ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 432 พิชิตฝูงสัตว์อสูร (2)
ตอนที่432 พิชิตฝูงสัตว์อสูร (2)
ตอนที่432 พิชิตฝูงสัตว์อสูร (2)
ขณะที่เซียถงกำลังใช้สองมือผลักตราผนึกใส่ฝูงสัตว์อสูร ทันใดนั้นเสี่ยวฮั่วก็ลอยออกมาจากหว่างคิ้วของนาง เร่งร่ายประกอบสอดผสานช่วยเหลือ เสี้ยวพริบตาต่อมา ตราผนึกวงตรงหน้าพลันขยายใหญ่ไพศาล เปล่งแสงแพรวพราวสว่างไสวไปทั่วบริเวณราวกับเป็นช่วงเวลากลางวัน
“ผนึก!”
หนึ่งคำรามเซียถงแผดดังสนั่น มหาวงผนึกขนาดไพศาลกลายเป็นสีขาวน้ำนมบริสุทธิ์เจิดจรัส พุ่งเข้าใส่ร่างของบรรดาสัตว์อสูรเป็นคำรบสอง
“หวู๊ววว!”
ฝูงสัตว์อสูรส่งเสียงคำรนร้องลั่น สะเทือนทั่วผืนพิภพ พวกมันทั้งหมดต่างนอนกลิ้งทนทุกข์ทรมานอยู่แทบเท้าในเวลาเดียวกัน เสมือนเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของพวกมันสอดผสานแผดไพศาลไกล
เซียถงยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น โดยมีรัศมีแสงสีขาวฉาบคลุมอยู่ทั่วกายา ถัดมาเพียงไม่นาน ฝูงสัตว์อสูรจำนวนนับไม่ถ้วนต่างคุกเข่าลงต่อหน้านาง ให้ความเคารพยำเกรงพร้อมอาการเนื้อตัวสั่นเทา
สัตว์อสูรสัญญาทั้งมวลที่เป็นของหลินซวนเต๋อ ยามนี้ล้วนถูกเซียถงปราบปรามได้เบ็ดเสร็จแล้ว!
“เป็น…เป็นไปได้ยังไง!?”
หลินซวนเต๋อจ้องมองภาพฉากตรงหน้า ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึง
เซียถงยืนตระหง่านท่ามกลางฝูงสัตว์อสูรกว่าหลายร้อนตน นัยน์ตาใสบริสุทธิ์คู่นั้นเป็นประกายแพรวพราวดุจดวงดารา ปลายจมูกเชิดสูงดูทรงบารมีประหนึ่งจักรพรรดินีแห่งสรรพสัตว์
นางเหลียวศีรษะหันหน้าไปทางหลินซวนเต๋อ ค่อยๆ ยกนิ้วเรียวยาวขึ้นชี้ใส่ ชั่วพริบตา ก่อเกิดลำแสงสีขาวถูกยิงออกจากปลายนิ้วประดุจสายฟ้า และทันใดนั้น ก็มีวงแหวนสีขาวส่องแสงสว่างจ้าปรากฏขึ้นที่ใต้เท้าของเขา
อีกายักษ์ที่หลินซวนเต๋อกำลังขี่โดยสาร จู่ๆ เกิดอาการคลุ้งคลั่งกะทันหัน ทั้งส่งเสียงกรีดร้อง ร่างกายบิดเกลียวอย่างบ้าคลั่ง ชั่วขณะต่อมา เขาเกิดเสียสมดุลและร่วงตกลงมาจากหลังอีกายักษ์โดยตรง ร่างอัดกระแทกพื้นดินกลิ้งหลุนกระดอนออกไป
เซียถงเพ่งมองอีกฝ่ายไม่มีลดละ อัดพลังลมปราณหนึ่งส่วน ตกฝ่ามือเข้าใส่อีกายักษ์ตนนั้น ระเบิดกะโหลกศีรษะของมันเป็นจุณ ในเวลานี้ หลินซวนเต๋อชะตาชีวิตขาดสิ้น ไร้ทางหนีรอดออกไปได้!
ถึงแม้ตัวมันอยากจะวิ่งหนีเพียงใดก็ตาม แต่นี่กลับสายเกินไปแล้ว!
เซียถงฉีกรอยยิ้มเยียบเย็นแสยะกว้าง แววจิตสังหารสุดเหี้ยมโหดอัดแน่นอยู่ในดวงตา นางกล่าวกับฝูงสัตว์อสูรรอบตัวขึ้นว่า
“ฆ่ามัน!”
เสี้ยวพริบตาถัดมา ฝูงสัตว์อสูรนับหลายร้อยต่างแห่เข้าโจมตี ปราดพุ่งตะปบเข้าหาหลินซวนเต๋อโดยพร้อมเพรียง
หลินซวนเต๋อเร่งระดมลมปราณสุดขั้วเพื่อวิ่งหนีเอาชีวิตรอด ทว่ากลับถูกสมิงลายตนหนึ่งพุ่งเข้าชนจนล้มหัวคะมำเสียท่า มันแยกเขี้ยวยาวกัดขย้ำต้นขาของเขา ทั้งขยี้ทั้งสะบัดอย่างแรงจนท้ายที่สุดขาข้างนั้นก็ฉีกขาด ธารโลหิตสีแดงฉานสาดกระจายไปทั่วบริเวณนั้นในพริบตา
หลินซวนเต๋อกรีดร้องระทมลือลั่น พยายามชักคมกระบี่ขึ้นเหวี่ยงฟันสมิงลายตนนั้น ทว่ายังไม่ทันจะได้ตอบโต้ใดๆ ก็โดนสัตว์อสูรรอบตัวที่หลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด รุมขย้ำกินโต๊ะอย่างดุเดือดเลือดคลั่ง
“อ๊ากกก!!!”
เสียงร้องโหยหวนดังกล่าว กังวานกึกก้องไปทั่วผืนป่าใต้แผ่นฟ้าตลอดรัตติกาลค่ำคืน
เศษซากร่างของหลินซวนเต๋อแทบไม่เหลือเป็นชิ้นเป็นอัน จะมีก็แค่กระดูกที่กระจัดกระจายตามพื้นดิน
แผนการชั่วร้ายของหลินซวนเต๋อที่หวังจะใช้ฝูงสัตว์อสูรรุมกินโต๊ะเพื่อฆ่าเซียถงอย่างทรมาน ทว่าในท้ายที่สุดแล้ว กลับเป็นเขาเสียเองที่ถูกฝูงสัตว์อสูรรุมแทะจนเหลือแต่กระดูก
“นายหญิง! ท่านช่างน่าทึ่งยิ่งนัก!”
โม่ซวนได้รับบาดเจ็บค่อนข้างสาหัส เดินกะเผลงมามองซากกระดูกที่เหลือไม่กี่ชิ้นบนพื้นดิน ใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะรู้สึกฟื้นตัวจากภวังค์ตื่นตะลึง
เซียถงชำเลืองมองอยู่หนึ่งปราดพลางถอดถอนหายใจเฮือกใหญ่ ในเวลานี้นางได้สำแดงใช้พลังทั้งหมดที่มีออกไปเพื่อปราบปรามฝูงสัตว์อสูรไปโดยสิ้นแล้ว อีกทั้งความช่วยเหลือของเสี่ยวฮั่วเมื่อครู่อีก ที่แปลงกายออกมาเสริมพลังของตราผนึกให้แกร่งกร้าวทรงพลานุภาพเป็นทวี ทั้งตัวนางและเสี่ยวฮั่วต่างอยู่ในสภาะวอ่อนแอมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับฝ่ายหลัง ดวงไฟสีม่วงของมันที่ลอยเติ่งอยู่ในห้วงความคิดของนางอ่อนลงเป็นอย่างมาก ส่องแสงติดดับวูบวาบดูน่าเป็นห่วง
“เจ้าเป็นเยี่ยงไรบ้าง?”
เซียถงเอ่ยถามเสี่ยวฮั่วผ่านห้วงความคิด
“โชคยังดีที่เอาชีวิตรอดมาได้ ตอนนี้ข้ารู้สึกเหนื่อยมาก จะอย่างไรขอพักผ่อนเสียหน่อย ควรจะดีขึ้นในไม่ช้า”
เสี่ยวฮั่วกล่าวตอบ
เซียถงพยักหน้ารับทราบ ตอนนี้สภาพร่างกายของนางเองก็ค่อนข้างอ่อนแอ เหลือบสายตามองโม่ซวนอยู่ทีหนึ่ง แล้วค่อยผิวปากสั่งให้สัตว์อสูรรีบเคลื่อนทัพกลับไปยังหุบเขาลูกไกลโพ้นในทันที
ด้วยจำนวนสัตว์อสูรที่มากมหาศาลปานนี้ คงเป็นที่สะดุดตาเกินไปหากต้องพาไปไหนมาไหน หากจะเก็บกลับเข้าห้วงมิติก็ดูท่าจะไม่เหมาะสม เพราะสัตว์อสูรพวกนี้ล้วนมีนิสัยชอบอยู่เป็นฝูงใหญ่ โดยธรรมชาติหากจับแยกอาจทำให้พวกมันเกิดอาการป่วยตายได้ เช่นนั้น คงเป็นการดีกว่าในการปล่อยให้พวกมันได้ใช้ชีวิตตามอิสระในป่าเขา เฉพาะช่วงวิกฤตฉุกเฉินจริงๆ ค่อยเรียกใช้ออกมา
ในปัจจุบัน บริเวณโดยรอบแห่งนี้เต็มไปด้วยแอ่งเลือดและเศษซากกระดูกและชิ้นเนื้ออยู่ทั่วทุกที่
เฉกเช่นเดียวกับหลินซวนเต๋อ สภาพของชาวบ้านที่โดนฝูงสัตว์อสูรรุมกินโต๊ะก็เหลือแค่เศษกระดูกเท่านั้น
“โม่ซวน นำเหรียญทองครึ่งหนึ่งของเราไปแจกจ่ายให้พวกชาวบ้านที่ยังเหลือ”
เซียถงเสาะพบแผ่นหินจุดหนึ่งที่ดูสะอาดสะอ้าน และนั่งไขว่ห้างเอ่ยกล่าว
ชาวบ้านบริสุทธิ์พวกนี้ต้องมาตายเพราะนาง ดังนั้นก็ควรต้องชดใช้ด้วยอะไรสักอย่างเช่นกัน และจำนวนเหรียญทองที่พกติดตัวมาด้วยในครั้งนี้ ก็น่าจะมีมากเพียงพอสำหรับชาวบ้านที่เหลือไว้กินไว้ใช้อย่างสงบสุขไปอีกนาน
โม่ซวนพยักหน้าตอบตกลงและเดินออกไป
ในช่วงเช้ามืด โม่ซวนได้ทำการแจกจ่ายเหรียญทองแก่ชาวบ้านทุกครัวเรือนจนครบ เฝ้ามองสภาพตัวบ้านที่ถูกทำลายแทบไม่เหลือชิ้นดี กับชาวบ้านที่สภาพย่ำแย่ไม่แพ้กัน เนื้อตัวของพวกเขามอมแมม เสื้อผ้าขาดรุ่ย บ้างก็มีบาดแผลปกคลุมทั่วร่างกายกว่าหลายสิบจุด เซียถงที่เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกสะท้อนใจอย่างบอกไม่ถูก
ทั้งที่ชาวบ้านพวกนี้ไม่เคยไปก่อปัญหาให้ใครต้องเดือดร้อน พวกเขาคือคนบริสุทธิ์อย่างแท้จริง แต่เหตุไฉนถึงต้องมาประสบพบเจอกับการสูญเสียครั้งใหญ่หลวงเช่นนี้ด้วย? ยิ่งไปกว่านั้น บ้านเรือนของพวกเขาก็พังพินาศไม่เหลืออะไรดี
สิ่งเดียวที่นางสามารถทำได้ดีที่สุดในเวลานี้คือ การใช้เหรียญทองที่มีเป็นค่าชดเชยให้
หลังจากบอกลาชาวบ้าน ทั้งสองก็เดินทางมุ่งสู่จักรวรรดิซีฉินต่อทันที
ม้าอาชาที่เป็นพาหนะใช้เดินทางของทั้งสอง หลังผ่านค่ำคืนอันโหดร้ายมา พวกมันเหลือแค่เศษกระดูกอยู่สองชิ้น โดยไม่มีทางเลือกอื่นใด มุ่งหน้าขึ้นหุบเขาได้สักครู่ เซียถงจึงค่อยอัญเชิญเรียกเสือโคร่งสองตนออกมา ทั้งนางและโม่ซวนต่างขึ้นขี่บนหลังเสือโคร่งและเร่งความเร็วมุ่งหน้าทะยานไปยังจักรวรรดิซีฉินทันที
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดเสือโคร่งสองตนก็ส่งทั้งคู่ออกจากเขตป่าและหุบเขา
อาศัยการเดินเท้าต่ออีกสักระยะ พวกเขาก็แวะเข้าเมืองชนบทแห่งนี้เพื่อซื้อม้า จากนั้นก็ลากยาว ควบม้าเป็นเวลาสามวันสามคืนเต็มก่อนจะถึงเมืองซีเยว่ เมืองหลวงของจักรวรรดิซีฉินที่จัดงานชุมนุมโอสถในครั้งนี้
ในคราวนี้ เซียถงมิได้พาโม่ซวนไปเข้าพักในโรงเตี๊ยมที่ก่อนหน้าเคยมา แต่เลือกหาที่พักด้วยตัวเอง
เมืองซีเยว่ในเวลานี้ดูมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง ธารฝูงชนที่เดินเตร่ไปมาล้วนแต่งกายในชุดนักหลอมโอสถกันทั้งสิ้น
เซียถงเองก็เดินเล่นอยู่สักพักใหญ่ เนื่องด้วยตอนนี้ยังมีเวลาอีกสองถึงสามวันก่อนงานชุมนุมโอสถจะเริ่ม ระหว่างนั้น นางเองก็ได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งส่งไปหาหยุนซี เพื่อขอให้นางส่งวัตถุดิบทั้งหมดในการหลอมโอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้ามายังจักรวรรดิซีฉินแห่งนี้
เซียงตั้งใจไว้ว่า จะใช้โอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้าในการพิชิตรางวัลอันดับหนึ่งในงานชุมนุมโอสถ!
ในวันนี้ ขณะที่เซียถงกำลังนั่งศึกษาสูตรโอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้าอยู่นั้นเอง ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เมื่อเดินไปเปิดประตู นางก็พบเด็กหนุ่มอายุประมาณสิบขวบเห็นจะได้ยืนอยู่ตรงหน้า พร้อมกับกล่องใบหนึ่งในมือ และทันทีที่เด็กคนนั้นเห็นเซียถง เขาก็รีบยื่นกล่องในมือส่งให้ กล่าวขึ้นว่า
“พี่สาว นี่ของท่าน”
เซียถงเงียบนิ่งไม่ตอบ กวาดสายตามองซ้ายขวารอบข้างเด็กหนุ่มคนนั้น และเอ่ยถามขึ้นแทนว่า
“ใครส่งมา?”
“เป็นพี่ชายใจดีคนหนึ่ง ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่เขาให้เงินข้าตั้งสองเหรียญทอง แล้วบอกให้มาส่งของให้ท่านที่นี่”
เด็กหนุ่มคนนั้นยื่นกล่องยัดใส่มือเซียถงและวิ่งหนีออกไปทันที
พี่ชายใจดีคนหนึ่ง?
เซียถงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางเอื้อมมือไปเปิดฝากล่อง ภายในนั้นบรรจุผลจันทร์วารีอลูกหนึ่ง และทันทีที่เห็นผลจันทร์วารีลูกนี้ ภาพใบหน้าที่หล่อเหลาของชายคนหนึ่งก็ผุดขึ้นกลางจิตใจของนางทันใด