ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 430 โดนบุกโจมตียามวิกาล (2)
ตอนที่430 โดนบุกโจมตียามวิกาล (2)
ตอนที่430 โดนบุกโจมตียามวิกาล (2)
โม่ซวนหันไปตะโกนป่าวประกาศเสียงดังลั่น และบรรดาชาวบ้านที่หวาดผวาจับขั้วกระดูกเหล่านั้น ต่างรีบวิ่งกลับเข้าบ้านของแต่ละคนไปในทันในทันที พริบตาเดียวต่อมา ชาวบ้านโดนส่วนใหญ่ต่างก็แยกย้ายสลายตัวจนหมดสิ้น
อีกายักษ์จำนวนนับหลายสิบบนผืนนภาฟ้าสูงคล้ายดูตื่นตระหนก เซียถงทะยานโฉบเฉี่ยวด้วยความเร็วสูงสุด กลายร่างเป็นอสนีบาตสายหนึ่ง กระโดดเหยียบหัวพวกมัน อาศัยเป็นแรงถีบส่งร่างตนเองไปยังตัวต่อไปและต่อไป กระบี่ทัณฑ์ฟ้าในมือเองก็กระหน่ำฟันสะบั้นไม่มีหยุดหย่อน
โม่ซวนได้แตกยกมือปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก เบิกตาโตแข็งค้างกับภาพฉากบนห้วงเวหา มองดูชุดแพรพรรณของเซียถงที่ปราศจากตำหนิไร้คราบเลือดใดๆ เปรอะเปื้อน เฉพาะเวลานั้นเอง ทำเอาตัวเขาอดรู้สึกละอายใจมิได้ ทั้งที่นายท่านของเขากำชับแล้วแท้ๆ ว่า จงดูแลปกป้องผู้หญิงนางนี้ให้ดี แต่ในตอนนี้ดูเหมือนว่า นางกำลังปกป้องเขาแทนอย่างไรอย่างงั้น ความแข็งแกร่งของเซียถงจัดได้ว่าทรงพลังอย่างยิ่ง และกลายเป็นว่า เขาเหมือนจะเป็นตัวถ่วงเสียมากกว่า
“เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!”
เสี้ยวพริบตาขณะ เสียงอสนีบาตคำรนร้องลั่นดังมาจากทิศตะวันออก โม่ซวนสะดุ้งตื่นเหลียวศีรษะมองในทันใด แต่ต้องเผชิญพบกับดวงตากลมโตสีเขียวนับหลายร้อยคู่จากหุบเขาลูกใกล้เคียงที่กำลังเคลื่อนเข้ามายังหมู่บ้าน
ฝูงสัตว์อสูรบุกโจมตีเป็นครั้งที่สองแล้ว!
“ทุกคน! กลับเข้าบ้านแล้วให้รีบนำข้าวของเครื่องใช้มากั้นไว้ที่ประตูและหน้าต่างให้หมด!”
เซียถงชี้กระทัณฑ์ฟ้าผงาดง้ำใช้ฝูงอีกายักษ์ที่โรมรันเข้ามาไม่หยุดหย่อน คล้อยหลังสิ้นเสียงตะโกนก็บุกเข้าสัประยุทธ์ทันทีเป็นคำรบสอง
กลิ่นเหม็นสาบที่พัดโชยบนเสื้อผ้าของนาง ผนวกกับทีท่าโหดเหี้ยมที่ไล่ล่าเสียบสังหารชีวิตนับไม่ถ้วน ทำให้หญิงสาวนางนี้ดูป่าเถื่อนขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากเชือดฝูงอีกายักษ์นับร้อยเสร็จสรรพ นางก็เหลียวย้อนกลับไปทางทิศตะวันออก ลูกตาดำขลับเข้มทอแสงอำมหิตเปล่งประกายสว่างไสวออกมา โม่ซวนที่ยืนอยู่ด้านหลังนางในเวลานี้ ยืนมองร่างอรชรของหญิงสาวตรงตระหง่าน ในมือกำกระบี่เล่มยาวกระชับแน่น
ฝูงสัตว์อสูรกำลังเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ กอปรทั้งหมาป่า เสือโคร่ง เสือดาว รวมแม้กระทั่งหมูป่าและสรรพสัตว์อีกหลายชนิด… ดูราวกับว่าสัตว์อสูรฝูงนี้กำลังอพยพหนีน้ำป่าไหลหลากมาก็มิปาน เพียงเห็นดังนั้น โม่ซวนใจตกไปยังตาตุ่ม
แต่ถึงเขาจะหวาดกลัวเพียงใด ก็ยังแปรสภาพเป็นประกายแสงสายหนึ่งพุ่งโฉบขึ้นขว้างเบื้องหน้าเซียถง ยืนประจัญบานกับฝูงสัตว์อสูรที่กำลังตรงเข้าใกล้
“โปรดระวังตัวนายหญิง!”
โม่ซวนกำกระบี่ของตนแน่นหนา หันเข้าประจัญใส่ฝูงสัตว์อสูรเหล่านั้น เตรียมพร้อมสัประยุทธ์สุดตัว
คู่เท้าไสววูบดีดตัวกลายเป็นเงาพิสดารสายหนึ่งประดุจพายุ โบกสะบัดฟันฟาดคมกระบี่ในมือ เด็ดชีพคราชีวิตของเหล่าสัตว์อสูรในหมู่ฝูงใหญ่อย่างไร้ความปรานี
ทว่าอย่างไร ประกายเงาสีขาวกลับปราดพุ่งเร็วกว่าเขาเป็นเท่าทวี ร่างเซียถงแปรเปลี่ยนกลายเป๋นสายอสนีบาตสีม่วงอีกครั้ง ไล่เสียบสังหารเหล่าสัตว์อสูรไม่เลือกหน้าขึ้นนำออกไป
“นายหญิง! นายหญิง!”
โม่ซวนตัวศีรษะหมาป่าตนหนึ่งสะบั้นทิ้งไป พยายามรุกหน้าเข้าใกล้นาง ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้ที่เขาเผชิญพบกับอันตรายและสุ่มเสี่ยงเกินไป ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ถูกฝูงสัตว์อสูรจำนวนหนึ่งเข้าล้อมกรอบเอาไว้สี่ทิศ แม้จะลงมือฆ่าฟันพวกมันไปกว่าห้าหกชีวิตแล้วก็ตาม แต่ด้วยจำนวนที่มหาศาล กลับมาพวกมันตนอื่นขึ้นมาทดแทนตำแหน่ง
“โฮกกก!!”
ทันใดนั้น เสียงร้องคำรามสนั่นไพศาลแผดลั่น มีหมีดำขนาดยักษ์ใหญ่กระโจนเข้าใส่โม่ซวน
หนึ่งคมกระบี่ฟันฟาด ปฏิกิริยาตอบสนองของโม่ซวนนับว่าไม่เลว โจมตีใส่หมีดำยักษ์ใหญ่ตนนั้นเข้าเต็มเป้า แต่ด้วยร่างกายที่แกร่งกร้าวของหมีดำยักษ์ใหญ่ดุจเหล็กกล้า อาศัยกระบี่โจมตีเพียงหนึ่งคม กลับไม่สามารถทำให้ร่างของมันขยับเขยื้อนได้ด้วยซ้ำ และมันก็พุ่งโจมตีเข้าใส่ต่อไป โม่ซวนตื่นตกใจยิ่งยวด เร่งระดมกระแสลมปราณทั้งหมดที่มี อัดฉีดลงในกระบี่เล่มยาวในมือ หวังโถมท่าโจมตีหนัดพิฆาตมันให้คราเดียว
หมีดำยักษ์ใหญ่แผดเสียงคำรามกู่ก้องไม่หยุดหย่อน ร่างหนาประดุจเหล็กกล้าของมันกระโดดทับร่างของเขา แลเห็นอุ้งมือขนาดใหญ่ของมันกำลังยกขึ้นเตรียมตะปบใส่หน้า โม่ซวนถึงกับหน้าถอดสีซีดเซียว ข่มตาหลับสนิทรอรับความตายอย่างขมขื่นหัวใจ
“ไสหัวไปให้พ้น!”
ทันทีทันใด ก็มีเสียงตะโกนลือลั่นดังก้องมาจากเบื้องหลังของหมีดำตนนั้น พร้อมกับคมกระบี่ดุจเคียวมัจจุราชสะบั้นศีรษะของหมีดำใหญ่ยักษ์ตายคาที่ ร่างของโม่ซวนถูกเงาอสนีบาตสีม่วงจัดจ้านสายหนึ่งช่วยเหลือเอาไว้ ก่อนที่ร่างไร้หัวของหมีดำตนนั้นจะล้มทับเข้าใส่
โม่ซวนหันไปเห็นหมีดำอีกตนกระโจนเข้าหาจากด้านข้าง มันจะต้องเป็นมิตรสหายของตัวก่อนหน้าที่คิดล้างแค้น เห็นดังนั้นเขาตะโกนลั่นด้วยความตกใจขึ้นว่า
“นายหญิง! ระวัง!!”
“ตายห่าไปเสีย!”
สิ้นเสียงตะโกนเพียงเท่านั้น คมกระบี่ทัณฑ์ฟ้าในมือเซียถงที่เหวี่ยงสะบั้นผ่าออกไป ก็เปล่งประกายแสงสีเย็นยะเยือกท้วมท้น กระแสลมปราณสีม่วงที่ล้นทะลักอาบทั่วร่างเซียถงยิ่งทวีความจัดจ้านสวยสด
เสมือนฟ้าดินถูกแบ่งแยกเพียงเส้นคมบางๆ ศีรษะของหมีดำอีกตนถูกฟันเสียงดังฉับในพริบตา โม่ซวนเฝ้าจับจ้องหมีดำตรงหน้าที่โดนเซียถงกุดหัวทิ้งอย่างไร้ปรานี
“ระวังตัวด้วย อย่าอยู่ห่างจากข้าเป็นอันขาด!”
เซียถงชำเลืองมองมาที่โม่ซวนปราดหนึ่ง ก่อนจะหันเข้าพัลวันสัประยุทธ์เดือดต่อ
ฝูงสัตว์อสูรถาโถมเข้ามาต่อเนื่อง มีจำนวนหลายบ้านที่ถูกพวกมันถล่มเข้าไปได้ ผู้คนเริ่มล้มตายมากขึ้นและมากขึ้น ทั้งลูกเด็กเล็กแดงต่างถูกพวกมันสังหารกัดกิน เสียงร้องโหยหวนด้วยความทุกข์ทรมานดังระทมทั่วทุกซอกมุมของหมู่บ้าน
“เซียถง! ข้าจะฝังศพเจ้าไว้ที่นี่ในวันนี้!”
เสียงตวาดดังคมชัดถูกปลดปล่อยมาจากในเงามืดด้านหลังสุดของฝูงสัตว์อสูร
เซียถงมองตามสุ้มเสียงที่ได้ยินจนพบเข้ากับชายวันกลางคนผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่บนต้นไม้จากระยะไกล เซียถงบรรเลงกระบี่ฟันใส่สัตว์อสูรที่ขวางหน้าจนดับดิ้น และเงยหน้าหันไปยังทิศทางต้นไม้ดังกล่าว นางตะโกนขึ้นอย่างเกรี้ยวโกรธขึ้นว่า
“หลินซวนเต๋อ! คนที่ทำให้ลูกชายของเจ้าพิการไร้อนาคตคือข้า! เรื่องนี้หาได้ข้องเกี่ยวกับชาวบ้านพวกนั้นเลย! หากมีปัญญาก็จงลงมาสู้กับข้าหนึ่งต่อหนึ่ง หาใช่ขี้ขลาดตาขาวเช่นนี้!”
ชายวัยกลางคนบนต้นไม้ก็คือ หลินซวนเต๋อ ซึ่งลูกชายคนโตของเขาอย่าง หลินเฟยโดนเซียถงตัดแขนตัดขาทิ้งในงานประลองสี่จักรวรรดิ จนกลายเป็นก้อนเนื้อพิการนอนติดเตียงไปชั่วชีวิต
“หุหุ ข้าไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า พลังลมปราณของเจ้าจะพัฒนาได้รวดเร็วปานนี้! ขอยอมรับตามตรง ข้าในตอนนี้มิอาจต่อกรกับเจ้าได้ เช่นนั้นแล้ว จึงสละพลังลมปราณที่เก็บสั่งสมทั้งชีวิตส่วนหนึ่ง สังเวยเลือกใช้ฝูงสัตว์อสูรมรุมสับเจ้าเป็นชิ้นๆ!”
ดูท่าแล้ว หลินซวนเต๋อจะแค้นเซียถงฝังหุ่นจริงๆ ถึงขนาดยอมสละพลังลมปราณที่เก็บสะสมมาชั่วชีวิตส่วนหนึ่ง เพื่อชักนำฝูงสัตว์อสูรจำนวนมหาศาลมารุมฆ่าเซียถงเพียงคนเดียว ซึ่งระดับพลังของเขาในเวลานี้อยู่แค่ ขอบเขตเสาหลักเขียวชั้นสูงเท่านั้น ลำพังอาศัยแค่นี้กลับหาใช่คู่ต่อสู้ของเซียถงได้เลย
ก่อนหน้านี้ไม่นาน มีม้าเร็วเดินทางมาส่งข่าวกับหลินซวนเต๋อว่า เซียถงกำลังมุ่งหน้ามายังจักรวรรดิซีฉิน ดังนั้นเขาจึงเร่งเตรียมการแผนล่าสังหารนางโดยทันที
“หลินซวนเต๋อ! หากแน่จริงก็ลงมาสู้กับข้าให้รู้ดำรู้แดงเสีย! มีดีแต่หลบหลังฝูงสัตว์อสูร ยังหาใช่บุรุษชายอยู่หรือไม่?!”
เซียถงแผดเสียงลั่นตวาดใส่คนที่ยืนอยู่บนต้นไม้ไกลโพ้น
“หึ! วันนี้แหละ ที่นี่จะกลายมาเป็นสถสานฝังศพเจ้า!!”
หลินซวนเต๋อก่นเสียงเย็นชาขึ้นคำหนึ่ง หาได้แยแสคำยั่วยุของเซียถงไม่ ทันใดนั้นเขาก็หยิบนกหวีดขึ้นและเป่าสุดเสียง
ฝูงสัวต์อสูรเหล่านั้นราวกับถูกปลุกกระตุ้นครั้งใหญ่ พวกมันรีบแห่เข้าใส่เซียถงประดุจเขื่อนแตกทะลักล้น
แลเห็นฝูงสัตว์อสูรจำนวนนับไม่ถ้วนถาโถม นางก่นเสียงคำรนหาได้ครั้นคร่ามใดๆ ชูกระบี่ทัณฑ์ฟ้าในมือขึ้นชี้ใส่พวกมันทั้งหลาย ชั่วพริบตาต่อมา กระแสลมปราณสีม่วงที่ฉาบคลุมทั่วร่างของนางก็เจิดจรัสสว่างไสวยิ่งขึ้นไปอีก นางปลดปล่อยพลังออกมาถึงขีดสุด
ม่านนภาฟากฟ้าเสมือนฉากคลุมนองเลือด ฝูงสัตว์อสูรเหล่านั้นที่วิ่งเข้าใส่เซียถงล้วนถูกแยกเป็นสองซีกในพริบตา บ้างก็ถูกตัดเป็นแนวนอน บ้างก็ถูกผ่าสะบั้นเป็นแนวตั้งตรง เศษซากร่างศพของพวกสัตว์อสูรสุมกองรอบตัวเซียถงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เนื่องด้วยจำนวนของพวกมันที่เสมือนกับมีไม่จบไม่สิ้น ตรงกันข้ามกับพลังลมปราณในตัวเซียถงที่มีจำกัด ส่งผลให้ยิ่งเวลาผ่านไป นางก็ยิ่งสัประยุทธ์ต่อสู้ได้ลำบากยิ่งขึ้น
โม่ซวนพยายามเร่งด่วน วื่งเข้าแทรกแซงฝูงสัตว์อสูรที่โหมเข้าใส่หลายต่อหลายครั้ง หวังจะช่วยเหลือเซียถง แต่ไม่นานนัก เขาก็ประสบปัญหาใหญ่กับเหล่าสัตว์อสูรที่ถูกชักนำโดยหลินซวนเต๋อ
อ