ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 426 จับองค์ราชินีเข้าตำหนักเย็น (2)
ตอนที่426 จับองค์ราชินีเข้าตำหนักเย็น (2)
ตอนที่426 จับองค์ราชินีเข้าตำหนักเย็น (2)
“เรื่องพรรค์นั้นข้าผู้นี้ล้วนตระหนักทราบ เรื่องปฏิบัติอย่างไรกับองค์ราชินีถือเป็นเรื่องส่วนตัวของผู้เป็นกษัตริย์! แม่ทัพใหญ่อู๋อย่าได้มากังวล”
ไป๋หลี่หานลุกขึ้นยืนและก้าวลงจากบัลลังก์ทันที
สำหรับเรื่องขัดแย้งกับคณะขุนนางพวกนี้ เขาติดพันแก้ไม่ตกอยู่สองสามวันได้แล้ว
“ฝ่าบาทโปรดไตร่ตรองให้รอบคอบ!”
คณะขุนนางเหล่านั้นก้มศีรษะจรดพื้นคำนับให้
“ข้าผู้นี้ทราบดีว่ากำลังทำอันใดอยู่ และไม่ต้องการใครทั้งนั้นให้มาสั่งสอน!”
ไป๋หลี่หานหาได้สนใจกลุ่มคนพวกนี้อีกต่อไป สะบัดแขนเสื้อทีหนึ่งอย่างแรงและเดินจากท้องพระโรงออกไปโดยตรง
เมื่อออกจากท้องพระโถง ก็บังเอิญเจอกับเซียถงที่กำลังเดินทางเข้ามาหาอยู่พอดี ขณะเดียวกัน นางก็เหลือบมองคณะขุนนางพวกนั้นที่กำลังคุกเข่าก้มศีรษะติดพื้นอยู่ภายในนั้น และเมื่อคณะขุนนางเหล่านั้นเห็นนาง ทุกคนต่างแสดงสีหน้าดูถูกเหยียดหยามออกมาอย่างสุดหัวใจ ไป๋หลี่หานส่งยิ้มให้และจูงมือนางเดินออกมาโดยไม่สนใจรอบข้างอีกต่อไป
“ท่านพี่ ข้าจะไปจัดการ…”
เซียถงรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ หวังจะย้อนกลับไปคุยกับคนพวกนั้นเพื่อจัดการปัญหาทั้งหมด
“ข้าไม่ส่งเจ้าเข้าตำหนักเย็นแน่นอน และข้าจะไม่ทำให้เจ้าต้องกลายมาเป็นคนแปลกแยกในสายตาคนอื่นเช่นเดียวกัน”
ไป๋หลี่หานกล่าวตัดบทเอ่ยแทรกขึ้นทันใด เขาพึงทราบดีถึงนิสัยมุทะลุของนางดี จากนั้นก็พลันกุมมือเซียถงเอาไว้แน่น และหันไปตวาดเสียงดังลั่นว่า
“จงคุกเข่าอยู่ที่นี่ตราบเท่าที่ต้องการ! ข้าผู้นี้จะมไม่มีวันส่งองค์ราชินีของข้าเข้าตำหนักเย็นต่อให้ต้องตายก็ตาม!”
พูดจบแล้ว เขาก็เดินจูงมือเซียถงลาจากออกไป โดยปล่อยคนพวกนั้นทิ้งให้คุกเข่าไร้สาระอยู่แบบนั้น
“ท่านพี่ เป็นศัตรูกับคณะขุนนางกลับไม่ใช่เรื่องดีนัก”
เซียถงเดินติดตามไป๋หลี่หานออกไป พลางเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล
“เซียถง เจ้าไม่ต้องคิดมาก แค่อยู่กับข้างข้าเป็นพอแล้ว”
ไป๋หลี่หานออกแรงกุมมือเซียถงแน่นกว่าเดิมหนึ่งส่วน หยุดชะงักฝีเท้าฉับพลัน หมุนตัวหันมาสบสายตากับนางเผยถึงความจริงใจที่มีให้
ใจดวงนี้สั่นไสวเต้นแรง เซียถงมองตรงเข้าไปในดวงตาของชายผู้อยู่เบื้องหน้า และกล่าวขึ้นน้ำเสียงจริงจังขึ้นว่า
“ท่านไม่กลัวเลยรึว่า ข้าจะเป็นเบี้ยหมากของจักรพรรดิตงหลี่? พวกคณะขุนนางอี้เฉิงเป็นกังวลเช่นนี้นับว่าถูกต้องแล้ว”
“ด้วยนิสัยอย่างเจ้า ไม่มีวันยอมจำนนอยู่ใต้อำนาจผู้ใดแน่นอน”
ไป๋หลี่หานกล่าวน้ำเสียงหนักแน่น
“ท่านพี่ อย่าลืมไปเสีย ท่านแม่ข้ายังอยู่ในตงหลี่”
เซียถงกล่าวทักขึ้นอีกคำ
ไป๋หลี่หานตกลึงไปสักครู่หนึ่ง นัยน์ตาคู่นั้นสั่นคลอนไสวเล็กน้อย ไม่นานจากนั้นก็ส่ายหัว จ้องตาเซียถงเขม็งไม่มีคลายอ่อนและกล่าวย้ำหนักแน่น สะกดขึ้นคำต่อคำดังว่า
“ข้าเชื่อใจเจ้า”
ข้าเชื่อใจเจ้า
สี่พยางค์วาจาแสนเรียบง่าย บางครั้งกลับยากเกินกว่าจะปริปากกล่าวออกมาได้ชั่วชีวิต และชายที่อยู่ต่อหน้านางในตอนนี้ ทั้งที่โดนทุกภาคฝ่ายเข้ากดขี่กดดัน รวมไปถึงต้องเผชิญกับคำกล่าวหามากมาย แต่เขาก็ยังตัดสินใจกล่าวสี่พยางค์วาจาคำนี้ออกมา
นางไม่เคยมอบสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันให้แก่เขาเลย ถึงกระนั้น เขาก็ยังเลือกที่จะเชื่อใจนางเสมอมา
จ้องพินิจลึกลงไปในดวงตาคู่ประกายและอบอุ่น นางมองเห็นเงาสะท้อนของตัวเองผ่านนัยน์ตาสีดำขลับประดุจน้ำหมึกได้อย่างชัดแจ้ง
และอีกหนึ่งสิ่งที่ส่องสะท้อนออกมานั่นก็คือ ภาพฉากพระราชวังอันสง่างดงามที่อยู่ด้านหลังของนาง สิ่งนี้ทำให้รอยยิ้มของเซียถงได้ผุดขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าไม่มีวันทรยศท่าน ต่อให้สถานการณ์จะเป็นเช่นไรก็ตาม”
นางเอ่ยสัตย์สัญญาออกไปด้วยใจจริง
“ข้าเชื่อเจ้า”
ไป๋หลี่หานคลี่ยิ้มอย่างโอนอ่อน และกระชับร่างนางเข้ามาสวมกอดในอ้อมแขน
พออยู่ภายในอ้อมแขนอีกฝ่าย ก็ได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรง พลางทำให้จิตใจของเซียถงสงบลงไปตาม เมื่อหลับตาลงและนึกย้อนกลับไปถึงอดีตชีวิตก่อนหน้า ภาพเงาของมู่เฟยก็เบลอไปหมดจนไม่เป็นรูปเป็นร่าง กระทั่งใบหน้าของอีกฝ่าย นางก็จำไม่ได้ไปแล้ว
คนที่เคยหักหลังและฆ่ากันทิ้งได้ลงคอ คนที่เคยผนึกหัวใจดวงนี้ให้ออกห่างจากความรัก ความทรงจำอันแสนดำมืดได้สลายหายไปโดยสิ้นแล้ว
ไป๋หลี่หานคือคนที่เข้ามารักษาและดูแลหัวใจที่แตกร้าวของนาง ลบล้างเงามืดในก้นบึ้งหัวใจดวงนี้ไปจนไม่เหลือ ในที่สุดนางก็ได้พานพบกับแสงตะวันอันสดใสอีกครั้งหนึ่ง
เซียถงถึงขั้นสาบานกับตัวเองในใจ จะไม่มีวันทำให้ชายที่ชื่อไป๋หลี่หานต้องเผชิญกับความผิดหวังดั่งที่นางเคยได้รับ!
เหลิ่งหยานหรันแอบยืนมองอยู่ด้านนอกประตูวัง จ้องมองไปทางพวกเขาสองคนที่ยืนโอบกอดกันอย่างว่างเปล่า ดวงตาคู่กลมใสของนางเริ่มเห่อร้อนเปียกชุ่มน้ำตา ค่อยๆ ก้มศีรษะและกล่าวกับตนเองว่า
“ท่านพี่ ท่านรักนางจริงๆ กระมัง…”
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา เพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติของคณะขุนนางอี้เฉิงทั้งหลายที่มีต่อเซียถง นางจึงยอมเปิดเผยตัวตนในฐานะนักหลอมโอสถ และป่าวประกาศตั้งร้านหลอมกลั่นโอสถแจกจ่ายให้ประชาชนอี้เฉิงทุกคนอยู่หน้าประตูพระราชวัง โดยไม่คิดเงินเลยสักกะแดงเดียว
นอกจากนี้เอง ไป๋หลี่หานยังสละทรัพย์สมบัติส่วนตัว ก่อตั้งเป็นหอแพทย์ขนาดย่อยไปทั่วอี้เฉิง ซึ่งประชาชนชาวอี้เฉิงสามารถเดินทางไปพบหมอเพื่อวินิจฉัยอาการป่วยได้โดยไม่คิดเงินเช่นกัน ส่วนเรื่องค่ายารักษาก็มีโครงการแบ่งเบาช่วยเหลือตามกลุ่มโรคอาการ และในกรณีป่วยเป็นโรคร้ายแรง เซียถงจะลงมาตรวจวินิจฉัยอาการด้วยตนเอง และหลอมกลั่นโอสถให้เป็นการส่วนตัว ไม่นานหลังจากนั้น เซียถงก็ได้รับการยกย่องและศรัทธาเป็นอย่างสูงจากผู้คนทั่วทั้งดินแดนอี้เฉิง มวลมหาประชาชนถ้วนหน้าต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การที่ฝ่าบาทของพวกเขาได้ครองคู่กับราชินีองค์นี้นับเป็นบุญกุศลใหญ่หลวง
ระยะหลังมานี้ ทางด้านคณะขุนนางพวกนั้นก็ไม่ก่อปัญหาใดๆ แก่เซียถงอีกเลย คนพวกนี้มักให้ความสำคัญกับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอี้เฉิงเป็นอันดับหนึ่ง และเมื่อเห็นว่าเซียถงทำดีต่อทุกคนขนาดนี้ นับตั้งแต่นั้น พวกเขาก็ไม่เคยหยิบยกเรื่องที่จะส่งตัวองค์ราชินีเจ้าตำหนักเย็นอีกเลย
หลังจากรักษาเสถียรภาพของคณะขุนนางอี้เฉิงเอาไว้ได้แล้ว เซียถงก็เริ่มขอให้ไป๋หลี่หานไปรวบรวมสมุนไพรหายากหลายชนิดมาให้ ภายใต้คำชี้แนะของเสี่ยวฮั่ว นางถอนตัวจากเรื่องการเมืองไปโดยสิ้นเชิง และเริ่มมุ่งความสนใจให้กับการหลอมกลั่นโอสถอายุวัฒนะสำหรับองค์จักรพรรดินีเหลิ่ง สำหรับรักษาโรคร้ายแรงมากมายที่รุมเร้า
อย่างไรเสีย หลังจากที่โอสถอายุวัฒนะได้สำเร็จ องค์จักรพรรดินีเหลิ่งกลับไม่พูดอะไรออกมาสักคำ และดูท่าจะไม่ค่อยเต็มใจรับมันไว้อีกด้วย เพราะนางค่อนกังวลว่า เซียถงจะแอบวางยาพิษลงในโอสถอายุวัฒนะนั่น
ซึ่งทันทีที่เซียถงทราบเรื่องก็รีบสั่งสาวรับใช้พาไปเข้าเฝ้าที่ตำหนักขององค์จักรพรรดินีเหลิ่งโดยทันที
องค์จักรพรรดินีเหลิงและเหลิ่งหยานหรันกำลังนั่งปักผ้าอยู่ด้วยกันภายในตำหนัก และทันทีที่พวกนางเห็นเซียถงเดินทางมาหา ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของทั้งคู่พลันมืดครึ้มลงในทันใด เซียถงตรงเข้ายิ้มทักทายพร้อมโค้งคำนับให้อย่างสุภาพเรียบร้อย
“คาราวะเสด็จแม่ วันนี้หม่อมฉันมาเยี่ยมเยือนเจ้าค่ะ”
“ตำหนักแห่งนี้เล็กเกินว่าจะต้อนรับองค์ราชินีผู้ยิ่งใหญ่ได้ เช่นนั้นควรเสด็จกลับไปเสีย”
องค์จักรพรรดินีเหลิ่งยังคงก้มหน้าก้มตาปักผ้าในมือต่อไป กล่าวไล่ทั้งแบบนั้นโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองใดๆ
“เสด็จแม่ สำหรับโอสถอายุวัฒนะเม็ดนี้ ฝ่าบาทอุตส่าห์มทุ่มทั้งแรงกายและใจ กว่าจะรวบรวมสมุนไพรวัตถุดิบแต่ละชนิดได้ และอีกหนึ่งเหตุผลที่เขาอภิเษกสมรสกับหม่อมฉัน ก็เพราะสถานะนักหลอมโอสถของหม่อมฉัน โอสถเม็ดนี้ได้รับการหลอมกลั่นจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว หากสุดท้ายนี้ท่านไม่ยอมกิน เกรงว่าความพยายามทั้งหมดของฝ่าบาทคงจะเสียเปล่าแล้ว”
เซียถงหยิบกล่องหยกโอสถใบนั้นยื่นให้องค์จักรพรรดินีเหลิ่ง เปิดกางออกต่อหน้าอีกฝ่าย
“คนแก่ชราเฉกข้า อย่างมากก็มีชีวิตอยู่ได้อีกสักสองสามปี ย่อมไม่คุ้มค่ากับโอสถเม็ดนี้”
องค์จักรพรรดินีเหลิ่งชำเลืองมองโอสถเม็ดกลมสวยในกล่องหยกใบนั้นเล็กน้อย ก่อนจะก้มศีรษะลงมือปักผ้าต่อไป
“ข้า เซียถง ขอสาบานต่อฟ้าดิน โอสถเม็ดนี้หาได้มีสิ่งแปลกปลอมใดเจือผสมอยู่ หากมีจริงขอไม่ตายดี”
เซียถงเอ่ยสัตย์สาบานขึ้นทันทีด้วยน้ำเสียงขึงขังหนักแน่น