ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 420 เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดินีเหลิ่ง (2)
ตอนที่420 เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดินีเหลิ่ง (2)
ตอนที่420 เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดินีเหลิ่ง (2)
ไป๋หลี่หานอยู่ใกล้กับนางที่สุด ย่อมเห็นสีหน้าไม่พอใจของเซียถง มันแสดงถึงความอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก
“รีบไปนำขี้ผึ้งมาทาให้พระชายาเร็วเข้า!”
องค์จักรพรรดินีเหลิ่งขมวดคิ้วแน่น รีบหันไปสั่งสาวรับใช้ที่อยู่เคียงข้าง
สาวรับใช้เหล่านั้นรีบวิ่งไปหยิบตลับขี้ผึ้งสำหรับแผลโดนลวกมาให้โดยไว ไป๋หลี่หานประคองร่างเซียถงให้อยู่ในท่านั่ง คว้าตลับขี้ผึ้งจากมือสาวรับใช้และนำมาทาให้นางอย่างรวดเร็ว ชั่วอึดใจนั้นเอง สายตาของเซียถงพลันกวาดไปทางหญิงชราบนเก้าอี้โดยมิตั้งใจ ทว่าสิ่งเดียวที่แลเห็นคือ สีหน้าอันมืดทมิฬขององค์จักรพรรดินีเหลิ่ง ทั้งนี้เอง นางจับสัมผัสได้ถึง ร่องรอยแห่งความเศร้าโศกที่ฉายสะท้อนออกมาจากดวงตาเหี่ยวย่นของอีกฝ่าย เฉพาะเวลานั้นเอง เซียถงเข้าใจทุกอย่างในทันที ดูเหมือนว่าถ้วยชาที่หกใส่เมื่อครู่จะเกิดจากความตั้งใจ
ดูท่าแล้ว องค์จักรพรรดินีเหลิ่งหาได้ต้อนรับนางเท่าไหร่นัก เหอะ เหอะ แต่เอาเข้าจริง นางเองก็หาได้สนใจตำแหน่งนี้เช่นกัน
พอเห็นว่าเซียถงมุ่งสายตาจับจ้องเข้าหา องค์จักรพรรดินีเหลิ่งก็ยิ้มอ่อนกล่าวว่า
“พออายุมากขึ้น มือเท้ากลับไม่ค่อยเชื่อฟัง พระชายา เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่?”
ก็เห็นมิใช่รึว่า สีหน้าของข้าตอนนี้บูดบึ้งเพียงใด? ยังมีหน้ามาถามไถ่เช่นนี้ คงไม่เจ็บกระมัง?
เซียถงหัวเราะเยาะเย้ยกับตัวเองในใจ แต่ผิวเผินแล้ว ก็ยังประดับประดารอยยิ้มอยู่ทั่วใบหน้า นางกล่าวตอบขึ้นว่า
“อาการบาดเจ็บเพียงเท่านี้ หาได้เป็นอะไรไม่”
กล่าวจบ นางผลักไสมือไม้ของไป๋หลี่หานออกไป และยกชาร้อนถ้วยใหม่ส่งให้ต่อหน้าองค์จักรพรรดินีเหลิ่ง นางยิ้มกล่าวว่า
“เสด็จแม่ ชาร้อนเจ้าค่ะ”
“อืม ได้สิ”
องค์จักรพรรดินีเหลิ่งหยิบถ้วยชาร้อนขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม แต่ชั่วขณะนั้นเอง มือไม้พลันเกิดอาการสั่นเทาอีกครั้ง ส่งผลให้ถ้วยชาร้อนร่วงลงมาเป็นคำรบสอง แต่ครั้งนี้ เซียถงรีบพลิกมือเข้าจับถ้วยชาได้ทันท่วงที และส่งให้ต่อหน้าอีกฝ่ายอย่างมั่นคง คราวนี้ส่งตรงถึงมือไม่มีร่วงหกแน่นอน และกล่าวน้ำเสียงเย็นชืดดังขึ้นว่า
“เสด็จแม่ โปรดรับไปเถิด เสแสร้งทำเป็นหกใส่ครั้งหนึ่งยังพอทำเนา แต่หากทำซ้ำเป็นคำรบสอง เกรงว่าสาวรับใช้โดยรอบอาจจับผิดสงสัยได้ และหากเรื่องนี้ลามไปถึงหูองค์จักรพรรดิตงหลี่ หม่อมฉันเกรงว่า อาจไม่ใช่เรื่องดีนัก”
องค์จักรพรรดินีเหลิ่งถึงกับหน้าเสีย ขมวดคิ้วแน่นกล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจว่า
“พระชายา! พูดจาเช่นนี้หมายความกระไร? เราผู้นี้มือไม้อ่อนแรงฉับพลันเนื่องด้วยโรคชรา เผลอทำถ้วยชาหกใส่เจ้าโดยมิได้ตั้งใจ แต่กลับหาว่าเรานั่นเจตนารึ?”
“เซียถงมิกล้า เพียงต้องการตักเตือนเสด็จแม่เสียเท่านั้น หากมิได้ตั้งใจทำจริง แล้วไยต้องร้อนตัว? จะอย่างไร หากท่านไม่พอใจนักที่ได้ข้ามาเป็นพระชายาของบุตรชายท่าน ก็สามารถทูลบอกองค์จักรพรรดิตงหลี่ได้ทุกเมื่อ ข้าเองก็พร้อมใจกลับไปเสมอ”
เซียถงกล่าวตอบไม่มีไว้หน้า หาได้เกรงใจความแก่ชราของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย พูดจบนางลุกขึ้นยืนตรงตระหง่าน ค้ำหัวองค์จักรพรรดินีเหลิ่งโดยไม่มีเกรงใจ ประกายแสงเย็นยะเยือกสาดวูบวาบออกมาจากในดวงตา
“เจ้า…เจ้าคิดจะหยิบใช้นามจักรพรรดิตงหลี่กดขี่พระราชวังแห่งนี้รึ?!”
องค์จักรพรรดินีหน้าถอดสีซีดเซียวลงในทันใด
“เซียถงคนนี้ย่อมมิกล้า ข้าเองก็ได้เยี่ยมเยือนพร้อมประเคนชาให้ท่านดื่มกินเสร็จสรรพ เช่นนั้นคงไม่มีธุระอะไรอีกแล้ว ขอลา!”
เซียถงชำเลืองหางตาปรายมองอีกฝ่ายเล็กน้อย และหมุนตัวเดินจากออกไปโดยไม่มีเหลียวกลับ
ที่ยอมทนคุกเข่าส่งมอบชาให้ ทั้งหมดล้วนเห็นแก่หน้าไป๋หลี่หานทั้งนั้น
แค่ชาถ้วยแรกที่ลวกใส่หน้าก็เกินทานทน แล้วมีหรือจะโง่ให้โดยซ้ำสอง? คิดว่าคนอย่างนางจะโดนรังแกโดยง่ายปานนั้นเชียว?
ขณะที่เซียถงกำลังย่างเท้าก้าวออกจากประตูไป ทันใดนั้น นางก็ได้ยินเสียงองค์จักรพรรดินีเหลิ่งขว้างปาถ้วยชาในมือลงพื้นจนแตกละเอียด ลุกขึ้นยืนพรวดพราดชี้ใส่แผ่นหลังของเซียถง คำรามน้ำเสียงสั่นเครือขึ้นว่า
“หานเอ๋อร์! ดูนางนั่นสิ! ทั้งที่โชคดีปานใดได้อภิเษกสมรสกับเจ้า ขึ้นกลายเป็นพระชายา แต่ไยถึงมีมารยาทต่ำทรามเช่นนี้! ข้าเห็นว่า คนนิสัยเสียเฉกเช่นนาง สมควรถูกส่งตัวเข้าตำหนักเย็นสักสองสามวันเพื่ออบรมสั่งสอน! นางจะได้รู้เสียทีถึง ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง!”
“เรียนเสด็จแม่ พูดแล้วต้องทำจริง อย่าลืมส่งตัวข้าเข้าอบรมในตำหนักเย็น หลังจากนั้น องค์จักรพรรดิตงหลี่จะได้เคลื่อนไหวเสียที และท่านจะได้กลายมาเป็น จักรพรรดินีองค์สุดท้ายก่อนที่ดินแดนอี้เฉิงแห่งนี้จะล่มสลายลง!”
เซียถงชะงักหยุดฝีเท้า หันหลังกลับมามององค์จักรพรรดินีเหลิ่งที่กำลังโกรธจัด
“เจ้า…เจ้า…หยุดอ้างชื่อจักรพรรดิตงหลี่เข้ากดดันข้าเสีย! เมื่อใดที่มีโอกาสพบเจอแม่ของมัน ข้าจะฟ้องให้หมด!”
อากัปกิริยาท่าทางอันสง่าราศีสมบูรณ์แบบที่องค์จักรพรรดินีเหลิ่งพยายามรักษาเอาไว้ ทั้งหมดล้วนพังทลายลงอย่างไม่เป็นท่าโดยเซียถง กล่าวได้ว่า ครั้งนี้นางได้พ่ายแพ้ต่ออีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง ชั่วขณะนั้นเอง องค์จักรพรรดินีเหลิ่งพลันยกมือขึ้นทาบอก หอบหายใจติดขัดอย่างรุนแรง ใบหน้าเปลี่ยนสีเป็นซีดขาวราวกับผืนกระดาษ ส่วนมืออีกข้างยังคงชี้นิ้วอันสั่นเทาใส่เซียถงไม่มีเสื่อมคลายลง
ในดินแดนอี้เฉิงแห่งนี้ ตระกูลเหลิ่งล้วนเป็นที่รู้จักในนาม ครอบครัวแห่งคุณธรรมและความงามสง่า มีหรือเคยตกอยู่ใต้อาณัติยอมให้ใครข่มขู่รังแกได้?
เซียถงเคยได้ยินไป๋หลี่หานบอกว่า ท่านแม่ของเขาเป็นโรคหัวใจชนิดรุนแรงที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ดังนั้นแล้ว นางจึงใช้จุดอ่อนในส่วนนี้ หยิบยกบัญชีแค้นอาฆาตเก่าของนางอย่างองค์จักรพรรดิตงหลี่ ขึ้นข่มเห่งกดดันนางไปสักคราสองครา สิ่งนี้เปรียบเสมือนคมเข็มนับพันหมื่นเล่มที่ทิ่มแทงจิตใจ ชั่วพริบตาต่อมา องค์จักรพรรดิเหลิ่งเกิดอาการเลือดลมพลุ่งพล่านติดขัดจนหายใจไม่ออก ร่างกายเริ่มชักเกร็งในเวลาต่อมา และอีกไม่นานก็กำลังจะหมดสติลงแล้ว
“เสด็จแม่!”
ไป๋หลี่หานรีบเข้าประคองร่างองค์จักรพรรดินีเหลิ่ง ซึ่งนางเองก็คว้าจับแขนเสื้ออีกฝ่ายเอาไว้แน่น ร่างกายชักเกร็งอย่างแรง บริเวณปากและใบหน้าเริ่มบิดเบี้ยวหนักขึ้น
“นำเสื้อคลุมขนจิ้งจอกมาห่มให้นางเร็ว!”
ไป๋หลี่หานเปล่งเสียงร้องตะโกนลั่นอย่างเป็นกังวล สาวรับใช้นางหนึ่งรีบนำเสื้อคุลมขนจิ้งจอกมาห่มบนตัวองค์จักรพรรดินีเหลิ่งโดยไว
ส่วนสาวรับใช้อีกกลุ่มหนึ่งรีบไปที่เตาอั้งโล่ ใส่ถ่ายและเชื้อไฟเพิ่มเข้าไปหวังทำให้ตัวห้องอบอุ่นยิ่งขึ้น
ไป๋หลี่หานสวมกอดองค์จักรพรรดินีเหลิ่งไว้แน่น กล่าวขึ้นอย่างเป็นกังวลว่า
“เสด็จแม่อย่าเพิ่งเป็นอะไรไป! อย่าทำให้ข้าตกใจเช่นนี้สิ!”
สีหน้าขององค์จักรพรรดินีเหลิ่งยามนี้ซีดขาวไร้เลือดเข้าหล่อเลี้ยงแล้ว มือเท้าชักเกร็งกระตุ้นรุนแรง
“เสด็จแม่! เสด็จแม่! ท่านเป็นอะไรไป!?”
ไป๋หลี่หานโห่ร้องตะโกนลั่นด้วยความตื่นตระหนก
เซียถงชำเลืองมองไปที่ใบหน้าอันซีดเผือดขององค์จักรพรรดินีเหลิ่ง พอเห็นว่าอีกฝ่ายมิได้เสแสร้ง ก็อดกังวลมิได้ หากนางเป็นอะไรไปจริงๆ เกรงว่าตราบาปครั้งนี้คงติดตัวนางไปชั่วชีวิต
คิดได้ดังนั้น นางก็ตรงเข้าไปจับชีพจรบนข้อมือขององค์จักรพรรดินีเหลิ่ง ผ่านไปสักครู่หนึ่ง ค่อยหยิบเข็มเงินจำนวนสามเข็มออกมา ถกแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้นลงมือฝังเข็มใส่จุดสำคัญต่างๆ บนข้อแขนของอีกฝ่ายทันที เพียงพริบตาต่อมา อาการชักกระตุกทั่วร่างก็หยุดลง สีหน้าเริ่มกลับมามีน้ำมีนวลขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
“ท่านแม่ข้าเป็นอะไรไป?”
ไป๋หลี่หานหันมาเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวล
“ก็แค่เลือดลมพลุ่นพล่านเกินระงับ ส่งผลให้ระบบการทำงานของร่างกายบกพร่องไปชั่วขณะ ตอนนี้ข้าใช้เข็มเงินฝังเข้าจุดสำคัญบนเส้นเลือดไปแล้ว อีกสักครู่ก็คงกลับมาเป็นปกติดังเดิม”
เซียถงรู้สึกผิดเล็กน้อยภายในใจ เพิ่งพบพานกันครั้งแรก ก็แค่อยากทำให้แม่ของไป๋หลี่หานหัวเสียเท่านั้น หาได้เจตนาถึงขั้นฆ่าแกงกันให้ตาย
ไป๋หลี่หานเหลือบมองเซียถงเล็กน้อย และกระชับกอดร่างองค์จักรพรรดินีเหลิ่งแน่น โดยไม่เอ่ยกล่าวอะไรใดๆ อีกเลย
แลเห็นไป๋หลี่หานเป็นเช่นนี้ อดทำให้เซียถงอึดอัดใจไม่น้อย นางยืนขึ้นและกล่าวขึ้นคำหนึ่งว่า
“อย่าได้ห่วงไป หลังจากนี้เดี๋ยวนางก็ดีขึ้นเอง พาไปนอนพักรักษาตัวบนเตียงดีๆ ส่วนข้าขอตัวกลับก่อน”