ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 419 เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดินีเหลิ่ง (1)
ตอนที่419 เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดินีเหลิ่ง (1)
ตอนที่419 เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดินีเหลิ่ง (1)
ไป๋หลี่หานสวมหน้ากากกลับเป็นดังเดิม ส่วนเซียถงสะดุดตาจดจ่ออยู่ที่เขาไม่กะพริบ คล้ายมีสัมผัสหวานละมุนจางอ่อนผุดขึ้นในหัวใจ
หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ไป๋หลี่หานก็จับมือนางและพาออกไปที่ประตูด้วยกัน
เซียถงเดินติดตามอีกฝ่ายโดยไม่มีทีท่ากังขาขัดขืนใดๆ ตั้งแต่แรกเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเขา ก็เสมือนกับก่อเกิดคลื่นความรู้สึกแปลกๆ ผุดขึ้นในใจเล็กน้อย เป็นอารมณ์บางอย่างที่รู้สึกได้แต่ยังไม่ชัดเจนมั่นคง แต่อย่างไร สิ่งหนึ่งที่นางสามารถตอบได้อย่างเต็มปากแล้วก็คือ นางไม่ได้เกลียดเขาอีกต่อไป
ออกมาด้านนอก ไป๋หลี่หานก็หยิบเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาวสะท้อนเงินขึ้นมาห่มให้อย่างเบามือ วางทับบนร่างของเซียถง
“ข้างนอกอากาศหนาวมาก อย่าลืมใส่มันทุกครั้งที่ออกมา”
สองมือประกอบรัดมัดสายสีแดงของเสื้อคลุมอย่างคล่องแคล่ว จะสังเกตเห็นได้ถึงรอยยิ้มในดวงตาและน้ำเสียงที่แสนอ่อนโยนของเขา
สาวรับใช้ในพระราชวังสองสามคนที่ยืนประกบอยู่ด้านหลัง พวกนางหันหน้าสบสายตามองกันและกัน ต่างคนต่างฉายแววประหลาดใจผ่านใบหน้า ปรากฏว่า ท่านราชาหมาป่าสวรรคผู้นี้ก็มีด้านที่อ่อนโยนกับเขาบ้างเช่นกัน
สีหน้าการแสดงออกของเซียถงโดยผิวเผินหาได้แยแสไม่ ทว่าภายในใจกลับรู้สึกอบอุ่นเสียเหลือเกิน
ไป๋หลี่หานกุมมือนางเดินออกจากตำหนักเรือนหอ ทันทีที่ออกมาด้านนอก ลมหนาวพัดผ่านหอบใหญ่ส่งเสียงหวีดหวิด เกล็ดหิมะความหนาวเหน็บปะทะใบหน้าจับตัวเป็นชั้นบางเย็นจับใจ ความหนาวดังกล่าวมันมากเกินกว่าจะรับไหว ก่อเกิดเป็นความเจ็บปวดชนิดหนึ่งที่ใครได้สัมผัสล้วนต้องทรมาน ลมปากพ่นออกมาเป็นไอต่อเนื่อง เสมือนคมมีดเล็กจิ๋วนับไม่ถ้วนกระหน่ำทิ่มแทง เซียถงถึงกับขดตัวรีบหาที่ซุกมือโดยไว
“อากาศในอี้เฉิงหนาวมาก ถึงได้บอก เวลาออกไปไหนต้องเตรียมตัวให้ดี แต่สักพักหลังจากนี้ อากาศจะเริ่มอุ่นขึ้นนิดหน่อย”
ไป๋หลี่หานลูบเกล็ดหิมะเย็นจัดที่แช่ติดอยู่บนใบหน้าของนางเบาๆ
“ไม่เป็นไร”
เซียถงหันหน้าเบี่ยงหนี เพราะรู้สึกไม่คุ้นเคยกับบรรยากาศสนิทสนมใกล้ชิดกับใครอื่นปานนี้
ไป๋หลี่หานคลี่ยิ้มอ่อนและจูงมือนางเดินต่อไปข้างหน้า เมื่อสองมือผสานจับ ฝ่ามือหนาของอีกฝ่ายช่างรุ่มร้อนดั่งเตาไฟผิง ส่งผลให้หัวใจดวงน้อยของนางเริ่มอุ่นขึ้นบ้าง
พระราชวังอี้เฉิงแห่งนี้สง่างดงาม สถาปัตยกรรมโดยส่วนใหญ่ราวกับถูกหล่อสร้างขึ้นจากน้ำแข็ง ทั้งที่ความเป็นจริงก็ทำจากวัสดุทั่วไปเหมือนที่อื่นๆ แต่อาจเป็นเพราะดินแดนแห่งนี้เป็นฤดูหนาวจัดตลอดทั้งปี จึงแช่ทั่วท้งพระราชวังจนกลายเป็นน้ำแข็ง ส่งผลให้ดูวิจิตรตาอลังการอย่างบอกไม่ถูก ด้านนอกพื้นที่ราบเป็นทุ่งเหมันต์ บริเวณแผ่นพื้นทั้งหมดถูกฉาบเคลือบน้ำแข็งใสบริสุทธิ์ดั่งอัณมณีแวววาว
ดูสว่างไสวไปเสียหมด
ต้นไม้ที่ใหญ่โตมโหฬารที่สุดในวัง ยังเหลือความเป็นพฤกษาสีเขียวอยู่บ้าง ระหว่างทางเดินมีต้นบ๊วยที่บานสะพรั่งยาวตลอดเส้น หลังจากผ่านพ้นตำหนักต่างๆ มาก็หลายแห่ง ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงตำหนักคิมหันต์ฤดู หรือก็คือที่นำพักของท่านแม่ไป๋หลี่หาน ในดินแดนอี้เฉิงแห่งนี้ นางได้ชื่อว่าเป็น จักรพรรดินีเหลิ่ง
เมื่อไป๋หลี่หานพาเซียถงมาถึงหน้าประตูตำหนัก ขันทีก็รีบวิ่งออกมาแจ้งว่า จักรพรรดิดินีเหลิ่งพร้อมให้เข้าเฝ้าแล้ว
ก้าวย่างเข้าไปในห้องโถงขนาดใหญ่ เสมือนได้รับลมอุ่นท่ามกลางฤดูใบไม้ผลิ อากาศภายในนี้ดูจะดีกว่าด้านนอกมาก สาวรับใช้นางหนึ่งตรงเข้ามาช่วยเซียถงถอดเสื้อคลุมขนจิ้งจอกออก และนำไปแขวนไว้ที่ด้านข้างกำแพง ภายในห้องแห่งนี้มีพรมลายดอกไม้หนาปูเอาไว้ครอบคลุม ณ ใจกลางมีเตาอี้งโล่ขนาดยักษ์ที่ได้รับการแตะสลักอย่างประณีตน่าดูชม ในขณะที่ภายในนั้นมีเปลวไฟลูกใหญ่ลุกโหมโชติช่วง
ปรากฏหญิงชราอายุประมาณห้าสิบปี กำลังนั่งยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ [1] ประดับพร้อมชุดเครื่องใช้ไม้จันทน์แดงทั้งหมดรอบห้อง และหญิงชรานางนี้แต่งกายในชุดราชวงศ์สีครามฟ้าลายเมฆทักทอ สวมปิ่นปักผมลวดลายเจ็ดอัญมณีบนศีรษะ หางปิ่นห้อยพู่สีเงินระยิบระยับ ต่างหูคู่นั้นดูทรวดทรงพลิ้วไสวดุจธารวารี ริมฝีปากแดงตัดกับซี่ฟันสีขาวสะอาด นางทรงประทับอยู่บนนั้น สาดฉายรัศมีสง่าผ่าเผย
“ลูกขอคารวะเสด็จแม่”
ไป๋หลี่หานคุกเข่าลงตรงหน้าองค์จักรพรรดินีเหลิ่ง ทุกอากัปกิริยาท่าทางช่างสุภาพเรียบร้อย
เซียถงคุกเข่าตามอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก ก้มศีรษะลงและกล่าวว่า
“คารวะองค์จักรพรรดินี”
กระทั่งแม่ตัวเอง นางก็ยังไม่เคยคุกเข่าให้มาก่อน แต่ในครั้งนี้กลับต้องคุกเข่าให้องค์จักรพรรดินีเหลิ่ง ย่อมต้องรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเป็นธรรมดา
“เซียถง เจ้าเงยหน้าให้เราผู้นี้ดูหน่อย”
องค์จักรพรรดินีเหลิ่งกล่าวพร้อมน้ำเสียงอบอุ่นเป็นมิตร
เมื่อเซียถงเงยหน้าขึ้นมา ก็พบกับแววตาที่แข็งกร้าวมั่นคงขององค์จักรพรรดินี้เหลิ่งมุ่งเข้าจับจ้อง กวาดมองไปทั่วใบหน้าของนางสักพัก หญิงชราก็พยักหน้ากล่าวว่า
“อืม เป็นหญิงดูดีมีสง่าราศี”
ทว่าน้ำเสียงของหญิงชรานางนี้กลับฟังดูแปลกๆ ถึงจะมิได้ดูเย็นชาหรือเฉยเมย ทว่าราวกับแอ่งน้ำที่ตายไปแล้ว ไร้ซึ่งร่องรอยกระแสอารมณ์ใดๆ
องค์จักรพรรดินีเหลิ่งถอนสายตาหันออกมา ชี้ไปที่จานบนโต๊ะข้างเก้าอี้ แล้วกล่าวกับไป๋หลี่หานว่า
“หานเอ๋อร์ มานี่สิ แม่รู้ว่าวันนี้เจ้าจะมา ก็เลยทำขนมอบที่เจ้าชอบไว้ให้ตั้งแต่เนิ่นๆ ตอนนี้ยังร้อนอยู่ ลองชิมดูสักคำ”
ไป๋หลี่หานลุกขึ้นไปยืนเคียงข้างองค์จักรพรรดินีเหลิ่ง เอื้อมมือไปหยิบขนมอบชิ้นหนึ่งขึ้นมาจากโต๊ะ ลองชิมรสชาติไปคำหนึ่ง คลี่ยิ้มแย้มอุทานขึ้นว่า
“อร่อยมาก! ฝีมือการอบขนมของเสด็จแม่ดีขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
องค์จักรพรรดินีเหลิ่งกระตุกชายเสื้ออีกฝ่ายเบาๆ แล้วยิ้มกล่าวขึ้นว่า
“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน มาๆ ให้แม่คนนี้ดูเจ้าใกล้ๆ หน่อย นี่อ้วนขึ้นรึเปล่า?”
ไป๋หลี่หานโน้มตัวไปตรงหน้าองค์จักรพรรดินีเหลิ่ง หญิงชราแตะสัมผัสหน้ากากที่ปิดครอบบนใบหน้าของเขา แล้วกล่าวขึ้นอย่างไม่ค่อยพอใจนักว่า
“เจ้าเองก็อภิเษกสมรสมีพระชายาข้างกายแล้ว ไยต้องสวมหน้ากากไปไหนมาไหนอยู่อีก? มองหูเจ้าผ่านหน้ากากนี้แล้ว ทำเอาข้ารู้สึกดไม่สบายใจจริงๆ”
“ฮ่าฮ่า ลูกถอดแล้ว ลูกถอดแล้ว”
ไป๋หลี่หานหันหลังให้บรรดาฝูงชนคนรับใชทั้งหลาย และยกมือถอดหน้ากากออก เผยแสดงใบหน้าที่แท้จริงให้แก่องค์จักรพรรดินีเหลิ่งดูเท่านั้น
องค์จักรพรรดินีเหลิ่งยื่นมือขึ้นแตะสัมผัสใบหน้าของอีกฝ่าย จ้องมองด้วยสายตาแสนประณีต คล้อยหลังไม่นานก็เอ่ยขึ้นคำหนึ่ง นางระบายยิ้มคลี่กว้าง กล่าวว่า
“ดูไม่ผอมเหมือนแต่ก่อนแล้ว เหมือนว่าจะโตขึ้นอีกเล็กน้อย”
“เพราะได้รับการดูแลจากพระชายาของลูกเป็นอย่างดี”
ไป๋หลี่หานสวมหน้ากากกลับไปดังเดิม และหันศีรษะไปหาเซียถงกล่าวว่า
“เซียถงมานี่สิ ลองชิมขนมอบที่ท่านแม่ทำ”
พอเซียถงกำลังจะลุกขึ้นเดินตรงเข้ามา สีหน้าการแสดงออกขององค์จักรพรรดินีเหลิ่งก็มืดมนลงในทันใด แต่ก็ยังยิ้มกล่าวออกไปว่า
“พระชายา เจ้ายังไม่ยกชาให้เราผู้นี้เลย”
พริบตานั้นเอง สาวรับใช้นางหนึ่งก็รีบยกถ้วยชามาให้เซียถงข้างกาย
เซียถงชำเลืองมองไป๋หลี่หานอยู่หนึ่งปราด หยิบถ้วยชาดังกล่าวขึ้นมา และคุกเข่าคลานเข้าหาองค์จักรพรรดินีเหลิ่งอยู่ต่อหน้า ยกมันขึ้นเหนือศีรษะของนางและกล่าวว่า
“เสด็จแม่ ชาร้อนเจ้าค่ะ”
“อืม”
องค์จักรพรรดินีเหลิ่งระบายยิ้มอ่อน และโน้มตัวลุกขึ้นไปหยิบชาถ้วยนั้น แต่เสี้ยวพริบตาระหว่างที่หยิบ เรียวนิ้วบางที่เหี่ยวย่นของนางพลันเกิดอาการสั่นเกร็งขึ้นมาทันใด ส่งผลให้ถ้วยชาร้อนร่วงลงจากมือของนาง ราดใส่บนศีรษะเซียถง ลวกใบหน้าสวยจนเปียกชุ่ม
ถ้วยชากลิ้งหลุนลงบนพรมดอกไม้ไอร้อนระเหยออกมาเป็นไอ บริเวณผิวแก้มของเซียถงแดงระเรื่อเนื่องจากถูกรน้ำชาร้อนลวกใส่เมื่อครู่
“รีบช่วยพระชายาเร็ว!”
องค์จักรพรรดินีเหลิ่งร้องอุทาน
ไป๋หลี่หานดึงร่างเซียถงขึ้นมาตรวจสอบบริเวณบาดแผลที่ถูกลวกบนใบหน้า สายตาคู่นั้นเมีแต่ความทุกข์ร้อนใจอยู่เปี่ยมล้น เขารีบยกแขนเสื้อขึ้นปาดเช็ดใบหน้าของนาง จับเอียงศีรษะมาเช็ดผมเผ้าที่เปียกชุ่ม เห็นแบบนั้น นางรีบกล่าวน้ำเสียงเย็นก่นขึ้นคำหนึ่งว่า
“ไม่เป็นไรแล้ว ท่านพี่อย่าได้กังวล”
“แต่แก้มของเจ้าบวม”
น้ำเสียงที่เปล่งดังออกจากปากของไป๋หลี่หานเต็มไปด้วยความสงสาร สองมือของเขาจับสัมผัสใบหน้าของนางอย่างทะนุทะหน่อม บังคับให้อีกฝ่ายหันหน้ามุ่งจับจ้องสบสายตา กระทั่งริมฝีปากเองก็คล้ายจะโดนชาร้อนเมื่อครู่ลวกใส่เช่นกัน ส่งผลให้เกิดแผลพุพองอ่อนๆ บนใบหน้า
[1] เก้าอี้ไม้ศักดิ์จีนโบราณ