ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 424 ปลูกรัก ณ แดนหิมะ (2)
ตอนที่424 ปลูกรัก ณ แดนหิมะ (2)
ตอนที่424 ปลูกรัก ณ แดนหิมะ (2)
ฟังยังไงก็ชัดแจ้ง นี่คือการตำหนิติเตียน แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถบอกได้จากน้ำเสียงของไป๋หลี่หานได้ก็คือ ความเป็นห่วงและอ่อนโยนของเขาที่ส่งผ่านออกมา สิ่งนี้ทำให้ความโกรธเกรี้ยวภายในใจเซียถงมลายหายจากหัวใจไปโดยไม่รู้ตัว
“แล้วแผลที่โดนลวกตอนเช้าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
นิ้วเรียวสวยของบุรุษหนุ่มหล่อขึ้นปีนป่ายลูบไล้บนผิวแก้มของนางอย่างแผ่วเบา
หลังจากที่ออกเดินทางขึ้นหุบเขาเหมันต์ เซียถงก็ได้หยิบใช้ผงโอสถวิเศษของตนเองทาทับแผลพุพองที่โดนลวกอีกรอบ และด้วยฤทธิ์โอสถที่แสนมหัศจรรย์นี้เอง จึงทำให้แผลเหล่านั้นบนใบหน้าของนางหายดีเป็นปลิดทิ้งนานแล้ว ชำเลืองมองอีกฝ่ายที่ปั้นหน้าเป็นห่วงเป็นใย นางยิ้มตอบไปว่า
“หายนานแล้ว”
สี่ตาสองคู่สบปะทะเข้าหากันและกัน ทันทีทันใด ดวงตาของทั้งคู่ก็ทอแสงเป็นประกายสว่างไสว บังเกิดเป็นคลื่นอารมณ์ความรู้สึกชนิดหนึ่งที่ยากจะพรรณนาได้ นัยน์ตาเราสองสั่นไสวระยิบระยับดุจดั่งดาราจรัสฟากฟ้านับไม่ถ้วน และทั้งหมดล้วนถูกรวมเก็บไว้ในดวงตาของเซียถงและไป๋หลี่หาน ระหว่างที่จ้องหน้ากันอยู่นั้นเอง เสมือนกับว่าพวกเขาเสียสตินึกคิดไปชั่วครู่หนึ่ง
ริมฝีปากตรงหน้าช่างอวบอิ่มดูหวานฉ่ำและอบอุ่นเหลือเกิน… และเป็นไป๋หลี่หานที่เริ่มทนไม่ไหว เริ่มก้มศีรษะลงพร้อมประกบจูบริมฝีปากของหญิงสาวตรงหน้าโดยตรง
เซียถงเบิกตาโตแข็งค้างด้วยความตกตะลึง ชั่วขณะต่อมาพึงได้สติ รีบยกมือขึ้นผลักไสร่างอีกฝ่ายออกไปในทันใด แต่ทว่ายิ่งออกแรงผลักมากเท่าไหร่ ไป๋หลี่หารก็ยิ่งกอดรัดเอวของนางเอาไว้แน่นหนาดั่งเถาวัลย์พันธนาการ กดจูบหญิงสาวตรงหน้าด้วยความเร่าร้อนและล้ำลึกยิ่งขึ้นไปใหญ่
ริมฝีปากประกบติดบี้ชิดจนซี่ฟันของทั้งคู่ชนกัน ความหวานฉ่ำจากลิ้นที่แสนซุกซนของไป๋หลี่หาน พยายามสอดแทรกเข้าไปในปากเซียถง ทว่านางกลับไม่ยอมกัดฟันชิดแน่นไม่ยอมเปิดเข้าไปโดยง่าย ดั่งตกอยู่ในภวังค์ความรุ่มหลงทั้งเป็น พันหลากคลื่นอารมณ์ถาโถมกระหน่ำเข้าสู่จิตใจของนางไม่มีหยุดหย่อน ชั่วพริบตาขณะราวกับกินเวลานานนับพันปี ร่างกายและจิตวิญญาณของนางล่องลอยผ่านกาลเวลาและห้วงมิติเป็นอนันต์ กระทั่งความเป็นความตายก็ตามที ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับมาสู่ห้วงทะเลสาบอันเงียบสงัด นั่งอยู่กับตัวเองเพียงลำพัง ถามความรู้สึกที่แท้จริงของตนว่าต้องการสิ่งใด?
จนในท้ายที่สุด เซียถงก็หยุดผลักไสร่างอีกฝ่าย กลายเป็นกอดตอบรับอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา ไป๋หลี่หานสัมผัสได้ถึงความแปรเปลี่ยนอะไรบางอย่างได้ เสมือนภายในใจเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น จึงเริ่มรุกหนัก สวมกอดนางกระชับแน่นยิ่งขึ้น และเริ่มบรรจงจูบอย่างดูดดื่ม
คล้อยหลังผ่านไปสักครู่ใหญ่ ไป๋หลี่หานก็ถอดใบหน้าออกมา สายตาคู่อ่อนโยนของเขาสบมองไปที่เซียถงราวกับสายพิรุณยามเย็น เอ่ยขึ้นว่า
“สัญญากับข้าได้หรือ อย่าทิ้งข้าจากไปไหน เจ้าไม่รู้หรอกว่า วันนี้ข้าตื่นกลัวปานใด กลัวว่าเจ้าจะทิ้งข้าและหนีหายไปสุดขอบพิภพ กลัวว่าจะไม่ได้เจอเจ้าอีกแล้วไปชั่วชีวิต”
หัวใจดวงนี้ที่เย็นชาสุดแสนของเซียถงเสมือนถูกหลอมละลาย เซียถงใจอ่อนลงในทันใด พยักหน้าตอบไปทีหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
ชายผู้นีคอยให้ความช่วยเหลือนางซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้เท่าไหร่ ตั้งแต่วันแรกที่ได้พานพบกระทั่งตอนนี้ แม้แต่เหตุการณ์คาบเกี่ยวระหว่างเป็นตาย ก็เคยฝ่าฟันมาด้วยกันตั้งหลายครั้งคราว แล้วเหตุใดกัน…เหตุใดนางถึงยังไม่เชื่อใจเขาอีก?
ในทีแรกไป๋หลี่หานไม่เคยมีความคิดเลยว่า เซียถงจะยอมพยักหน้าสัญญากับเขาแต่โดยดี แต่เมื่อแลเห็นเป็นเช่นนั้น ก็ทำเอา ตัวเขาตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง ต่อมารอยยิ้มแสนปีติยินดีพลันผลิกว้างออกมาอย่างเกินจะหักห้าม จับจ้องไปที่หญิงสาวตรงหน้าด้วยความเหลือเชื่อสุดแสน เขาเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า
“เจ้า…เจ้ายอมสัญญากับข้า?”
เพราะเขาเคยถูกเซียถงปฏิเสธมาโดยตลอด และคิดกับตนเองเสมอว่า การจะพิชิตใจนางจำเป็นต้องใช้เวลาอีกสักพักเพื่อพิสูจน์
แต่โดยไม่คิดไม่ฝัน นางในเวลานี้ยอมตกลงแล้ว
“ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าจะเชื่อมั่นในตัวท่านอย่างสุดหัวใจ ตราบเท่าที่ท่านยังไม่หมดใจ ข้าเองก็จะไม่ยอมแพ้ต่อศรัทธาที่มีแก่ท่านเช่นกัน”
ประหนึ่งหยดวารีทิพย์ที่ใสสะอาด ประกายตาของเซียถงในเวลานี้เองก็เป็นเฉกเช่นนั้น
ดวงตาไป๋หลี่หานเปล่งประกายสว่างไสวขึ้น รอยยิ้มที่แสนสดใสของเขาเปรียบเสมือนดวงตะวันยามรุ่งอรุณ มันเปี่ยมไปด้วยความหวังที่งดงามและความอบอุ่นที่ส่งตรงถึงหัวใจ
“ขอเพียงท่านไม่หมดใจต่อกัน ข้าก็ไม่มีทางทิ้งท่านไปไหน”
วาจาอ่อนโยนดังก้องผ่านหูไป๋หลี่หานขึ้นอีกประโยค เซียถงกล่าวย้ำคำสัตย์สัญญาแก่ตัวเขา
“เซียถง คนเดียวในชีวิตที่ข้าผู้นี้ยอมตามใจให้ทุกอย่างก็มีแต่เจ้า ต่อให้ผ่านไปอีกกี่สิบปี แม้รูปโฉมของเจ้าจะแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลานานแค่ไหน ตัวข้าก็หาได้พินิจใส่ใจไม่เลย”
ได้ฟังเสียงอ่อนนุ่มของเซียถงกล่าวย้ำสัญญา ยิ่งทำให้เขามีความมั่นคงและสบายใจขึ้นมาก ซึ่งไป๋หลี่หานเองก็ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเช่นกันว่า นางจะเอ่ยกล่าวอะไรเช่นนี้ออกมา แต่อย่างไร ความสุขอันไร้ขอบเขตได้บังเกิดขึ้นในหัวใจที่พองโตดวงนี้แล้ว เงยหน้ามุ่งสายตามองเส้นทางเบื้องหน้า จากนั้นก็เริ่มควบอาชาออกเดินทางข้ามฝ่าดงหิมะแสนหนาวเหน็บออกไปอย่างมีความสุข
“ก็ดี อย่าลืมที่พูดเสียแล้วกัน ท่านพี่”
เซียถงโน้มตัวเข้าซบหน้าอกของไป๋หลี่หานทื่คุมอาชาอยู่ด้านหลัง ภายในใจของนางรู้สึกเบาหวิวอย่างบอกไม่ถูก มันคือความสุขที่นางมิเคยได้สัมผัสมาเสียนานนับ
“เจ้าเองก็ต้องจดจำในสิ่งที่พูดวันนี้ด้วย ข้าไม่มีวันหมดใจ ส่วนเจ้าก็ห้ามทิ้งกันไปไหน”
รอยยิ้มปริ่มใจประดับประดาอยู่ทั่วใบหน้าของไป๋หลี่หาน ภายใต้กระแสลมหวนที่ก่อเกิดเป็นพายุหิมะโหมกระหน่ำรุนแรง อาชาแกร่งออกวิ่งไปกว่าสองชั่วยาม ชักเห็นว่าสภาพอากาศเพิ่มทวีความโหดร้ายเป็นเท่าตัว เขารีบแตะท้องอาชาเร่งความเร็วจนขีดสุด เพื่อกลับเข้าเมืองอี้เฉิงโดยไว
ชายที่อยู่ด้านหลังของนางช่างอบอุ่นราวกับดวงตะวัน ถึงจะเป็นสายลมกระโชกหรือพายุหิมะที่โหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งในเวลานี้ นางกลับไม่รู้สึกกลัวเกรงใดๆ มีไป๋หลี่หานอยู่ทั้งคน ต่อให้เบื้องหน้าจะเป็นหุบเขาคมกระบี่ นางก็สามารถหลับตาทั้งสองข้างลงได้อย่างหมดห่วง
กว่าจะกลับมาถึงพระราชวังก็พลบค่ำ แรกราตรีมาเยี่ยมเยือนแล้ว
ภายในตัวพระราชวังทั้งหมดตอนนี้ช่างสว่างไสวราวกับกลางวัน ทุกคนต่างกินไม่ได้นอนไม่หลับ เหตุเป็นเพราะการหายตัวไปอย่างกะทันหันของราชินี
ไป๋หลี่หานควบอาชาทะยานตรงเข้าสู่ตำหนักสุริยันจรัส เมื่อมาถึงก็รีบอุ้มเซียถงลงจากหลังอาชา พาเข้านำพักภายในตำหนักด้านในโดยไว ทางด้านบรรดาสาวรับใช้ในวังต่างวิ่งวุ่น ไปนำตลับยามาช่วยทาแผลบนฝ่ามือของนาง แต่ไป๋หลี่หานห้ามมิให้เข้าใกล้ และนำตลับยาดังกล่าวมาทาให้เองเป็นการส่วนตัว
เมื่อได้เห็นแผลฉกรรจ์บนฝ่ามือของเซียถงที่เวลานี้บวมแดงอย่างหนักเนื่องจากโดยหิมะกัด ไป๋หลี่หานรู้สึกปวดร้าวยิ่งนัก เสมือนมีคมเข็มนับพันหมื่นทิ่มแทงจิตใจ
ประมาณยามหนึ่งเห็นจะได้ จู่ๆ เซียถงก็รู้สึกดั่งว่า เรือนร่างของตนเองถูกทะเลเพลิงแผดเผาจนรุ่มร้อน สักครู่เริ่มเกิดอาการระสับระส่ายและวิงเวียนศีรษะตามลำดับ ทำให้นางรู้สึกอึดอัดไม่สบายตัวอย่างมาก
สักครู่หนึ่ง ก็มีใครบางคนมาคว้าจับข้อมือของนางเอาไว้ ได้ยินเพียงสุ้มเสียงดังคลุมเครือเอ่ยขึ้นว่า
“องค์ราชินีกำลังป่วยเป็นไข้หวัด เช่นนั้นแล้ว ระยะนี้จำเป็นต้องเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด มิฉะนั้นชีวิตเป็นตายหลังจากนี้กลับยากจะคาดเดา”
ต่อมา ร่างกายของนางพลันเย็นลงฉับพลัน หนาวเหน็บชนิดที่ว่าราวกับถูกฝังอยู่ในคุกน้ำแข็งใต้ดิน ความทรมานจากอาการหนาวเหน็บเหล่านี้มันรุนแรงเสียยิ่งกว่าตอนที่ฝ่าดงหิมะขึ้นไปบนหุบเขาเหมันต์ก่อนหน้า นางตัวสั่นสะท้านรุนแรง ฟันกรามขบกะเทาะลั่นดังตลอดเวลา แต่เมื่อนางพลิกตัวเปลี่ยนด้านนอนตะแขงก็เผชิญพบเข้ากับไออุ่นโดยพลัน ประหนึ่งตอนนี้มีเตาพิงอยู่ติดแนบอยู่เคียงข้างร่างกายอันเย็นยะเยือกของนาง ทำให้หลับสบายมากขึ้นโข
ความเย็นยะเยือกจับไข้ในร่างกายค่อยๆ สลายหายไป ตามสัญชาตญาณ เซียถงพยายามซุกไซ้ศีรษะเข้าไปหาไออุ่นตรงหน้า และผล็อยสู่ภวังค์นิทราหลับลึกไป
นอนหลับครั้งนี้ดั่งว่ายาวนานนับหลายปี และเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครา ก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างกายาเสมือนเจาะลึกไปถึงขั้วกระดูกชั้นใน
เซียถงส่ายศีรษะเล็กน้อยและพยายามลืมตาปรับวิสัยทัศน์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบ สายตาคู่หล่อเหลากำลังนอนหลับตาอยู่ต่อหน้าชนิดเผาขน นางสะดุ้งเฮือกตัวกระตุกฉับพลันด้วยความตกใจ ยืดตัวขึ้นตั้งตรงโดยมองข้ามความเจ็บปวดไปชั่วขณะ ปรากฏว่า ไป๋หลี่หานกำลังนอนเฝ้าอาการอยู่ข้างกายไม่ห่างตัว
แต่ที่ผิดสังเกตก็คือ ไป๋หลี่หานในเวลานี้…อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า แลเห็นเรือนร่างขอบบุรุษชายที่ล่ำกำยำสีขาวโดยมีผ้าห่มปิดคลุมส่วนล่างเอาไว้อยู่ เซียถงตระหนักได้ทันใด ที่ผ่านมาตลอดทั้งคืน อีกฝ่ายนอนตัวเปล่าเช่นนี้อยู่ตลอด! แล้ว…อย่าบอกนะว่า… เมื่อนางกดสายตาก้มมองตัวเอง ก็เป็นดั่งที่คาดไว้ เรือนร่างของนางในยามนี้เองก็เปลือยเปล่าอยู่เช่นกัน! ใบหน้าของนางกลายเป็นสีแดงก่ำในพริบตา
ชำเลืองศีรษะมองไปที่พื้นข้างเตียง นางรีบเอื้อมมือไปคว้ากองเสื้อผ้าขึ้นมาอย่างฉับไว
“ตื่นแล้วรึ?”
ไป๋หลี่หานลืมตาตื่นขึ้นในทันใด โดยมิได้ทันเตรียมใจใดๆ เอาไว้ เซียถงที่เห็นอีกฝ่ายกำลังมองมาก็ถึงกับตะลึงงันไปชั่วขณะ กองเสื้อผ้าในมือร่วงกราวตกพื้น