ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 412 ข้าอยากมีเจ้าอยู่เคียงข้าง (2)
ตอนที่412 ข้าอยากมีเจ้าอยู่เคียงข้าง (2)
ตอนที่412 ข้าอยากมีเจ้าอยู่เคียงข้าง (2)
การแสดงออกเดียวที่เซียถงแลเห็นจากอีกฝ่ายคือความเงียบสงัด พึงทราบว่าความตั้งใจของอีกฝ่ายแน่วแน่เพียงใด อีกฝ่ายต้องการจะกักขังนางไว้ที่นี่จริงๆ เช่นนั้นแล้ว ต่อให้นางพูดอะไรมากกว่านี้ก็คงเปล่าประโยชน์ สิ่งเดียวที่ทำได้คือ การสื่อสารด้วยกำลัง คิดได้ดังนั้น กระแสลมปราณสีม่วงที่อาบทั่วร่างของนางก็ยิ่งทวีความเข้มข้นรุนแรง เปล่งแสงสว่างไสวเฉิดฉายออกมา นางก่นเสียงเย็นขึ้นคำหนึ่งเอ่ยว่า
“คิดจะกักขังกันเช่นนี้ แน่ใจว่ารับมือข้าไหว?”
อิสตรีในธารแสงรัศมีสีม่วงจัดจ้านตีสีหน้าเคร่งขรึม ด้วยโครงหน้าและรูปลักษณ์อันแสนเย้ายวนของนาง ในเวลาที่ฉาบคลุมไปด้วยความเย็นชาดั่งธารน้ำแข็งพันปีเช่นนี้ กลับยิ่งเพิ่มทวีความงดงามของนางเป็นเท่าตัว
หนึ่งเงาร่างไสววูบ แสงจรัสสีม่วงสะบั้นตัดผ่านดุจอสนีบาตคำรน เซียถงพุ่งปราดโจมตีใส่เย่หลีเทียนในพริบตา กระบี่ทัณฑ์ฟ้าเผยคมประกายเยียบเย็นฟันผ่ากลางหน้าผากอีกฝ่ายไร้เมตตา
เย่หลีเทียนยืนนิ่งงันไม่ไหวติง ผมยาวสลวยสีดำน้ำหมึกพลิ้วไสวตามแรงกระบี่โหมสะบัด จู่ๆเขาก็แบฝ่ามือขึ้นกลางอากาศ และทันใดนั้นก็มีบางอย่างถูกโยนผ่านหน้าต่าง เข้าฝ่ามือของเขาอย่างพอดิบพอดี พร้อมชูสิ่งนั้นขึ้นต่อหน้าเซียถง
ปรากฏเป็นนิ้วชุ่มเลือดสดอยู่นิ้วหนึ่งที่เผยให้เห็นต่อหน้าต่อตาเซียถง ซึ่งธารเลือดโลหิตที่อาบชโลมก็เพิ่งสดๆร้อนๆ ยิ่งทำเอาเปลวไฟในดวงตาของนางนิ่งโหมทวีโชติช่วงรุนแรง
เสมือนเส้นสติขาดสะบัดในพริบตา ท่วงท่าฟันฟาดหยุดชะงักไปชั่วจังหวะ ก่อนที่พริบตาต่อมา นางจะยิ่งเพิ่มทวีความเร็ว สะบั้นฟันใส่เย่หลีเทียนเป็นเท่าตัว
หากเรื่องในคราวนี้จบลงโดยมิได้ลงมือสังหารเย่หลีเทียน เกรงว่ายากแล้วที่จะชำระล้างความโกรธเกรี้ยวภายในใจของนางลง
“หากอยากจะเห็นศีรษะของท่านแม่เจ้าโยนผ่านหน้าต่างเข้ามาในครั้งถัดไป เช่นนั้นจงอย่าหยุดคมกระบี่เล่มนี้!”
เย่หลีเทียนจับจ้องไปยังคมกระบี่ทัณฑ์ฟ้าที่พุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วประดุจสายฟ้าโดยหากะพริบตาไม่
หัวใจดวงนี้ของเซียถงเสมือนถูกค้อนหนักพันตันทุบเข้าใส่ กระบี่ทัณฑ์ฟ้าหยุดชะงักเสียงดังกึก อยู่ห่างจากหน้าผากของเย่หลีเทียนไม่ถึงสองนิ้ว
ใจจริงอยากจะฟันเสียเหลือเกิน ปรารถนาจะสับร่างไอ้สาวเลวนี่เป็นหมื่นแสนชิ้น!
แต่อย่างไรเสีย นางกลับไม่กล้าพอ
เพราะชีวิตความเป็นตายของท่านแม่นางอยู่ในมือของมัน เพราะมันรู้ว่ากระบี่เล่มนี้ไม่สามารถทำร้ายตัวมันได้
ไอ้สารเลวเย่หลีเทียน มันดูมั่นใจพอตัว คิดว่าสามารถหลบเลี่ยงการโจมตีจากกระบี่ทัณฑ์ฟ้าได้ไม่ยากเย็น ถึงได้ทำตัวหยิ่งผยองไม่คิดหลบ แต่เลือกยืนนิ่งเข้าเผชิญหน้า และหากว่า นางไม่หยุดมือและตัดสินใจที่จะฟันต่อไป บางทีอาจฆ่ามันไม่ตายไม่พอ ในเวลาต่อมา น่าจะได้เห็นศีรษะของท่านแม่ถูกโยนผ่านหน้าต่างเข้ามาซ้ำเติมอีก
เช่นนั้นแล้ว…นางไม่กล้าเสี่ยง
เซียถงเหลือบสายตามองไปทางหน้าต่างบานหนึ่งที่เปิดอยู่กึ่งหนึ่ง คู่เท้าบิดเกร็งเปลี่ยนทิศทางฉับพลัน เร่งหมุนตัวหันไปทางหน้าต่าง พร้อมถีบร่างพุ่งทะยานด้วยความเร็วสูงสุด
ท่านแม่จะต้องอยู่แถวหน้าต่างบานนั้นแน่นอน!
แต่ชั่วพริบตา ขณะที่กำลังเหินทะยานไปถึงหน้าต่าง ทว่าหน้าต่างบานดังกล่าวที่เปิดค้างอยู่กึ่งหนึ่งก็ถูกปิดลงเสียงดัง‘ปัง’
ปรากฏเงาร่างสูงโปร่งแสนน่าสะพรึงของเย่หลีเทียนยืนขัดขวางอยู่ตรงนั้น
เย่หลีเทียนมองหน้าอีกฝ่ายอย่างเยือกเย็น และกล่าวขึ้นว่า
“เซียถง เจ้ามิอาจหนีไปไหนพ้น อย่าได้เสียเวลาอีกเลย ความอดทนของเราเองก็มีจำกัด ในเมื่อเราไม่ได้ตัวเจ้ามาครอบครอง เช่นนั้นก็ขอทำลายทิ้งเสียดีกว่าชายอื่นได้ไป จะนับถึงสามเท่านั้น หากยังไม่ยอมจำนนแต่โดยดี ครั้งต่อไปที่โยนเข้ามา บางทีอาจจะเป็นแขนของท่านแม่เจ้า”
“หนึ่ง… สอง…”
เย่หลีเทียนสบมองอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ และเริ่มนับถอยหลังทันทีอย่างช้าๆ
เสียงร้องไห้ของฮูหยินหลี่ดังขึ้นจากภายนอกหน้าต่างบานนั้น ไม่ว่าเสียงที่เล็ดลอดมานี้จะแผ่วเบาปานใด ทว่ากลับสร้างความเจ็บปวดราวกับฝูงมดนับไม่ถ้วนที่รุมกัดแทะหัวใจของเซียถง จนแล้วจนรอด สุดท้ายนี้นางก็ยอมวางกระบี่ทัณฑ์ฟ้าในมือลง เล็บทั้งห้านิ้วจิกลึกบีบตัวเข้าหากันแน่น จนกระทั่งจมลงไปในเนื้อฝ่ามือ
“เข้าใจแล้ว ข้ายอมอยู่ที่นี่แล้ว!”
นางกัดฟันพูดออกมาคำหนึ่ง
เย่หลีเทียนเผยรอยยิ้มที่แสนสดใสออกมาในที่สุด น้ำเสียงอ่อนโยนและนุ่มนวลลงมากจากเมื่อครู่ เขากล่าวว่า
“เจ้าตัดสินใจถูกแล้ว ท่านแม่ของเจ้าทั้งใจดีมีเมตตา เห็นนางถูกทำร้ายเช่นนี้ เราเองก็ไม่สบายใจเท่าไหร่นัก”
ขณะที่เอ่ยกล่าวออกไปเช่นนั้น เขาก็ตรงเข้ามาหยุดต่อหน้าเซียถง ยื่นมือขึ้นจับคมกระบี่ทัณฑ์ฟ้าในมือของนางที่สั่นเทาไม่หยุด ทั้งยังกล่าวขึ้นอีกว่า
“เจ้าไม่ต้องกลัว”
เซียถงค่อยๆถอนกระบี่ทัณฑ์ฟ้าเก็บกลับออกมา เหล่หางตามองอีกฝ่ายอย่างระแวดระวังตัว ก่นน้ำเสียงเย็นชาเอ่ยขึ้นว่า
“เจ้าต้องการอะไร?”
“เราหรือต้องการอะไร?”
ริมฝีปากบางของเย่หลีเทียนค่อยๆเปิดอ้า พลางหยิบยื่นบางสิ่งบางอย่างในอีกมือ ส่งให้ต่อหน้านาง
“มิได้ต้องการอะไรมากเลย ขอเพียงให้เจ้ากลืนโอสถเม็ดนี้ลงไป”
บนฝ่ามือข้างนั้นปรากฏเป็นโอสถเม็ดสีขาว
เย่หลีเทียนมองไปที่โอสถเม็ดนั้นบนฝ่ามือ และกล่าวอธิบายว่า
“โอสถเม็ดนี้ไม่เป็นอันตรายต่อพลังลมปราณในกายเจ้า เพียงมันจะให้เจ้ารู้สึกอ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรงเป็นเวลาสองชั่วยาม ขอแค่เจ้ายอมกลืนมันลงไป แล้วยอมในสิ่งที่เราต้องการเป็นเวลาสองชั่วยาม จากนั้น เราจะปล่อยตัวเจ้ากับท่านแม่ของเจ้าเป็นอิสระในทันที”
เซียถงกลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างแสนยากลำบาก พินิจจับจ้องโอสถเม็ดนั้นอยู่สักครู่ใหญ่ ก่อนจะเงยหน้าสบมองกับเย่หลีเทียน ประกายตาอาฆาตราวกับคมกระบี่เสียดแทง ทุกวาจาคำพูดที่นางกำลังจะเปล่งต่อไปนี้ ช่างหนาวเหน็บและเย็นชาจับขั้วหัวใจยิ่งแล้ว
“เย่หลีเทียน แล้วเจ้าจะเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปวันนี้”
น้ำเสียงของนางมีแต่แววความเกลียดชังอยู่เปี่ยมล้น
ใครก็ตามที่กล้าข่มขู่รังแก นางไม่มีวันปล่อยมันไปแน่
เย่หลีเทียนเลิกคิ้วกระตุกขึ้นทีหนึ่ง สีหน้ารวนเรเคลื่อนขยับตามอารมณ์ที่ผันแปรเล็กน้อย ส่งยิ้มบางๆมอบให้และกล่าวว่า
“ตราบเท่าที่เจ้ายอมทำในสิ่งที่เราต้องการ เราคนนี้จะไม่มีวันทำร้ายท่านแม่ของเจ้าอีก เซียถง ไม่มีสิ่งใดที่เราต้องการแล้วจะไม่ได้…รวมไปถึงตัวเจ้า”
เซียถงกคว้าโอสถเม็ดนั้นจากฝ่ามืออีกฝ่ายและตบเข้าปากกลืนลงไปโดยไม่มีลังเลใดๆ
เพื่อความปลอดภัยของท่านแม่ ต่อให้โอสถเม็ดนั้นเป็นยาพิษ ข้าก็ยอมกลืนมันลงไป!
เห็นเซียถงใจอาจหาญเด็ดเดี่ยว กลืนโอสถลงไปโดยไม่มีลังเลเช่นนั้น กระทั่งเย่หลีเทียนเองก็อดประหลาดใจมิได้ จับจ้องอีกฝ่ายเจือแววตะลึงหนึ่งส่วน เขาปรบมือให้ทันทีและยิ้มกล่าวอีกว่า
“สมแล้วที่เป็นเจ้า เราสัญญา จากนี้เราจะดูแลทั้งเจ้าและท่านแม่ของเจ้าเป็นอย่างดี!”
จากนอกหน้าต่าง พลันได้ยินเสียงฝีเท้าปริศนาดังจากออกไป
เซียถงกลืนโอสถเม็ดนั้นเสร็จ ถึงกับหมดแรงฮวบลงในทันใด พริบตาต่อมาทรุดตัวร่วงล้มอยู่กับพื้น โดยที่ศีรษะดิ่งลงเป็นส่วนแรก ทางเย่หลีเทียนรีบคว้าเอวของนางสวมกอดเอาไว้ เหล่มองใบหน้านางที่เริ่มแดงก่ำ ระบายยิ้มมุมปากอย่างกรุ้มกริ่ม และเดินตรงเข้าไปในเรือนนอนทันที
โอสถเม็ดนั้นไม่เพียงจะมีฤทธิ์ลดทอนพละกำลังทำให้คนอ่อนเพลียลงชั่วขณะ แต่มันยังมีส่วนผสมของยาปลุกอารมณ์อยู่ในนั้นด้วย ไม่ว่ากรณีใด เซียถงจะต้องเสียบริสุทธิ์ให้แก่เขาแน่นอน
เรือนร่างของอิสตรีอันแสนงดงามไร้ที่ติกำลังนอนแผ่อยู่บนเตียงขนาดใหญ่ เปรียบเสมือนบุปผาบานสะพรั่งภายใต้ผ้าแพรพรรณโปร่งแสงชั้นบางห่อหุ้ม บรรยากาศในที่แห่งนี้ช่างน่าอภิรมย์ชวนฝัน รอบห้องมีเทียนหอมกรุ่นผ่อนคลายวางประดับ เสื้อผ้าแพรพรรณชิ้นน้อยปกปิดเรือนร่างอันไร้ที่ติเพียงช่วงลำตัว เผยให้เห็นทรงไหล่และกระดูกไหลปลาร้าเปลือยเปล่าสีขาวผ่องละเอียดอ่อน เรียวนิ้วที่ไต่ไล่อย่างซุกซนของเย่หลีเทียนค่อยๆเคลื่อนเลื่อนขึ้นไปจากขาอ่อน ปลายจมูกเข้าเชยชมบนผิวแก้มแดงระเรื่อที่ร้อนระอุของหญิงสาว ไล่ลงไปสู่กระดูกไหปลาร้าที่เว้าได้รูป สูดดมกลิ่นกายของอิสตรีหอมหวนรัญจวนใจ
ร่างกายของบุรุษชายที่ร้อนรุ่มอยู่แล้ว ยามนี้ยิ่งทวีความร้อนรุ่มเป็นเท่าตัว แทบมิอาจข่มกลั้นอารมณ์ปรารถนาจากส่วนลึกในใจได้ไหวอีกต่อไป
เพียงนิ้วกระดิกทีหนึ่ง แพรพรรณชิ้นสุดท้ายบนเรือนร่างเซียถงถูกปลดเปลื้องอย่างช่ำชอง เผยให้เห็นชุดชั้นในลายลูกไม้สีแดงเพลิง และยิ่งอยู่ภายใต้แสงเทียนเหล่านี้ ก็ยิ่งทำให้ผิวพรรณสีขาวผ่องของนางนวลสวยประดุจหิมะ
ทั้งเรือนร่างที่เปลือยเปล่าสีขาวนวลละเอียด ทั้งทรวดทรงโค้งเว้าอย่างไร้ที่ติ รวมไปถึงหน้าอกทรงโตที่อวบอิ่ม ทั้งหมดทั้งมวลได้กอปรให้เซียถงทรงเสน่ห์กว่าใครๆ
ดวงตาคู่นั้นของเย่หลีเทียนทอประกายส่องแสงเปี่ยมล้นไปด้วยราคะกามอารมณ์ดำมืด เขาเริ่มเอนกายชิดแนบกับเรือนร่างของหญิงสาวบนเตียง ปัดปอยผมสีดำเหล่านั้นที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วหน้าผากงาม โน้มตัวกระซิบเสียงหวานข้างหูนางว่า
“พรุ่งนี้เราจะรีบเดินทางเข้าวังหลวง เพื่อทูลเรื่องพิธีแต่งงานระหว่างเรากับเจ้าแก่ฝ่าบาททรงทราบ”