย่างทรมาน? เราสัญญากับตัวเองเสมอมา สักวันจะลากมันลงนรกไปหาท่านแม่ในนั้น!”
มือทั้งสองข้างของเย่หลีเทียนกำหมัดบีบแน่นจนสั่นเทิ่ม สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นความมืดหม่น ดวงตาไร้แววประกายมัวหมองไปด้วยความอาฆาต
“หากเช่นนั้น ก็แค่ฆ่าพ่อไม่ได้เรื่องของท่านซะ ความเกลียดชังภายในใจจะได้ถูกชำระล้างเสียที”
เซียถงกล่าวตอบสั้นๆได้ในความ น้ำเสียงปราศจากเยื่อใยความเมตตา เพราะหากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นกับนางและท่านแม่ ตัวนางเองคงเลือกที่จะลงมือสังหารเซี่ยอี้เฉิงโดยไม่มีลังเลเช่นกัน และฝังร่างของมันไว้ข้างท่านแม่
เย่หลีเทียนตาเป็นประกายขึ้นทันใด จู่ๆก็เปลี่ยนบทสนทนาพลิกผันชนิดจากหน้ามือเป็นหลังมือ หันมาจ้องนางเขม็งด้วยสีหน้ายิ้มแย้มสดใส กล่าวว่า
“เซียถง ไป๋หลี่หานเป็นคนเย็นชาปานใด เจ้าเองก็ใช่จะมิทราบ? ขนาดยืนอยู่เคียงข้าง ยังทำให้ผู้คนรู้สึกดั่งห่างเหินนับพันลี้ เช่นนั้นแล้ว เจ้ายังจะเต็มใจอภิเษกกับอีกฝ่าย?”
“ก็หาใช่ว่า กลับเป็นท่านอัครมหาเสนาบดีเย่เอง ที่ต้องการให้ข้าอภิเษกกับไป๋หลี่หาน เพื่อช่วยลอบติดตามการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายมิใช่รึ?”
เซียถงเลิกคิ้วสูงปั้นน่าฉงน ทั้งยังยิงคำถามสวนกลับไป
“ตอนนั้นมันก็ใช่…”
เย่หลีเทียนชะงักหยุดไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะกวาดสายตาแช่มมองเส้นขอบฟ้าไกลบนผืนนภาอีกครั้ง และกล่าวต่อว่า
“แต่ตอนนี้เราไม่ต้องการเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว”
ห่ะ? ไฉนถึงไม่ต้องการเสียแล้วล่ะ?
เซี่ยถงอดตะลึงงันมิได้ คล้อยหลังครุ่นคิด พยายามเสาะหานัยความหมายเร้นแฝงในประโยคคำกล่าวเมื่อครู่ของเขา หรือเป็นไปได้ไหมว่า…เย่หลีเทียนอยากจะเก็บนางไว้เป็นของตน? เพราะตั้งแต่ที่นางเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา ก็มีผู้คนมากมายที่ปรารถนาในตัวนาง
“ท่านอัครมหาเสนาบดีเย่ มิใช่ว่า…ท่านต้องการจะแต่งงานกับข้าเองกระมัง?”
นางลากเสียงยาวรวนเรไม่แน่ใจ เอ่ยถามออกไปเชิงทีเล่นทีจริง
นัยน์ตาคู่นั้นของเย่หลีเทียนสั่นไสวเป็นประกาย พยักหน้าตอบกลับอย่างหนักแน่นว่า
“ใช่ เราต้องการ”
ก่อนหน้านี้ หมอนี่เป็นคนบังคับให้นางอภิเษกสมรสกับไป๋หลี่หานให้ได้ ทว่าตอนนี้กลับต้องการจะชิงแต่งงานกับนางเองเสียแล้ว?
ภายในใจเซียถงรู้สึก ตลกขบขันสิ้นดี เมื่อได้เห็นสายตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความคาดหวังของเย่หลีเทียน ยามนั้นมีใบไม้ในหนึ่งร่วงโรยลงมาบนแขนเสื้อของนาง จากนั้นก็หลับตาลงพร้อมส่ายศีรษะเบาๆ กล่าวตอบไปว่า
“ข้ามิได้สนใจเรื่องแบบนั้นเท่าไหร่นัก”
สีหน้าการแสดงออกของเย่หลีเทียนหาได้แปรเปลี่ยน ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับดูเปลี่ยวเหงาลงเล็กน้อย
ทั้งสองยืนเชยชมบรรยากาศอยู่นอกซุ้มประตูโค้ง สายลมโชยอ่อนพัดไสว มีใบไม้บางส่วนโรยราร่วงหล่น เย่หลีเทียนหันหน้ามองเซียถง กล่าวขึ้นอีกครั้งว่า
“หากเจ้าอาศัยอยู่ในเมืองเฟิงหลี่แห่งนี้ เจ้าจะสามารถอยู่ดูแลท่านแม่ได้ตลอด”
“เมื่อโตขึ้น สักวันก็ต้องแยกจากกันไปอยู่ดี”
เซียถงค่อยแน่ใจนักว่า เย่หลีเทียนกำลังทดสอบอะไรกับนางอยู่ หรือเพราะว่าหวงก้าง อยากเก็บนางไว้เป็นของตัวเองจริงๆ
ได้ยินที่เซียถงกล่าวไปเช่นนั้น เย่หลีเทียนก็ยืนนิ่งรับลมปะทะพร้อมไอหนาวเย็นที่ฉาดฉายในดวงตา
เวลาเดียวกัน ฮูหยินหลี่ก็ปรุงต้มปลากะพงผักกาดดองเสร็จอย่างรวดเร็ว รีบเดินทางมาหาเย่หลีเทียน วานคนให้ไปนำจานชามมาเพิ่มอีกสักสองสามใบ จากนั้นงานเลี้ยงขนาดย่อมสำหรับหนึ่งครอบครัวก็ได้เริ่มต้นขึ้น
เซียถงไม่ค่อยอยากจะกินข้าวร่วมโต๊ะกับเย่หลีเทียนเท่าไหร่นัก แต่เรื่องนี้กลับช่วยไม่ได้ อีกฝ่ายทั้งเป็นผู้มีบุญคุณต่อทั้งตัวเองและชีวิตของท่านแม่ เช่นนั้นแล้วจึงจำใจกัดฟัน เข้าไปนั่งรับประทานอาหารด้วยกันสามคนต่อไป
ระหว่างช่วงเวลาโต๊ะอาหาร เย่หลีเทียนรวนสนทนาหัวเราะ ทั้งยังชื่นชมรสชาติของต้มปลากะพงผักกาดดองของฮูหยินหลี่ไม่ขาดสาย ตั้งแต่ต้นจนจบ เซียถงไม่เห็นถึงร่องรอยความชั่วร้ายดั่งปกติของตัวเขาเปิดเผยออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว ราวกับเป็นคนละคนก็มิปาน ในอีกด้าน ฮูหยินหลี่เองก็ดูยิ้มแย้มมีความสุขดีขณะรับประทานอาหารเช่นกัน
หลังมื้ออาหารจบลง ฮูหยินหลี่ก็ได้รับเชิญจากหัวหน้าพ่อครัวประจำคฤหาสน์อัครมหาเสนาบดีเย่ เพื่อให้มาสอนกลวิธีการปรุงรสต้มปลากะพงผักกาดดอง ส่วนเย่หลีเทียนกับเซียถงต่างถูกทิ้งร้างให้อยู่กับตามลำพัง
“เซียถง เจ้าต้องการอภิเษกสมรสกับไป๋หลี่หานจริงๆรึ?”
เย่หลี้ทียนเอ่ยถามคำหนึ่ง พร้อมจอกสุราในมือ
ยามวกกลับเข้ามาในหัวข้อนี้อีกครั้ง เซียถงชักหน่ายใจ ขมวดคิ้วกล่าวสวนขึ้นว่า
“ท่านอัครมหาเสนาบดีเย่ ดูจะถามคำถามนี้หลายต่อหลายครั้งแล้ว?”
“เจ้าต้องการสิ่งใด?”
เย่หลีเทียนเหม่อมองจอกสุราที่กวัดแกว่งในมือ
เซียถงชำเลืองมองหนึ่งปราด กล่าวดักทางไปว่า
“ไม่มีสิ่งใดที่ข้าต้องการมากที่สุด”
เย่หลีเทียนมุ่นคิ้วเล็กน้อย วางจอกสุราลงในมือและกล่าวด้วยรอยยิ้มขึ้นว่า
“แต่เราพอจะทราบ เพราะหากเป็นเรา สิ่งที่เราต้องการมากที่สุดคือ การตามล่าและฆ่าพ่อไม่ได้เรื่องทิ้ง เพื่อให้ลงไปอยู่กับท่านแม่ในขุมนรก และสิ่งที่เจ้าน่าจะต้องการมากที่สุดคือ ความปลอดภัยของตัวท่านแม่เจ้าเอง เราพูดถูกต้องหรือไม่?”