ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 425 จับองค์ราชินีเข้าตำหนักเย็น (1)
ตอนที่425 จับองค์ราชินีเข้าตำหนักเย็น (1)
ตอนที่425 จับองค์ราชินีเข้าตำหนักเย็น (1)
“เจ้าเป็นไข้หวัดรุนแรง อุณหภูมิลดต่ำลงอย่างเฉียบพลัน ไม่สามารถคงระดับให้เสถียรได้ ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกเสียจากใช้วิธีเฉกเช่นนี้เพื่อทำให้ร่างกายของเจ้าอบอุ่น”
ไป๋หลี่หานลุกขึ้นยืนกราน เฝ้ามองหญิงสาวตรงหน้าที่ตื่นตระหนกเจือแววขำขัน และขณะยืดเหยียดร่างให้ตรง ผ้าห่มสีแดงก็ลื่นหลุดโรยลงมา แต่โชคยังดีที่เจ้าตัวจับประคองไว้ได้ทัน จึงเห็นเพียงแค่ท่อนบนที่เปลือยเปล่า และสิ่งที่สะดุดตาที่สุดคงหนีไม่พ้น แผ่นอกกำยำหนาสีขาวแสดงถึงความแข็งแกร่ง
ได้เห็นแผ่นอกสีขาวที่เปลือยเปล่าของอีกฝ่าย เซียถงถึงกับใจสั่นระรัว รีบคว้าผ้าห่มที่ปิดคลุมเรือนร่างตนเองขึ้นปิดตาโดยไว
“เจ้าเขินเป็นด้วย? เช่นนี้เป็นเยี่ยงไร เรื่องที่มิได้กระทำในคืนเข้าเรือนหอ ไยถึงไม่ทำมันตอนนี้เสียเลยล่ะ?”
ไป๋หลี่หานเอื้อมมือขึ้นเชยคางอีกฝ่าย ทีท่าหยอกล้อแกล้งเล่น
“ไม่!”
เซียถงพยายามข่มอารมณ์ระงับความใจสั่นระรัวลงอย่างลับๆ บังคับดวงตาของตนเองเงยขึ้นสบมองอีกฝ่าย ทั้งยังปั้นหน้าไม่พอใจใส่ยกใหญ่
“เช่นนั้นรึ เช่นนั้นรึ งั้นขอข้าดูหน่อยว่าไข้ลดบ้างแล้วรึยัง”
ไป๋หลี่หานเอนหน้าผากเข้าติดชนกับของอีกฝ่ายทันที ปลายจมูกของทั้งคู่ชิดแนบกัน และเป็นฝ่ายเซียถงที่พยายามจะขัดขืนถอนศีรษะยกออกห่าง แต่ต้องสะดุดเข้ากับสายตาอีกฝ่ายที่จับจ้องใกล้ชิดสนิทเต็มหน้า นางตกใจสะดุ้งโหยง ร้องสวนกลับไปทันทีว่า
“ท่านตัวร้อนกว่าข้าอีก! หรือเป็นเพราะเขินอายที่ต้องเปลือยต่อหน้าข้า?”
“หุหุ เจ้านอนโทรมเช่นนี้เป็นเวลาสามวันสามตื่นเต็มแล้ว และตลอดที่ผ่านมา ข้าเองก็อยู่เฝ้าไข้ นอนกอดเจ้าไม่มีห่างอยู่เช่นนี้แทบตลอด มีหรือที่ข้ายังจะรู้สึกเขินอาย?”
ไป๋หลี่หานเชยคางเซียถงเชิดขึ้นสูง เรียวนิ้วยาวแสนนิ่มนวลของอีกฝ่ายทำให้ใจนางแทบละอายทุกครั้งที่แตะสัมผัส ดวงตาเฉียวคมดุจอินทรีของเขาจรัสแสงแวววับ เปี่ยมล้นไปด้วยไฟแห่งความปรารถนา
เรือนร่างที่เปลือยเปล่าของเซียถงเสียวสะท้านสั่นวาบ ไป๋หลี่หานสังเกตเห็นดังนั้นก็ระบายยิ้มกรุ้มกริ่ม เลื่อนเรียวนิ้วยาวลงต่ำลูบไล้บริเวณขาอ่อนสีขาวผ่องของนาง ตัดกับผ้าห่มสีแดงเพลิง ยิ่งเสริมเสน่ห์เย้ายวน สร้างความเผ็ดร้อนให้แก่นางเป็นทวีเท่า
มองดูรอยยิ้มกรุ้มกริ่มบนใบหน้าของไป๋หลี่หานอยู่สักครู่ เซียถงชักจะหม่ำไส้เล็กน้อย ทันใดนั้นเอง นางก็ยืดเหยียดเรียวแขนยาวสีขาวขึ้นคล้องเกี่ยวคอของอีกฝ่ายทันที พร้อมกระชากศีรษะเข้าแนบติดเนินอกทรงโตของนาง เอ่ยเสียงกระซิบปนครางเบาๆ ขึ้นว่า
“ท่านพี่ พอดีข้า…เป็นผู้หญิงชอบรุก!”
สิ้นเสียงกล่าวจบเพียงเท่านั้น เซียถงบิดเกลียวพลิกตัวฉับพลัน ผลักร่างของไป๋หลี่หานล้มลงกับเตียงอย่างแรง พร้อมกระโดดขึ้นคร่อมจับกดร่างอีกฝ่ายให้อยู่ใต้ล่าง มิให้ดิ้นหนีไปไหน
สถานการณ์พลิกผันในชั่วพริบตา กลับกลายเป็นพญาเสือที่ถูกกวางน้อยล่าเสียเอง…
“เดี๋ยว…”
ไป๋หลี่หานต้องการจะปริปากพูดอะไรสักอย่าง ทว่ากลับถูกเซียถงเปิดฉายรุกโจมตี ก้มศีรษะเข้าประกบจูบอย่างดื่มด่ำ ปิดกั้นคำพูดหลังจากนั้นที่กำลังออกจากปากของเขาไปจนหมดเกลี้ยง
ในเมื่อตอนนี้ นางตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วว่าจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับเขา เพียงใจที่มอบให้ย่อมไม่พอ ร่างกายระหว่างทั้งสองย่อมต้องเชื่อมผสานเป็นหนึ่งเดียว…
ประมาณสามวันต่อมา เซียถงหายดีจากอากาศไข้หิมะ และนำโลหิตของสัตว์อสูรธาตุน้ำแข็งที่ได้นำมาเพื่อหลอมกลั่นโอสถจำนวนหนึ่งให้แก่องค์จักรพรรดินีเหลิ่ง และวานให้สาวรับใช้ในวังนำไปส่งมอบ หากกล่าวกันตามจริง สภาพร่างกายภายในขององค์จักรพรรดินีเหลิ่งค่อนข้างอ่อนแอมาก ขั้นตอนการรักษาเริ่มแรกสุดที่ต้องทำเลยก็คือ การขับกระแสพลังงานความเย็นออกจากร่างกายของนางก่อน
ในวันนี้ ท้องฟ้าแจ่มใส อากาศหนาวเย็นกำลังดี เซียถงยืนเชยชมทัศนีย์ภาพของทุ่งหิมะอยู่หน้าพระราชวังอย่างสบายอารมณ์
“เซียถง นี่เจ้ายังจะมาอารมณ์ยิ้มร่าอยู่ตรงนี้อีกรึ? ญาติผู้พี่ข้ากำลังโดนกล่าวโทษร้ายแรง ในข้อหาละเลยหน้าที่การปกครองอยู่! ซึ่งต้นเหตุทั้งหมดก็เป็นเพราะเจ้า!”
มีเสียงตะโกนลั่นด้วยความโกรธจัดแผดดังขึ้นจากด้านหลัง เมื่อเซียถงเหลียวหลังกลับไปมอง ก็พบว่าเป็นเหลิ่งหยานหรันที่กำลังตรงเข้ามาหาเรื่อง สีหน้าดูเดือดดาลมิใช่น้อย
“เกิดอะไรขึ้น?”
พึงทราบ เหลิ่งหยานหรันเป็นญาติพี่น้องคนสนิทของไป๋หลี่หาน และเนื่องด้วยไป๋หลี่หานค่อนข้างรักนางมาก เช่นนั้น เซียถงเองย่อมเอ็นดูนางเป็นพิเศษเช่นกัน และนางก็ไม่เคยทำตัวเย็นชาใส่สาวน้อยคนนี้อีกเลย
“หึ! เจ้าคงไม่ทราบกระมัง ในช่วงสามวันที่เจ้าเป็นไข้หิมะนอนโทรมติดเตียง ญาติผู้พี่ข้ามัวแต่อยู่เฝ้าไข้ดูแลเจ้า โดยลืมหน้าที่การงานไปเสียหมด จึงมิได้เข้าว่าราชการในท้องพระโรงเลยเป็นเวลาสามวันติดกัน! ระหว่างนั้น ทางเหนือของอี้เฉิงดันเกิดหิมะถล่มเข้าใส่หมู่บ้านชนพื้นเมืองแถวนั้น วันแรกยังพอทำเนา ทว่าเนื่องด้วยเรื่องนี้ถูกปล่อยปละไม่ได้รับการแก้ไข จึงส่งผลให้ วันที่สามมีคนจมกองหิมะถล่มตายกันเป็นจำนวนกว่าหลายพันชีวิต! ตอนนี้ใครๆ ต่างก็บอกว่า ญาติผู้พี่ข้าถูกเสน่ห์เจ้าจนโงหัวไม่ขึ้น จึงลืมหน้าที่การงานไปเสียหมดสิ้น! แล้วการที่เจ้ายังจะมาเดินลอยหน้าลอยตาอยู่แบบนี้ ใครเห็นก็ไม่ต้องเป็นขี้ปากเขาหมดเลยรึ?”
ระยะสามวันที่ข้าป่วย มันเกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นปานนี้เชียว?
“แล้วท่านพี่ล่ะ?”
เซียถงขมวดคิ้วแน่นเอ่ยถามขึ้นด้วยความกังวล
“ตอนนี้กำลังว่าราชการอยู่ในท้องพระโรง พวกคณะขุนนางอี้เฉิงกำลังหยิบใช้เรื่องนี้มาโจมตีญาติผู้พี่ข้าไม่มีเว้นช่อง หวังจะฉวยโอกาสนี้คาดโทษ และจับเจ้าเข้าคุมประพฤติในตำหนักเย็นมิให้เห็นแสงเดือนแสงตะวันอีก!”
เหลิ่งหยานหรันบ่นไม่หยุด
เซียถงยิ่งขมวดคิ้วแน่นเป็นปม และกล่าวขึ้นว่า
“แล้วท่านพี่จะส่งข้าเข้าวังเย็นตามที่คณะขุนนางบอกหรือไม่?”
เรื่องการเมืองถือเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนมาก แตกต่างจากเรื่องคุณแค้นในยุทธจักรที่สามารถหยิบใช้พลังความแข็งแกร่งเข้าปราบปราม จะอย่างไร นางจำเป็นต้องดูท่าทีของแต่ละฝ่ายก่อนว่า มีแนวโน้มไปทางใดบ้าง และทางเลือกสุดท้ายที่นางจะตัดสินใจหยิบใช้จริงๆ ก็คือ กำลัง
พวกคณะขุนนางในดินแดนอี้เฉิงแห่งนี้น่าจะมีความคิดเฉกเช่นเดียวกับองค์จักรพรรดินีเหลิ่ง กล่าวคือ พวกเขาคิดว่า นางคือสายลับที่ถูกส่งมาจากจักรวรรดิตงหลี่ และหน้าที่ของคนพวกนี้คือการปกป้องบ้านเมืองให้พ้นภัย ย่อมต้องอยากจะกำจัดนางทิ้งไปโดยเร็วที่สุด และจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ไป๋หลี่หานเลิกยุ่งกับนาง
เหลิ่งหยานหรันพยักหน้า และกล่าวตอบเซียถงกลับไปอย่างตรงไปตรงมาว่า
“แต่เดิม คณะขุนนางพวกนั้น ก็ดูเหมือนจะมิได้ใส่ใจนักกับเรื่องพระชายาของญาติผู้พี่ อย่างไรเสีย ทันทีที่ได้ยินว่าเป็นพระชายาที่ถูกคัดเลือกมาจากจักรพรรดิตงหลี่โดยตรง พวกเขาก็เริ่มไม่พอใจขึ้นทันที ดังนั้น ตั้งแต่ที่เจ้าย่างเท้าก้าวเข้ามาที่นี่ พวกเขาก็เริ่มดำเนินแผนการ พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดเจ้าทิ้งไป คนกลุ่มนั้นคิดว่า ตราบใดที่ญาติผู้พี่ข้างอยู่ห่างจากเจ้าได้ ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง…”
ระหว่างที่นางกล่าวไปได้ครึ่งทาง ดวงตาลูกกลมใสของเหลิ่งหยานหรันก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง และกล่าวขึ้นด้วยความโกรธว่า
“แต่น่าเสียดายนัก ที่ญาติผู้พี่ข้ากลับไม่เห็นด้วย โดยให้เหตุผลกับคณขุนนางพวกนั้นไปว่า สักวันเขาจะเปลี่ยนให้เจ้ารักดินแดนอี้เฉิงแห่งนี้จากใจจริงได้แน่นอน และวันเดียวที่เขาจะทิ้งเจ้าไป ก็คือวันที่เขาตายจากไปแล้วเท่านั้น เพราะความหัวรั้นนี้เอง จึงทำให้เขากำลังเป็นที่ขัดแย้งกับคณขุนนางพวกนั้น”
สิ้นเสียงกล่าวจบประโยคสุดท้าย น้ำตาสีใสบริสุทธิ์ก็แทบจะรินไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง
นับตั้งแต่ที่รู้ว่า ญาติผู้พี่ของนางถูกจักรพรรดิตงหลี่จับให้อภิเษกสมรสกับหญิงอื่น เหลิ่งหยานหรันก็แอบร้องไห้ฟูมฟายกับตัวเองอยู่หลายวันหลายคืน ต่อมา นางก็ได้อง์จักรพรรดินีเหลิ่งคอยช่วยปลอบประโลม จนในที่สุดอารมณ์ความรู้สึกของนางก็สงบลง แต่ก็ยังแอบหวังอยู่ในใจลึกๆ ขอให้ไป๋หลี่หานไม่สนใจหญิงสาวที่จักรพรรดิตงหลี่เลือกสรรมาให้
แต่เมื่อหญิงสาวคนที่ว่ามาถึงดินแดนอี้เฉิงแห่งนี้ สถานการณ์ทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามที่นางหวังเอาไว้ เพราะความรักของไป๋หลี่หานที่มีต่อเซียถงกลับยิ่งใหญ่เกินจินตนาการของนางไปมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเหตุการณ์ในคืนนั้น ที่ไป๋หลี่หานออกตามหาเซียถงอย่างบ้าคลั่ง สิ่งนี้ยิ่งตอกย้ำความเจ็บปวดรวดร้าวภายในใจของนางเข้าไปใหญ่
พอมาวันนี้ ยิ่งได้เห็นทัศนคติของไป๋หลี่หานอันแข็งกร้าวต่อหน้าคณะขุนนางทั้งหลายในท้องพระโรง เขาต้องการต่อสู้เพื่อปกป้องเซียถงสุดกำลัง ความรู้สึกขื่นขมเศร้าโศกภายในจิตใจของนางก็ยิ่งทวีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่อดทนอดกลั้นน้ำตาเป็นเวลาเนิ่นนาน สุดท้ายนี้ มันกลับไหลออกมาโดยไม่ทันรู้ตัวเมื่อได้พูดคุยกับเซียถง
“อย่าร้องไห้ไปเลย เดี๋ยวข้าจะเข้าท้องพระโรงไปดูเอง”
เซียถงสั่งให้สาวรับใช้แถวนั้นนำทางไปยังท้องพระโรงโดยทันที
ท้องพระโรงแห่งนี้มีชื่อเรียกว่า พระราชวังพฤกษามรกต ภายในเต็มไปด้วยขุนนางฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทางการทหารที่กำลังคุกเข่าและก้มศีรษะอยู่ โดยมีไป๋หลี่หานประทับอยู่บนบัลลังก์กษัตริย์สีทองคำอร่าม สวมหน้ากากสีดำขลับเข้ม ดวงตาลึกล้ำดุจน้ำวนบรรพกาล
“ระหว่างสามวันที่องค์ราชินีทรงประชวร ได้เกิดเหตุการณ์หิมะถล่มครั้งใหญ่ในทางเหนือของดินแดนอี้เฉิง นี่ถือได้ว่าเป็นลางบอกเหตุถึงเหตการณ์ภัยร้ายที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้าพ่ะย่ะค่ะ! ได้โปรดเถิด ฝ่าบาท ส่งองค์ราชินีเข้าตำหนักเย็นเพื่อหยุดเรื่องทุกอย่าง!”
เจ้าของเสียงดังกล่าวก็คือ อัครเสนาบดีฝ่ายขวา นามว่า จู้อวี่
“ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ ความงามมักเป็นบ่อเกิดแห่งหายนะ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จักรวรรดิตงหลี่จับตาดูการเคลื่อนไหขวของดินแดนอี้เฉิงเราทุกฝีก้าว พยายามเสาะหาเหตุผลจำกัดฝ่าบาททิ้งอยู่เสมอ ในขณะนี้ พวกนั้นกำลังหยิบใช้เซียถงเป็นเบี้ยหมาก หวังจะใช้มารยาหญิงเข้าควบคุมดินแดนอี้เฉิงจากภายใน เป็นการดีกว่าหากอยู่ให้ห่างกับนางเอาไว้”
แม่ทัพใหญ่ อู๋ฉิงเค่อ กล่าวเสริมขึ้นทันควัน
สายตาคู่คมกริบดุจจ้าวอินทรีของไป๋หลี่หานกวาดมองไปทั่วใบหน้าของทั้งคู่ ระเบิดเสียงดังกักวานอย่างเคร่งขรึมขึ้นว่า
“เซียถง เป็นหญิงทะนงตนหยิ่งผยองเป็นที่สุด คนอย่างนางไม่มีวันทำเรื่องเสียศักดิ์ศรีอย่างการไปเป็นเบี้ยล่างของจักรพรรดิตงหลี่แน่นอน และนางเองก็มีความจริงใจต่อข้าผู้นี้เช่นกัน สำหรับเรื่องนี้พินิจได้จากที่นางยอมทิ้งครอบครัวและผู้เป็นมารดาที่รักใคร่ยิ่ง เดินทางจากมาแสนไกลเพื่ออาศัยอยู่ในอี้เฉิงแห่งนี้! แล้วพวกเจ้าลองกลับไปคิดดู คนอย่างนางหรือจะคิดก่อการกบฏเฉกเช่นพวกเจ้าจินตนาการได้?!”
“ฝ่าบาท แล้วเรื่องที่พระราชมารดาทรงประชวรตั้งแต่วันแรกที่นางเข้าเยี่ยมเยือนล่ะ? เห็นได้ชัดแจ้งว่า นางเป็นหญิงใจแคบและนิสัยหยิ่งยโสจองหอง แล้วอิสตรีคุณสมบัติแบบนี้หรือ จะมาเป็นองค์ราชินีของดินแดนอี้เฉิงแห่งนี้ได้?”
จู้อวี่กทูลกล่าวออกไปตามตรง
“ฝ่าบาท โปรดอย่าได้หลงกลมารยาหญิงร้าย ดั่งโบราณกล่าวว่า หญิงยิ่งงาม ชีวิตยิ่งล่มจม”
แม่ทัพใหญ่อู๋ฉิงเค่อเปล่งเสียงดังชัดฉะฉาน ก้องกังวานไปทั่วทั้งท้องพระโรง