ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 414 ความไม่พอใจระหว่างทั้งสอง (2)
ตอนที่414 ความไม่พอใจระหว่างทั้งสอง (2)
ตอนที่414 ความไม่พอใจระหว่างทั้งสอง (2)
บรรยากาศรอบข้างพลันเงียบงันชั่วขณะหนึ่ง เย่หลีเทียนยังคงจับจ้องเซียถงแข็งค้างอยู่ดังนั้น ปรากฏพันหลากคลื่นอารมณ์สั่นไสวซับซ้อนจากในดวงตา ธารเลือดแดงฉานจากมุมปากและหน้าอกรินไหลปรี่ล้นออกมาอย่างต่อเนื่อง
หญิงสาวตรงหน้าเขา ช่างงดงามเกินกว่าจะสรรหาคำบรรยายใดมาพรรณนา และด้วยอุปลักษณ์นิสัยที่เย็นชาสุดแสน มันยิ่งเสริมสง่าราศีของนางให้ดูน่าเกรงขาม เกินกว่าผู้ใดจะกล้าล่วงล้ำรุกราน ดูนัยน์ตาสว่างไสวคู่นั้นสิ ช่างสว่างไสวและแพรวพราวประดุจดวงดารา ความเย็นชาประหนึ่งยอดเหมันต์ที่หนาวเหน็บเกินอาจเอื้อม เห็นนางยืนตระหง่านผงาดง้ำอยู่ตรงนี้แล้ว เสมือนกับว่า ไม่มีสรรพสิ่งใดบนผืนพิภพที่สามารถทำให้นางเกรงกลัวได้อีก
เซียถงเหลือบหางตาชำเลืองใส่เย่หลีเทียน ส่งสายตาคู่หนาวเย็นมอบให้ ก่อนจะหมุนตัวเดินจากสวนแห่งนั้นกลับเข้าภายในเรือน
เย่หลีเทียนเฝ้าจับจ้องแผ่นหลังอรชรหนาวเย็นที่ค่อยๆลาลับเส้นสายตาออกไป เสียงถอนหายใจยืดยาวดังขึ้นเฮือกหนึ่ง พลางยกมือขึ้นปาดเช็ดธารเลือดซิบที่มุมปาก พยุงตัวลุกขึ้นยืนหยัดและมุ่งหน้าเดินจากประตูจวนเสนาบดีเซี่ยออกไปโดยไม่พูดไม่จาใดๆอีก
ไม่กี่วันถัดมา ก็ได้มีคำสั่งจากองค์จักรพรรดิตงหลี่ ให้เข้าบุกค้นเรือนพักของคณบดีแห่งสถานศึกษาเซิงหลิงเป็นการด่วน ร่างของหวานหลีซุนถูกแบกหามพาตัวออกมาจากที่ซ่อนลับใต้ดิน และความจริงก็ถูกเปิดเผย ปรากฏว่า ฐานลับใต้ดินแห่งนี้กลับมีขนาดกว้างใหญ่ไพศาลกว่าที่คิดจินตนาการไว้ เส้นทางลับภายในนี้ล้วนเชื่อมต่อกับทุกซอกมุมในวังหลวง ซึ่งนี่นับเป็นอะไรที่อันตรายอย่างยิ่ง ส่วนด้านเซียถงกับเย่หลีเทียนที่สามารถปราบคณบดีลงได้สำเร็จ ทั้งคู่ต่างได้รับการประทานรางวัลอย่างงาม รวมไปถึงเครื่องราชอิสริยาภรณ์แด่วีรกรรมอันหาญกล้าในครั้งนี้
หลังจากที่ฮูหยินหลี่กลับมายังจวนเสนาบดีเซี่ย นางกับเซี่ยอี้เฉิงก็ดูเหมือนจะได้มีโอกาสพูดคุยและอยู่ด้วยกันมากขึ้น ซึ่งทัศนคติของเซี่ยอี้เฉิงที่มีต่อนางเองก็ดูจะเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก ทุกคำพูดคำจาล้วนไพเราะน่าฟัง พยายามเอาใจดูแลทุกวิถีทาง ไม่เพียงเท่านั้น เขายังย้ายให้ฮูหยินหลี่ไปอาศัยอยู่ในเรือนพักที่ดีที่สุดในจวนเสนาบดีเซี่ย ส่งมอบทั้งเงินทองและอาหารเสริมต่างๆนานาให้ไม่มีขาดสาย กล่าวได้ว่าแตกต่างจากเมื่อก่อนชนิดหลังตีนเป็นหน้ามือ
เว้นเสียแต่ช่วงแรกที่ทั้งคู่เพิ่งแต่งงานกัน ฮูหยินหลี่ก็ไม่เคยได้รับการดูแลเอาใจใส่อันใดอีกเลยจากเซี่ยอี้เฉิง ความสุขที่แสนหอมหวานดั่งวันวาน ได้หวนกลับคืนมาอีกครั้ง เพราะสิ่งเหล่านี้เองจึงส่งผลให้ ฮูหยินหลี่ยิ้มแก้มปริมีความสุขแทบจะทุกวัน เซียถงเองก็สังเกตเห็นได้เช่นกันว่า เซี่ยอี้เฉิงปฏิบัติต่อท่านแม่ของนางดีกว่าเดิมชนิดผิดหูผิดตา เพราะแบบนั้นเอง นางก็เลยไม่ค่อยเย็นชากับอีกฝ่ายดั่งกาลก่อนแล้ว
ใกล้ถึงพิธีอภิเษกสมรสเข้ามาทุกที เซียถงพยายามเสาะหาจังหวะ เปิดใจคุยกับท่านแม่เกี่ยวกับเรื่องที่ต้องการจะพานางย้ายออกจากจักรวรรดิตงหลี่อยู่ก็หลายที แต่กลับล้มเลิกความคิดทุกครั้งไปทันทีที่ได้เห็นรอยยิ้มแห่งความสุขที่เปรอะเปื้อนบนใบหน้าของนาง เพราะหลังจากอภิเษกกับไป๋หลี่หาน นางตั้งใจว่าจะย้ายไปอยู่ดินแดนอี้เฉิง
สำหรับเซี่ยอี้เฉิง รายนั้นนางไม่เคยมีความผูกพันอะไรกับเขาอยู่แล้ว และหลังจากที่นางจากไป ไม่ว่าจะคิดหรือรู้สึกอย่างไร ตัวนางเองก็หาได้นำพามาใส่ใจเช่นกัน ซึ่งนี่แตกต่างจากท่านแม่โดยสิ้นเชิง เนื่องจากเราสองร่วมใช้ชีวิตกันมาอย่างยากลำบากนานนับสิบปี หากบอกไปว่า ครั้งนี้จำต้องอำลาจากกันไกลโพ้น เกรงว่าท่านแม่จะต้องโศกเศร้าเสียใจอย่างมากแน่นอน…
สามวันก่อนพิธีอภิเษกสมรสจะเริ่มต้นขึ้น เซียถงตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว ก่อนที่ตนจะลาจากจักรวรรดิตงหลี่ไป นางจะต้องกำจัดทุกอย่างที่มีแนวโน้มเป็นอุปสรรคต่อชีวิตท่านแม่ให้หมดสิ้นเสียที!
“อาจู ท่านแม่ของข้าปฏิบัติต่อเป็นเยี่ยงไรบ้าง?”
เซียถงเอ่ยถามอาจูขึ้นประโยคหนึ่ง ขณะที่ตนกำลังนั่งเอนหลังพิงพักอยู่บนเก้าอี้ ริมจิบชาร้อนไปพลาง
ซึ่งในตอนนี้ ยังมีเซี่ยอี้เฉิงนั่งอยู่เคียงข้างไม่ห่าง มาพร้อมกับถ้วยชาร้อนในมือเช่นกัน แต่อย่างไร สีหน้าการแสดงออกของเขาคล้ายจะดูฉงนงุนงงอยู่หลายส่วน เพราะก่อนหน้า เขากำลังนั่งปรึกษาหารือเรื่องงานกับเซี่ยหลู่เฟิงอยู่ในศาลาอยู่หมาดๆ ทว่าทันใดนั้น จู่ๆก็ถูกอิ๋งเอ๋อร์ที่รีบวิ่งปรี่เข้ามาบอกว่า เซียถงมีเรื่องสำคัญต้องการจะคุยกับเขาด่วน เพราะเหตุนั้นเอง เขาถึงรีบมุ่งหน้ามาที่เรือนพักของเซียถงโดยไว
แต่อย่างไรพอเขามาถึง เซียถงกลับหาได้แยแสสนใจ กลับหันไปเอ่ยปากถามอาจูที่คุกเข่าอยู่บนพื้นแทน เซี่ยอี้เฉิงในตอนนี้ค่อนข้างแคลงใจสงสัย ถึงกระนั้นก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามเช่นกัน ทำได้เพียงนั่งจิบชารอฟังอย่างสงบ
“ทั้งคุณหนูใหญ่และฮูหยินใหญ่ล้วนใจดีกับบ่าวอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”
อาจูกล่าวตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด แต่นางก็มิทราบเช่นกันว่า เหตุใดจู่ๆคุณหนูใหญ่ถึงเอ่ยถามเช่นนี้ออกมา
“หากเช่นนั้นแล้ว ข้าขอถามอะไรเจ้าสักอย่าง และเจ้าต้องตอบความตามจริง”
อาจูพยักหน้า
เซียถงวางถ้วยชาลง มองดูนางด้วยสายตาคู่สดใสกล่าวว่า
“ก่อนที่ข้าจะเดินทางจากจักรวรรดิตงหลี่เพื่อเข้าร่วมงานประลองสี่จักรวรรดิ ตอนนั้นมีเหตุการณ์ครั้นหนึ่งที่ฮูหยินรองเฉิงจับท่านแม่ข้าไปทำร้ายร่างกาย เจ้าเองก็คงจำได้กระมัง? เห็นว่าตอนนั้นเจ้ามีทีท่าเหมือนมีอะไรจะบอกข้าใช่หรือไม่? ตอนนี้นับว่าเหมาะสมแล้ว อยากพูดอะไรจงพูดออกมา”
ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าการแสดงออกของอาจูพลันแปรเปลี่ยนไปทันที นางเงยหน้าขึ้นมองเซียถงตัดสลับกับเซี่ยอี้เฉิงไปมา แววตาสั่นไสวดูตื่นตระหนกสุดขีด
“มีอะไรที่ข้าคนนี้ยังไม่รู้หรือเปล่า?”
เสียงถ้วยชาในมือเซียถงวางกระแทกโต๊ะดังตุบ ทำเอาอาจูสะดุ้งเฮือกตัวสั่นเทิ่มด้วยความตื่นตระหนก
“คะ-คุณหนู…ตะ-ตอนนั้นบ่าวไม่มีอะไรจะพูดนะเจ้าค่ะ…”
อาจูส่ายหัวสะบัดไปมา ใบหน้าถอดสีซีดเผือดในบัดดล
เซียถงสะกดสายตามุ่งใส่ไปที่นาง แต่มิได้เอ่ยกล่าวใดๆเพิ่มเติม
ชั่วพริบตาเท่านั้น ทั่วทั้งหน้าผากอาจูก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น ลอบสายตาชำเลืองมองไปยังทิศทางของเซี่ยอี้เฉิงอยู่เป็นระยะ ก่อนจะก้มศีรษะหลบหน้าลงกับพื้น
เซียถงเฝ้าสังเกตปฏิกิริยาของอีกฝ่ายอยู่สักครู่ จากนั้นพลางยกถ้วยชาขึ้นริมจิมอีกครั้ง ค่อยเอ่ยว่า
“อาจู หากมีสิ่งใดคั่งค้างเก็บงำอยู่ในใจก็จงพูดออกมาเถิด มีข้าคอยปกป้องอยู่ทั้งคน ใครกล้าทำอะไรเจ้าหลังจากนี้มีหรือเป็นไปได้?”
อาจูรู้สึกดั่งว่าสายตาคู่นั้นของทั้งเซียถงและเซี่ยอี้เฉิงที่จ้องเขม็งมองมา ช่างเฉียบแหลมอันตรายดั่งคมมีดที่กำลังเชือดเฉือนเนื้อหนังของนางอยู่ ยิ่งเวลาผ่านไป ร่างกายของนางก็ยิ่งสั่นเทาเกินจะควบคุม เงยหน้าขึ้นมองเซียถง พยายามเปิดปากต้องการจะกล่าวอยู่หลายครา
เรื่องดังกล่าว…มันหาใช่สิ่งที่บ่าวไพร่ตัวเล็กๆอย่างนางสามารถพูดออกมาได้ มิฉะนั้นแล้ว ตัวนางอาจถูกขับไล่ไสส่งออกจากจวนเสนาบดีเซี่ยแห่งนี้ หรือดีไม่ดีอาจถูกฆ่าปิดปากในภายหลัง!
“อาจู หากตอนนั้นเจ้ามีสิ่งใดต้องการจะพูดกับคุณหนูใหญ่ ในตอนนี้ก็ควรพูดออกมาได้แล้ว และไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไร ข้าคนนี้ขอสัญญา จะไม่เอาถือโทษเอาผิดใดๆต่อตัวเจ้า”
เฝ้ามองท่าทางการแสดงออกของอาจูมาสักพัก เซี่ยอี้เฉิงก็พึงตระหนักได้ว่า เรื่องที่นางกำลังจะพูดต่อไปนี้หาใช่เรื่องเล็กน้อยแน่นอน เช่นนั้นในฐานะนายท่านของจวนแห่งนี้ เขาจึงต้องกล่าวเสริมไปอีกแรง เพื่อยอมให้อาจูยอมเปิดเผยเรื่องราวออกมา
คำกล่าวประโยคนี้ของเซี่ยอี้เฉิงมีน้ำหนักอย่างมากต่อการตัดสินใจของอาจู ทันใดนั้นเอง นางก็เลือกที่จะแหงนศีรษะขึ้นเผชิญหน้ากับทั้งสอง ก่อนจะหันไปกล่าวกับเซียถงว่า
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ เรื่องที่บ่าวต้องการจะบอกกับคุณหนูใหญ่ในวันนั้นก็คือ… ความจริงแล้ว…คุณหนูรองไม่ใช่บุตรสาวแท้ๆของนายท่าน แต่เป็นบุตรของฮูหยินรองเฉิงกับชายที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของนาง”
‘เพล้ง!’
สิ้นเสียงเพียงเท่านั้น ถ้วนชาในมือเซี่ยอี้เฉิงถึงกับร่วงแตกคาพื้น เขามุ่งสายตาจับจ้องอาจูตาเขม็ง สีหน้าบิดเบี้ยวน่าเกลียดยิ่งยวด พร้อมเสียงเอ่ยถามขึ้นว่า
“เจ้า…เจ้าพูดจริงรึ?!”
“เรียนนายท่าน ย้อนกลับไปเมื่อประมาณสิบปีที่แล้ว ตอนที่ท่านออกเดินทางไปเยี่ยมเยือนดินแดนซีฮั่นพร้อมกับขบวนเสด็จของฝ่าบาท ฮูหยินรองเฉิงกับลูกพี่ลูกน้องคนนั้นต่างเล่นชู้กันอยู่ที่นี่แทบทุกวัน ต่อมานางก็เกิดตั้งท้องขึ้นมา แต่ขณะที่กำลังจะตัดสินใจทำแท้ง ในเวลานั้นท่านก็กลับมาพอดี ฮูหยินรองเฉิงบอกกันท่านว่า นางกำลังตั้งท้อง หลอกให้ท่านหลงเชื่อไปว่า เด็กในท้องคือลูกระหว่างท่านกับนาง ทว่าความเป็นจริงแล้ว…กลับไม่ใช่เช่นนั้นเลย ส่วนที่ว่าบ่าวไปทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร เพราะตอนนั้น…ข้าเองก็อยู่ในเหตุการณ์ระหว่างที่ฮูหยินรองเฉิงตัดสินใจว่าจะทำแท้งดีหรือไม่… เหตุการณ์ดังกล่าวไม่มีใครล่วงรู้อีกเลย นอกจากตัวบ่าวกับฮูหยินรองเฉิงเท่านั้นแค่สองคน”
อาจูเปิดปากเล่าออกมา
ไม่มีใครรู้? เซียถงถึงกับสูดไอเย็นแช่มลึก
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จู่ๆนางก็นึกถึงคำกล่าวนึงขึ้นได้ ‘เรื่องชั่วที่เคยก่อกรรม ต่อให้ไม่มีใครรู้ สักวันย่อมต้องปรากฏ’