ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 413 ความไม่พอใจระหว่างทั้งสอง (1)
ตอนที่413 ความไม่พอใจระหว่างทั้งสอง (1)
ตอนที่413 ความไม่พอใจระหว่างทั้งสอง (1)
เขายอมทำทุกสิ่งทุกอย่างจริงๆเพื่อที่จะเหนี่ยวรั้งนางเอาไว้ ยอมกระทั่งทำเรื่องต่ำทรามหวังจะใช้สิ่งนี้ผูกมัดนางมิให้หนีไปไหน!
เพราะเย่หลีเทียนตระหนักชัดแจ้งดีถึง นิสัยอันแสนหยิ่งทะนงและดื้อรั้นของเซียถง ดังนั้นแล้วนี่จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับกำราบนางให้อยู่หมัด
พ่นลมหายใจเฮือกใหญ่เสียงดัง เซียถงค่อยๆสอดมือเข้าซอกคอโอบท้ายทอยอีกฝ่าย ในเวลานี้เสมือนทุกอย่างดูพร่าเบลอไปหมด เย่หลีเทียนร่างกายาสั่นสะท้านเสียววาบ โค้งศีรษะลงประกบจูบริมฝีปากบางสีหวานฉ่ำของนางตรงหน้า แต่ทันทีที่ริมฝีปากของทั้งสองแตะสัมผัสกัน เขาก็บังเกิดกระแสความเจ็บปวดโฉบแล่นผ่านบริเวณท้ายทอยอย่างฉับพลัน ขณะนั้นเองก็ได้ยินน้ำเสียงเย็นชืดของเซียถงดังขึ้นว่า
“ท่านอัครมหาเสนาบดีเย่ ข้าบอกแล้วว่า ท่านจะต้องเสียใจ”
เย่หลีเทียนใจหายวาบ ชั่วอึดใจที่พยายามจะขยับตัว ทว่ามือขวาข้างนั้นของเซียถงก็ยิ่งเพิ่มแรงบีบท้ายทอยแน่น กระแสความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วอณูร่างกาย
“ขอแนะนำให้ท่านอย่าเพิ่งขยับไปไหนจะดีกว่า มิฉะนั้นดีไม่ดี ข้าอาจเผลอหักคอท่านเอา”
เซียถงสบมองอีกฝ่ายไม่เสื่อมคลาย น้ำเสียงและแววตากลายเป็นสงบนิ่งเยือกเย็น แตกต่างจากก่อนหน้าที่มีแต่โทสะอยู่เปี่ยมล้น
“เจ้าฟื้นตัวเร็วขนาดนี้ได้เยี่ยงไร?”
เย่หลีเทียนอยู่ในอาการงุนงงสุดขีด พอจะพยายามฝืนแรงขยับคอ กระแสความเจ็บปวดที่ท้ายทอยของเขาก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น
“อาศัยเพียงโอสถระดับหนึ่ง ทำอะไรข้าได้?”
ซึ่งแท้ที่จริง กับแค่จัดการกับฤทธิ์โอสถระดับหนึ่งทั่วไป กลับไม่ระคายมือเสี่ยวฮั่วเลยสักนิด เซียถงยกเข่าขึ้นกระทุ้งใส่บริเวณหว่างขาเย่หลีเทียนอย่างแรง ทำเอาเจ้าตัวขมวดคิ้วถักเป็นปม ใบหน้าเปลี่ยนสีซีดเผือดด้วยความเจ็บปวดระทม แต่นี่ยังไม่พอ ทันทีที่เซียถงทรงตัวลุกขึ้นนั่งได้ ก็ใช้มือข้างหนึ่งคว้ากำกล่องดวงใจของบุรุษชายดังหมับ บังคับให้อีกฝ่ายค่อยๆโหย่งตัวเขย่งขึ้น ลุกขึ้นถอยออกไปจากเตียงอย่างแช่มช้า
เมื่อเย่หลีเทียนตั้งตัวขึ้นตรง ลุกออกจากเตียงไปโดยสมบูรณ์ นางก็ใช้มือขวาที่ว่างอยู่เลื่อนมีดสั้นกระชับเข้าฝ่ามือ จ่อติดกลางแผ่นอกของเขา ส่วนมือข้างซ้ายยังคงกล่องดวงใจเอาไว้แน่น ก่นน้ำเสียงเย็นเยียบกล่าวขึ้นว่า
“ตราบเท่าที่เจ้าขยับตัวแม้แต่นิดเดียว ไม่เพียงคมมีดนี้จะเสียบทะลวงกลางอกของเจ้า แต่ข้าจะบีบกล่องดวงใจของเจ้าให้แตกคามือ!”
“เราก็ไม่ได้ขยับแล้ว”
เย่หลีเทียนยืนอยู่ปลายเตียงอย่างเชื่อฟังแต่โดยดี ตอนนี้ตัวเขาเองก็มิกล้าหุนหันพลันแล่น เคลื่อนไหวอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าเช่นกัน คมมีดสั้นเล่มนั้นทะลุจ่อกลางอกถือว่ายังไม่เท่าไหร่ แต่กล่องดวงใจของเขาที่อยู่ในเงื้อมมือนางนี่สิ…
พอเซียถงเพิ่มแรงบีบกุม ใบหน้าของเขาก็พลันซีดเซียวลงทันใด
เซียถงจ้องหน้าอยู่สักพัก ปักคมมีดทะลุเนื้อผ้าเสียบลึกลงไป ลายบุปผาสีโลหิตดวงหนึ่งเริ่มผุดซึมบานสะพรั่งออกมากลางอก สั่งการคำหนึ่งว่า
“บอกให้ลูกน้องของเจ้าพาท่านแม่ข้าส่งกลับไปที่จวนเสนาบดีเซี่ยเดี๋ยวนี้!”
“ท่านแม่ของเจ้าถูกส่งกลับไปนานแล้ว”
เย่หลีเทียนกล่าวตอบ
ได้ฟังดังนั้น เซียถงตกตะลึงไปชั่วขณะ ดันมีดสั้นในมือขึ้นหน้า ปักลึกลงไปอีกหนึ่งส่วน สบถคำโตด้วยความโกรธเกรี้ยวขึ้นว่า
“อย่ามาเล่นแง่เล่นเหลี่ยมกับข้า! หากวันนี้ยังไม่ปล่อยตัวนางไป เจ้าเตรียมตัวตาย!”
“ท่านแม่ของเจ้าถูกส่งกลับจวนเสนาบดีเซี่ยไปตั้งนานแล้ว ส่วนคนที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างบานนั้นหาใช่นาง แต่เป็นบ่าวรับใช้ของเราทั้งสิ้น ส่วนนิ้วนั่นก็เป็นของบ่าวรับใช้เช่นกัน”
เย่หลีเทียนเงยหน้าสบมอง แววตาสั่นไสวจางๆ
“อย่ามาโกหก! นั่นเป็นเสียงร้องของท่านแม่! ข้าได้ยินประจักษ์ชัดเต็มสองหู!”
เซียถงตะคอกใส่น้ำเสียงดุดันแข็งกร้าว ทว่าสีหน้าชักจะลังเลไม่แน่ใจแล้วเช่นกัน
“เจ้าไม่รู้จักนักเลียนเสียงมาก่อนหรอกรึ? บ่าวรับใช้ในคฤหาสน์ของข้ามีคนหนึ่งสามารถทำเช่นนั้นได้ จึงวางแผนตบตาให้เจ้าเชื่อจริงๆว่า เราจับนางเป็นตัวประกันไว้ ทั้งหมดก็เพราะเรารักต้องการแต่งงานกับเจ้าจริงๆ มีหรือจะกล้าทำร้ายร่างกายท่านแม่ยายได้ลงคอ?”
เย่หลีเทียนเอ่ยเสียงแผ่วอ่อน ธารเลือดที่รินไหลที่หน้าอกเริ่มซึมซาบออกมามากขึ้นเรื่อยๆ หากเขายังคงฝืนพูดไปมากกว่านี้ นี่อาจไปกระตุ้นให้ปากบาดแผลบนหน้าอกฉีกขาดเพิ่มได้
ประกายตาฉายแววฉงนงุนงง เซียถงอดสงสัยมิได้จริงๆ แลเห็นคู่คิ้วอีกฝ่ายชักขมวดยับย่น สีหน้าท่าทีของเขาที่ดูเจ็บปวด พินิจแล้วไม่น่าจะใช่การโกหก และแบบนั้นก็ยังเชื่อไม่ลงอยู่ดี จะอย่างไร เย่หลีเทียนคนนี้มีจิตใจโฉดชั่ว นิสัยร้ายกาจเกินจินตนาการ หากจะให้หูเบาเชื่อคำพูดอีกฝ่ายโดยง่าย เกรงว่าคงไม่ใช่นาง
“แค่คำพูดมิอาจเชื่อถือ เห็นด้วยตาเท่านั้นถึงจะยืนยันได้ ท่านอัครมหาเสนาบดีเย่ เชิญเดินทางกลับจวนเสนาบดีเซี่ยไปพร้อมกับข้า ดูว่าท่านแม่ของข้ายังสบายดีอยู่หรือไม่? แต่หากเกิดอะไรขึ้นกับนางแม้แต่นิดเดียว ท่านก็อย่าได้ตำหนิว่า ข้าคนนี้ใจคอโหดเหี้ยม”
เซียถงเค้นเสียงเย็นชืดสะกดคำต่อคำ
“เข้าใจแล้ว เราจะไปกับเจ้า”
เย่หลีเทียนพยักหน้าตอบตกลงอย่างง่ายดาย
เซียถงผลักร่างของเย่หลีเทียนบังคับให้เดินขึ้นหน้าไป โดยที่ในมือนางก็ยังมีคมมีดสั้นจ่อติดอยู่กลางแผ่นหลัง
“ออกไปทั้งแบบนี้เลยจะดีรึ?”
เย่หลีเทียนเหลือบตาชำเลืองมองเรือนร่างที่โป๊เปลือยของนาง
เซียถงมุ่นคิ้วหงุดหงิด รีบก้มไปคว้าเสื้อคลุมชั้นนอกตัวหนึ่งที่กองอยู่ปลายเตียง เหวี่ยงสะบัดมันขึ้นทีหนึ่งอย่างแรง เข้าปิดคลุมเรือนร่างเปลือยเปล่าของนางค่อนข้างมิดชิดในระดับนึง ใช้มือซ้ายที่ว่างรีบร้อนติดกระดุมผิดถูกไม่สนใจ จ่อคมมีดสั้นเล่มนั้นในมือสั่งให้เย่หลีเทียนเดินหน้าออกไป บริเวณนอกประตูเรือนไม่มีใครอยู่ เซียถงจึงกล่าวสั่งการเย่หลีเทียนขึ้นประโยคหนึ่งว่า
“เร็วเข้า! รีบตะโกนสั่งคนของเจ้าให้ไปเตรียมรถม้า พาพวกเราไปยังจวนเสนาบดีเซี่ย!”
เย่หลีเทียนกัดฟันแน่น ข่มกลั้นกระแสความเจ็บปวดจากบาดแผลที่กลางอก ส่งเสียงตะโกนเรียกบรรดาบ่าวรับใช้ให้ไปเตรียมรถม้ามา และเมื่อทุกคนในคฤหาสน์เห็นว่า ท่านอัครมหาเสนาบดีเย่กำลังถูกมีดจี้ โดนคุมตัวอยู่ ต่างก็หน้าเสียกันถ้วนหน้า รีบไปเตรียมรถม้าโดยทันที
รถม้าจัดเตรียมเสร็จสรรพอยู่ต่อหน้า เซียถงรีบผลักร่างเย่หลีเทียนยัดขึ้นรถม้า มุ่งหน้าสู่จวนเสนาบดีเซี่ยโดยทันที ซึ่งระหว่างทาง คนคุมรถม้าไม่กล้าทำอะไร ได้แต่ปฏิบัติหน้าที่ของตนไปอย่างระมัดระวัง
เมื่อมาถึงหน้าประตูจวนเสนาบดีเซี่ย เซียถงก็คุมตัวเย่หลีเทียนเข้าไปด้วยกันทันที ตรงสู่จวนด้านใน บริเวณนั้นมีบ่าวรับใช้ประมาณสองสามคนกำลังตัดแต่งบอนไซอยู่ในสวน และทันทีที่หันมาเห็น เซียถงกำลังจับเย่หลีเทียนไว้เป็นตัวประกันพ่วงติดมาด้วย พวกเขาทั้งหลายถึงกับหน้าเสีย ยืนอ้าปากค้างพร้อมกับกรรไกรตัดแต่งในมือ
“ท่านแม่ของข้ากลับมาแล้วรึยัง?”
เซียถงเอ่ยถามพวกเขา
“กลับมาแล้วขอรับ ฮูหยินใหญ่กำลังพูดคุยอยู่กับนายท่านในเรือนทำงาน”
คนรับใช้ตอบ
เซียถงเหลือบหางตามองเย่หลีเทียนอีกหนึ่งปราด กล่าวถามต่อว่า
“แล้วท่านแม่ของข้าได้รับบาดเจ็บอันใดหรือไม่?”
“ไม่เลยขอรับ แถมตอนกลับมา ฮูหยินใหญ่ยังดูอารมณ์ดีมิใช่น้อยเลย”
บ่าวรับใช้เหล่านั้นลอบชำเลืองมองไปทางเย่หลีเทียนที่กำลังโดนเซียถงคุมตัวอยู่ สีหน้ายิ่งแปรเปลี่ยนส่อแววสยดสยอง
คุณหนูใหญ่จะต้องจิตใจอาจหาญปานใด ถึงกล้าลักพาตัวท่านอัครมหาเสนาบดีแห่งวังหลวงมาที่นี่…
“เซียถง เราไม่ได้โกหกเจ้าจริงๆ ท่านแม่ของเจ้าถูกส่งตัวกลับจวนแห่งนี้ตั้งนานแล้ว”
เย่หลีเทียนมองค้อนใส่เซียถงทีหนึ่ง ปริปากกล่าวขึ้นอย่างไม่ค่อยเต็มใจ
“ท่านไม่ได้โกหกข้าจริงอยู่ แต่ก็เคยทำให้ข้าต้องอับอายเสียศักดิ์ศรีความเป็นหญิง บัญชีความแค้นระหว่างข้ากับท่านยังไม่นับว่าสะสาง โทษประหารย่อมผ่อนผันกันได้ แต่บทลงโทษขั้นรุนแรงยังคงอยู่!”
ดวงตาเซียถงทอแสงประกายเยียบเย็น ลมปราณกระแสใหญ่โหมทะลัก ควบแน่นบนฝ่ามือซ้ายจนฉายแสงสีม่วงเจิดจรัส นางซัดฝ่ามือตบเข้าใส่กลางแผ่นหลังของเย่หลีเทียนสุดแรง ร่างอีกฝ่ายปลิวกระเด็นไปไกลหลายสิบก้าว
“พร๊วดดด!”
เย่หลีเทียนกลิ้งล้มคะมำแนบพื้น เลือดสีแดงสดพ่นกระอักออกมาเต็มปากเต็มคำ
สำหรับกระบวนฝ่ามือนี้ เซียถงนำใช้พลังไปกว่าเจ็ดในสิบส่วน ผนวกกับแรงกระแทกที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับบาดแผลฉกรรจ์สาหัสบนกลางอกจากคมมีด เกรงว่าต้องใช้เวลาพักรักษาตัวอย่างน้อย เป็นเวลาสิบวันหรือกว่าครึ่งเดือนเป็นอย่างต่ำ
เหล่าบ่าวรับใช้ที่กำลังตัดแต่งต้นบอนไซเหล่านั้นฉี่แตกรดกางเกงออกมาในทันใด
“ท่านอัครมหาเสนาบดีเย่ กระบวนฝ่ามือเมื่อครู่ สำหรับความคับข้องใจตลอดมาระหว่างท่านกับข้า ในตอนนี้ถือว่าหายกันแล้ว และหากครั้งต่อไป ท่านยังมีหน้าสร้างปัญหาอีก เรื่องคงไม่จบลงโดยง่ายอย่างวันนี้ เมื่อถึงตอนนั้น…ไม่ท่านก็ข้าที่ต้องตาย!”
เก็บมีดสั้นกลับเข้าใต้แขนเสื้อยาว ดวงตาเร้นประกายหรี่เล็กฉายแสงเยียบเย็นสว่างวูบวาบ เหตุที่เซียถงไม่ยอมฆ่าอีกเย่หลีเทียนให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปเลยก็เพราะประการแรก เจตนาของเขามิได้คิดร้ายกับฮูหยินหลี่ตั้งแต่แรก และประการถัดมา หากฆ่าแกงอีกฝ่ายกันในที่นี้ เกรงว่าจะนำพาปัญหาไร้สาระนับไม่ถ้วนเข้ามา
เย่หลีเทียนนั่งหน้าเย็นชาประกายตาดำมืด จ้องมองเซียถงไม่กะพริบ
เซียถงสบสายตามองสวนกลับไปโดยไม่มีกลัวเกรง หากเย่หลีเทียนคิดล้างแค้นในภายหลัง นางเองก็ไม่กลัว ต่อให้เป็นปัญหาใหญ่ปานใดก็ขอสู้ตายเพื่อความอยู่รอด!