ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 421 เสาะหาสัตว์อสูรบนหุบเขาหิมะ (1)
ตอนที่421 เสาะหาสัตว์อสูรบนหุบเขาหิมะ (1)
ตอนที่421 เสาะหาสัตว์อสูรบนหุบเขาหิมะ (1)
ไป๋หลี่หานเงยหน้าจับจ้องแผ่นหลังของนางที่เดินจากไป ชั่วขณะนั้นเอง องค์จักรพรรดินีเหลิ่งก็ได้สติตื่นขึ้น คว้าแขนเสื้ออีกฝ่ายด้วยความโมโห ปริปากเอ่ยว่า
“หานเอ๋อร์ เจ้าดูนางสิ! พอได้กลายเป็นพระชายาก็อาศัยชื่อจักรพรรดิตงหลี่เข้ากดขี่ข่มเหง เกรงว่านางคงมีอีกฝ่ายค่อยหนุนหลังอยู่จริงๆ อย่าได้คิดจริงจังอะไรกับนางให้มากนัก”
เซียถงที่กำลังเดินจากประตูออกไปพลางได้ยินคำใส่ร้ายที่หลุดออกจากปากองค์จักรพรรดินีเหลิ่ง มุมปากพลันกระตุกยิ้มเยาะเย้ยขึ้นทันใด พร้อมกับความรู้สึกผิดภายในใจที่มลายหายสิ้นสูญ หากไม่มายั่วยุนางตั้งแต่แรก มีหรือจะโดนเอาคืนเช่นนี้?
ลมหนาวพัดผ่าน ความเย็นยะเยือกจับขั้วกระดูกลุกลาม เซียถงเผลอเดินออกมาโดยลืมหยิบเสื้อกันหนาวขนจิ้งจอกติดมือมาด้วย และด้วยสภาพอากาศที่แสนเลวร้ายในอี้เฉิง ส่งผลให้นางห่อเสื้อผ้าบนร่างกายปิดคลุมเอาไว้แน่นหนา รีบเร่งฝีเท้าเดินจากออกไป
เดินผ่านไปหลายต่อหลายจวน มาถึงสวนเหมันต์แห่งหนึ่งภายในราชวัง ยามนี้ท้องฟ้ามีหิมะตกหนัก เซียถงยืนอยู่ท่ามกลางสวนเหมันต์แห่งนั้น เฝ้าแหงนมองฟ้า พลางรู้สึกมึดมนดั่งสภาพอากาศในตอนนี้
“จิ๊ด จิ๊ด!”
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเจ้าก้อนขนปุกปุยตัวน้อยโผล่ออกมาจากบนหลังคาวัง
“จี้จี้ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร?”
เซียถงเหม่อมองจี้จี้ที่ร่างของมันปกคลุมไปด้วยก้อนหิมะขาวโพลน เผยสีหน้าค่อนข้างประหลาดใจหลายส่วน
เจ้าจี้จี้เขย่าร่างสะบัดหางอยู่หลายที เกล็ดก้อนหิมะที่เกาะติดทั่วร่างพลันกระจายหลุดออก และมันก็รีบวิ่งไปหาเซียถง กระโดดขึ้นบนฝ่ามือของนาง
จี้จี้ร้องเล่นเต้นรำ ส่งเสียงกรีดร้องไปพลางอยู่บนฝ่ามือ ดูท่าแล้วจะมีความสุขอย่างมาก
“คราวที่แล้ว ข้าวานให้เจ้าออกไปตามหาท่านแม่ แล้วเจ้าไปไหนเสียล่ะ?”
เซียถงชี้ไปที่จมูกของมัน นึกย้อนไปถึงตอนที่นางวานให้มันออกไปตามหาเบาะแสของท่านแม่ แต่กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ก็พลันมองค้อนใส่ไปทีหนึ่ง
“จิ๊ด จิ๊ด”
จี้จี้ยกอุ้งเท้าหน้าน้อยๆ ของมันขึ้นชูให้เซียถง หลังจากที่พยายามสื่อสารกันอยู่เป็นเวลาสักพักใหญ่ นางก็ได้ความว่า หลังจากที่มันออกเดินทางเพื่อสืบหาเบาะแสของฮูหยินหลี่ ระหว่างทางก็ดันไปพบเพื่อนสายพันธุ์เดียวกัน จึงชวนออกไปวิ่งเล่นเตลิดไปทั่ว แต่เมื่อกลับมา ก็ไม่พบนางอยู่ในเมืองเฟิงหลี่เสียแล้ว จึงดมกลิ่นคลำทางมาเรื่อยๆ จนมาถึงดินแดนอี้เฉิงแห่งนี้
ช่างเป็นสัตว์อสูรที่น่าเหลือเชื่อโดยแท้! คลำทางจากกลิ่นจนมาถึงที่นี่ได้!
เซียถงถอดถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยัดมันเก็บกลับเข้าแขนเสื้อและกล่าวว่า
“เจ้ามาก็ดี ออกวังไปพร้อมกับข้านี่แหละ”
แต่ก่อนหน้านั้น เซียถงเดินย้อนกลับมายังตำหนักสุริยันจรัส ซึ่งเป็นตำหนักเรือนหอที่นางอยู่ก่อนหน้านั่นเอง และทันทีที่มาถึง ก็สั่งให้สาวรับใช้เข้าไปรื้อหาชุดสำหรับฤดูหนาวที่เรียบง่ายมาสักชุดพร้อมเปลี่ยนใส่ ถอดทั้งปิ่นเงินเจ็ดมณีสมบัติและสิ่งประดับทุกอย่างทิ้งให้หมด จากนั้นก็วิ่งฝ่าบรรดาสาวรับใช้ที่กรีดขวางเส้นทาง พยายามห้ามมิให้นางหนีออกจากวังไป
หลังจากออกมา เซียถงก็เดินทางตรงไปที่ร้านขายสมุนไพร จับจ่ายส่วนประกอบสำคัญสำหรับหลอมกลั่นโอสถที่จำเป็นมาทั้งหมด และจุดหมายต่อไปที่นางวางแผนจะไปก็คือ หุบเขาเหมันต์ที่ชันสูงที่สุดหลังดินแดนอี้เฉิง บนนั้นควรจะมีสัตว์อสูรธาตุน้ำแข็งอยู่มากมายหลายหลาก นางในตอนนี้ต้องการจะใช้โลหิตของสัตว์อสูรธาตุน้ำแข็งเป็นอย่างมาก ฟังว่า หากใช้มันในการหลอมกลั่นโอสถ ประสิทธิภาพของโอสถที่ได้จะเพิ่มทวีหลายเท่าตัว
เซียถงซื้อม้าอาชาตนหนึ่งและควบทะยานขึ้นบนหุบเขาเหมันต์ ประมาณสามชั่วยามต่อมา จึงค่อยมาถึงที่แห่งนี้
หลังจากเข้าสู่อาณาเขตบนหุบเขาเหมันต์ลูกนี้แล้ว ถนนหลายเส้นสายล้วนถูกแช่แข็งกลายมาเป็นแผ่นหิมะคับแคบ หากยังอาศัยม้าอาชาในการเดินทางเกรงว่าเชื่องช้าเกินไป เซียถงจึงตัดสินใจผูกมันติดไว้บริเวณแถวนั้น และเดินหน้าตรงเข้าสำรวจตามลำพัง เคยได้ยินคำบอกเล่าจากหยุนซีมาก่อนว่า หนึ่งในส่วนประกอบสำคัญของโอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้า ก็คือโลหิตของสัตว์อสูรธาตุน้ำแข็งเช่นกัน แต่ก็หาใช่ว่าจะสามารถหยิบใช้โลหิตของพวกมันได้ทุกตัว
มันจะต้องเป็นสัตว์อสูรธาตุน้ำแข็งที่มีนิสัยอ่อนโยน และอาศัยอยู่ในพื้นที่หนาวจัดเท่านั้น ซึ่งเงื่อนไขเพียงเท่านี้ก็นับได้ว่าหายากยิ่งแล้ว และที่สำคัญ พวกมันจะต้องกินบัวหิมะที่เจริญเติบโตตามหุบเขาสูงกินเป็นอาหารอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เพราะเงื่อนไขที่สุดแสนจะหาได้ยากยิ่งนี่เอง จึงทำให้ขนและโลหิตของพวกมันมีค่ามหาศาลยิ่งยวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโลหิตของพวกมัน ฟังว่ามีสรรพคุณสูงส่ง จึงนิยมนำมาหลอมกลั่นเป็นโอสถแขนงรักษาอยู่หลายชนิด
เดินทางตัวคนเดียวบนหุบเขาเหมันต์ได้สักพักใหญ่ เซียถงชักรู้สึกเปลี่ยวเหงาขึ้นทันควัน จึงเรียกหลิวซู จิตวิญญาณกระบี่ทัณฑ์ฟ้าออกมา
“เจ้ามันเสียสติไปแล้ว! เดินขึ้นหุบเขาเหมันต์ที่หนาวเหน็บปานนี้มาเพียงลำพัง โดยที่มิได้เตรียมแผนใดๆ มาเลย? รู้หรือไม่ว่ามันอันตรายขนาดไหน?!”
หลิวซูปรากฏกายขึ้นมา สิ่งแรกที่พานพบมีแต่หิมะและน้ำแข็งสีขาวโพลนรอบสารทิศ เห็นดังนั้นมันจึงเอ่ยปากบ่นขึ้นทันที
ในฐานะจิตวิญญาณแห่งกระบี่ทัณฑ์ฟ้า มิว่าสภาพอากาศใดมันย่อมไม่สะทกสะท้าน ต่อให้เป็นสภาพอากาศหนาวเหน็บที่แสนเลวร้ายในอี้เฉิงก็ตามที
“ช่วยข้าเสาะหาสัตว์อสูรธาตุน้ำแข็งที ข้าต้องการโลหิตไปหลอมกลั่นโอสถ”
เซียถงกล่าวขึ้นคำหนึ่ง คล้ายใกล้จะหมดความอดทนเป็นที
“อารมณ์ไม่ดีอยู่รึไง? เกิดอะไรขึ้นรึ?”
หลิวซูจับสังเกตถึงความผิดปกติของเซียถงได้ ยืดเหยียดมือทั้งสองขึ้นผสานกันบนท้ายทอย พลางเอ่ยถามขึ้นคำหนึ่งอย่างสบายๆ
ได้ยินแบบนั้น เซียถงพลันนึกถึงปฏิกิริยาของไป๋หลี่หานที่มีต่อนางในเหตุการณ์ก่อนหน้าได้ สิ่งนี้ยิ่งทำให้นางอารมณ์เสียขึ้นไปใหญ่ นางเร่งฝีเท้าก้าวฉับออกไปโดยไม่สนใจหลิวซูอีกเลย
หลิวซูยกนิ้วขึ้นถูไถจมูกไปมา แล้วเดินติดตามนางไปโดยไม่ถามไถ่ใดๆ อีก แต่หลังจากเดินสำรวจกันสักครู่ใหญ่ มันก็เริ่มเบื่อกับหุบเขาเหมันต์แห่งนี้เต็มที เพียงดีดนิ้วเสียงดังเป๊าะทีหนึ่ง ร่างของมันสลายหายไป และหวนกลับเข้าสู่ห้วงความคิดของเซียถงอีกครั้ง
“เจ้ามาขอให้จิตวิญญาณยุทธ์ภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ช่วยเสาะหาสัตว์อสูรนี่นะ? ทั้งที่เจ้าตัวน้อยในแขนเสื้อเจ้ามีจมูกที่ดียิ่งกว่าอะไร ไฉนถึงไม่ขอให้มันช่วยแทนล่ะ?”
หลิวซูกล่าวทักท่วงขึ้นประโยคหนึ่งภายในห้วงความคิดของนาง
เซียถงเพิ่งตระหนักได้ทันควัน คว้าเจ้าจี้จี้ที่นอนดอยู่ในแขนเสื้อขึ้นมา แล้วกล่าวกับมันว่า
“จี้จี้ เจ้าทราบใช่ไหมว่าสัตว์อสูรธาตุน้ำแข็งอยู่แห่งหนใด? ช่วยข้านำทางไปหน่อย”
จี้จี้กางมือทั้งสองข้างชูชัน และเริ่มก้มตัวขดเป็นลูกหนังกลมดิ๊กขนาดจิ๋ว และเริ่มกลิ้งหลุนหลุนออกจากบนฝ่ามือของนาง มุ่งหน้าออกไปยังเส้นทางบนหุบเขาเหมันต์เบื้องหน้าไปไกล เซียถงเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งตามไปทันที
ทว่าผ่านไปสักครู่ใหญ่ เซียถงกวาดสายตามองทั้งซ้ายและขวา ทอดมองออกไปไกลโพ้น แต่ไหนล่ะ…สัตว์อสูรธาตุน้ำแข็งที่นางตามหา?
หุบเขาแห่งนี้มิได้มีขนาดใหญ่เกินไป แต่ค่อนข้างสูงชันมาก เซียถงเดินขึ้นเขาต่อเนื่องเป็นเวลาอีกชั่วยามกว่า
แหงนศีรษะเงยขึ้นมองสุดเส้นสายตาไปที่ยอดเขาเหมันต์สูงชันประดุจคมดาบลูกนี้ ในระยะวิสัยทัศน์ที่นางเห็น มันไม่มีอะไรเลยนอกจากหิมะสีขาวโพลน เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ระยะหนึ่ง ในที่สุดนางก็เหลือบไปเห็น เงาร่างลึกลับสีขาวนวล คล้ายกับว่ามันกำลังหลับใหลอยู่บนยอดเขาสูงชัน นอนขดตัวอย่างเงียบสงัด
เซียถงจิกริมฝีปากงัดแรงฮึดสู้ออกมา ถกแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้นสูง และเอื้อมมือไปปีนเกี่ยวบนภูเขาหิมะที่สูงชัน เนื่องจากเส้นทางต่อจากตรงนี้ไป มันชันเกินกว่าจะเดินขึ้นไปได้ จำเป็นจะต้องหยิบใช้สองมือปีนป่ายขึ้นไปเท่านั้น และทันทีที่ปลายนิ้วแตะสัมผัสหิมะสีขาว นางถึงกับสั่นสะท้านไปทั่วร่าง กระแสความเจ็บปวดที่ทิ่มแทงเข้ามาดุจดั่งคมเข็ม อย่างไร เมื่อผ่านไปสักครู่ต่อมา มือไม้ของนางก็เริ่มชินกับอุณหภูมิที่เย็นสุดขั้วของบรรดาหิมะไปแล้ว และเริ่มใช้สองมือสองเท้าปีนขึ้นสู่ยอดหุบเขาเหมันต์ลูกนี้ทันที
ระหว่างทาง หิมะที่ใช้เป็นฐานยืดหยัดเท้าข้างหนึ่งดันแตกเป็นเสี่ยง ส่งผลให้ร่างของนางเสียศูนย์ลื่นไถลตกไปที่ตีนหุบเขาโดยตรง
ทว่านางก็ยังไม่ยอมแพ้ กัดฟันสู้และปีนขึ้นไปใหม่อีกครั้งหนึ่ง และเมื่อใกล้ถึงบริเวณยอดเขา ทันใดนั้นก็เผลอไปคว้าโดนหนามแหลมคมตำเข้าให้ ฝ่ามือทั้งสองข้างของนางเต็มไปด้วยแผลบาดลึก เลือดสดที่รินไหลออกมาถูกแช่กลายเป็นน้ำแข็งทันใด
แต่เซียถงมองข้ามมิได้สนใจอาการเจ็บป่วยเหล่านั้น นางยังคงปีนป่ายขึ้นไปบนยอดหุบเขาต่อไปในหนึ่งอึดใจเดียว
บนยอดเขาเหมันต์ลูกนี้ แลเห็นกวางเหมยฮวาอยู่ตนหนึ่ง ทั่วทั้งร่างของมันไม่มีชั้นขนปกคลุม ซึ่งผิวหนังของมันทั้งหนาและขาวบริสุทธิ์เสียยิ่งกว่าหิมะโดยรอบ